จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกอวี้จิ่นเข้ามาในวัง ตรัสเชิงกำชับ “อย่าได้อวดดีหรือมีท่าทีไม่สุขุม และอย่าได้ประมาทเลินเล่อเพราะมีชื่อเสียงที่ดีท่ามกลางเหล่าราษฎรขึ้นมา”
อวี้จิ่นตอบออกไปอย่างรู้กฎเกณฑ์ “ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่เงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ
ฝ่าบาทบาทตรัสเช่นนี้ เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้เยี่ยนอ๋องไม่ประมาทเลินเล่อยังไงยังงั้นแหละ
ทั้งทะเลาะตีกันเป็นหมู่คณะ ชกต่อยไท่จื่อ…พอนับดูพฤติกรรมอันชั่วร้ายของอวี้จิ่นอยู่เงียบๆ พานไห่ก็รู้สึกแปลกใจที่พบว่ามันมีหลายเรื่องมาก
แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ เยี่ยนอ๋องมี่เรื่องน่าประหลาดใจมากขนาดนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าความประทับใจที่มีต่อเขาจะไม่เลวเลย
หลังจากอวี้จิ่นเดินออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เริงร่าตรัสออกมาว่า “พานไห่ พวกลูกหลานราชนิกูลเหล่านั้นคงยังไม่มีผู้ใดเคยได้รับร่มพสกนิกรสินะ”
“ล้วนเป็นเพราะคุณธรรม ปัญญาและวิสัยทัศน์ของฝ่าบาท ถึงได้มีองค์ชายที่ยอดเยี่ยมอย่างเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่สรรเสริญเยินยอยาวเหยียด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินก็สบายใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าพานไห่กำลังประจบสอพลอ เพียงแต่ว่าพูดจาสบายหูก็เพียงพอแล้ว ชีวิตคนเรานั้นทั้งเป็นทุกข์ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามามากพอแล้ว ฟังคำเยินยอที่น่าฟังสักสองสามประโยคจะเป็นอะไรไป
ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายเขาก็ไม่เลวจริงๆ พ่ออย่างเขามีหรือจะไม่ดีใจ ก็เหมือนเจินซื่อเฉิงตาแก่นั่น ตอนที่ลูกชายสอบขุนนางผ่านสามขั้นติดต่อกันจนกลายเป็นนิมิตมงคล ยังเคยทำตัวหลงระเริงต่อหน้าเขาเลย ตอนนั้นเขารู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ของเมืองหากแสดงท่าทีออกมาจะดูไม่ดี
“ไปเรียกตัวไท่จื่อมา” ดีใจได้พักหนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็นึกถึงลูกชายอีกคน รู้สึกท้อใจขึ้นมาทันที
ไม่นานไท่จื่อก็เข้ามา ก้มหน้าก้มตาดูท่าทางเชื่อฟัง “เสด็จพ่อเรียกลูกมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดพระเนตรมองไท่จื่อ “ทำอะไรอยู่ที่ตงกงบ้าง”
“ลูกอ่านตำรา…” ทุกครั้งที่ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถาม ไท่จื่อก็จะลุกลี้ลุกลน
แน่นอนว่าที่ลุกลี้ลุกลนมากยิ่งขึ้นก็เพราะกลัวว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะถามต่อว่าดูตำราอะไร…
โชคดีที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้สนใจจุดนี้ พอได้ยินก็พยักพระพักตร์ ตรัสออกไป “เจ้าทราบข่าวรึยังว่าเจ้าเจ็ดน้องเจ้าได้รับร่มพสกนิกร ”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อรู้สึกไม่สบอารมณขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว ใบหน้าจึงแสดงความรู้สึกออกมาเล็กน้อย
เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด ตอนนี้ทุกคนล้วนเอาแต่พูดว่าเจ้าเจ็ด ไม่จบไม่สิ้นสักที!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นความผิดปกติจากสีหน้าของไท่จื่อ ความโกรธเดือดพล่านขึ้นมา ตบฉาดลงบนโต๊ะ “เจ้าไม่ได้พิจารณาตัวเองบ้างเลยหรือ เหตุใดเจ้าเจ็ดออกไปปฏิบัติงานครั้งนี้ถึงสามารถทำให้ประชาชนรักใคร่เทิดทูนได้ ทว่าเจ้ากลับพูดจาซี้ซั้ว ทำให้กรมพระคลังขาดทุนอย่างใหญ่หลวง!”
ไท่จื่อน้อยใจอย่างที่สุด พูดพึมพำแก้ตัวออกมา “ที่เจ้าเจ็ดได้คุณงามความดีนั่นก็เพราะเอ้อร์หนิวที่เขาเลี้ยง…”
“พอได้แล้ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งผิดหวังมากกว่าเดิม อยากจะเอาที่ทับกระดาษหยกขาวเคาะหัวที่มีแต่ขี้เลื่อยของเจ้าลูกชายคนนี้จริงๆ
เมื่อเห็นไท่จื่อยังคงทำหน้าไม่ยอม จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงส่ายหน้าออกมา “ถึงแม้ว่าเอ้อร์หนิวจะเป็นผู้ที่ล่วงรู้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว แต่ว่าเรื่องหลังจากนั้นล่ะ ถ้าหากเจ้ามีความรับผิดชอบสักหน่อย คนที่ได้รับความรักใคร่เทิดทูนจากเหล่าราษฎรในวันนี้ก็คงเป็นเจ้าแล้ว!”
ไท่จื่อทำปากขมุบขมิบ เผยให้เห็นว่ารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นก็ยิ่งโมโห
เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาแล้วไม่ทำการตัดสินใจหรือแบกรับหน้าที่ หลังจากเกิดเรื่องก็ยังไม่รู้จักพิจารณา รู้เพียงแต่เสียใจภายหลัง…ไม่อยากจะคิดต่อแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะระเบิดออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “เจ้ากลับไปคิดให้ดีเถอะ หวังว่าจากนี้ไปเจ้าจะทำตัวให้สมกับเป็นไท่จื่อ”
ไท่จื่อเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร ตลอดทางครุ่นคิดอยู่กับคำพูดของจิ่งหมิงฮ่องเต้
เสด็จพ่ออยากให้เขาทำตัวให้เหมือนกับเป็นไท่จื่อ นี่กำลังคิดว่าเขาไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่ในการเป็นไท่จื่องั้นหรือ
ไท่จื่อสูดลมเฮือกหนึ่ง มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมากะทันหัน หากเสด็จพ่อรู้สึกอยู่ตลอดว่าเขาไม่เหมาะสม หรือว่าจะกำจัดเขาออกไปกันนะ
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในจิ้งหยวน ไท่จื่อก็ตัวสั่นเทิ้มออกมา
ไม่หรอก เสด็จพ่อจะต้องไม่กำจัดเขาทิ้งแน่
เมื่อกลับมาถึงตงกง เห็นหน้าพระชายาเอกที่เฉยชา ไท่จื่อก็รู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
“เจ้ายิ้มออกมาบ้างไม่ได้รึ ทำหน้าตาโศกเศร้าอยู่ทั้งวัน โชคดีถูกเจ้าขวางจนไม่เหลือแล้ว!”
พระชายาเอกชำเลืองมองไท่จื่อ สีหน้าเย็นชา
เมื่อก่อนชายผู้นี้เพียงแค่โง่เขลา ทว่าตอนนี้มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายเพิ่มมาด้วย อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเริ่มลงไม้ลงมือรึเปล่านะ
ไท่จื่อยกเท้าถีบเก้าอี้ตัวเล็กออกไป “เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่”
เก้าอี้ตัวเล็กกระเด็นไปตกที่ข้างเท้าของนางกำนัล นางตกใจแทบตายจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก เพราะไม่กล้าส่งเสียงออกมา
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ” พระชายาเอกเอ่ยเสียงนุ่ม
นางกำนัลภายในห้องรีบขานรับ แล้วเดินออกไปอย่างอดใจรอแทบไม่ไหว
พระชายาเอกถึงได้รินน้ำชาใส่ถ้วยชา วางลงที่ข้างมือของไท่จื่อ เอ่ยเสียงเรียบ “ไท่จื่อทะเลาะกับข้าต่อหน้าคนในวังเยอะขนาดนั้น ไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”
ไท่จื่อแค่นเสียงหัวเราะออกมา “อายอะไรกัน เจ้าพวกนั้นก็แค่คนรับใช้ หรือว่าข้ายังต้องดูแลสภาพจิตใจของพวกเขาด้วย”
พระชายาเอกมองไท่จื่ออยู่เงียบๆ ไม่อยากจะพูดอะไรออกมาอีก
ไท่จื่อรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาทันควัน
ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ย้ายจากจิ้งหยวนมายังตงกง ก็มักจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ ทำให้เขาอยากจะลงไม้ลงมือ
ไท่จื่อคว้าข้อมือพระชายาเอกไว้ ออกแรงบีบ “เจ้าจะเอายังไงกันแน่ เบื่อจะเป็นพระชายาเอกแล้วรึ”
พระชายาเอกอดทนความเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวด น้ำเสียงพูดยังคงเย็นชา “จะเป็นหรือไม่เป็นพระชายาเอก ข้าไม่อาจตัดสินใจเองได้ เพียงแต่หวังว่าไท่จื่อจะรู้จักบุญคุณและไม่เสพสุขจนเกินตัว ถือว่าเห็นแก่ฉุนเกอเอ๋อร์เถอะ”
เมื่อพระชายาเอกพูดจบ ก็ออกแรงขัดขืนพันธนาการจากไท่จื่อ แล้วเดินเข้าไปในห้อง
เดิมไท่จื่ออยากจะตามเข้าไปทะเลาะด้วยยกใหญ่ แต่กลัวว่าถ้าเรื่องไปถึงหูจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าจะถูกด่า ก็เลยช่างมันเถอะ แล้วกลับไปพูดคุยเล่นกับนางกำนัลในสวนดอกไม้แทน
พระชายาเอกนั่งลงในห้องที่ว่างเปล่า ในใจรู้สึกเย็นยะเยือก
ดูเหมือนว่านางใกล้จะทนไม่ไหวกับชายคนนี้แล้ว
ทั้งตอนที่โง่เขลา ตอนที่สุข ตอนที่โมโห นางล้วนเจอมาหมดแล้วทำได้เพียงแต่ยอมรับ
ทว่าก่อนหน้านี้ท่านแม่ของนางมาเยี่ยม พาน้องสาวและน้องชายเข้ามาไม่นาน สายตาที่ไท่จื่อมองน้องสาวและน้องชายของนางทำเอาอกสั่นขวัญหาย
ชายคนนี้คงจะบ้าไปแล้ว!
ก็แค่ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง ทำไมท่านแม่ถึงต้องเกลี้ยกล่อมให้นางมัดใจไท่จื่อเอาไว้ให้ได้กัน…
พระชายาเอกคลำที่หางตา พบว่ามีน้ำตาที่เย็นเฉียบไหลออกมา
……
หลังจากผ่านเดือนห้ามาได้ครึ่งเดือนดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสงบลง เพียงแต่ว่าพอถึงปลายเดือนห้า เสนาบดีกรมพระคลังเกิดเป็นไข้แดดต้องรักษาตัว จึงยื่นหนังสือขอเกษียณอย่างเป็นทางการ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหนี่ยวรั้งไว้หลายครั้งตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เสนาบดีกรมพระคลังก็ยังคงยืนหยัดที่จะไป สุดท้ายก็สำเร็จดั่งหวัง
เป็นไปตามที่คิดไว้ ผู้ที่รับตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลังต่อไปก็คือจ้าวซื่อหลาง
จ้าวซื่อหลางที่เพิ่งจะอายุห้าสิบต้นๆ กลายเป็นหนึ่งในหกขุนนางชั้นอาวุโส แสดงให้เห็นว่าจะมีอนาคตที่งดงาม อยู่ดีๆ ประตูจวนจ้าวก็มีคนพลุกพล่านวุ่นวาย ไม่รู้ว่าคนมาแสดงความยินดีมีจำนวนมากเท่าไร
จ้าวซื่อหลางคนเดิม หรือเสนาบดีจ้าวคนปัจจุบัน ในใจก็ระลึกถึงและขอบคุณคนคนหนึ่งอยู่
“ที่ข้ามีวันนี้ได้ เป็นเพราะพระคุณของเยี่ยนอ๋อง” ภายในห้อง เสนาบดีจ้าวทอดถอนใจคุยกับฮูหยิน
หลายวันมานี้ฮูหยินของเสนาบดีก็พลอยยิ้มแย้มเบิกบาน พอได้ยินจึงยิ้มพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องใกล้จะคลอดแล้ว ถึงตอนนั้นก็ตระเตรียมของขวัญที่มีค่าส่งไปให้เที่จวนเยี่ยนอ๋องเจ้าค่ะ”
เสนาบดีจ้าพยักหน้าเห็นด้วย “ฮูหยินจำไว้ในใจก็พอ พระชายาเยี่ยนอ๋องใกล้จะคลอดแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงไม่แม้แต่จะออกไปข้างนอก อยากจะนัดเยี่ยนอ๋องมาดื่มเหล้าเพื่อแสดงความขอบคุณก็มิอาจทำได้ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงเอาใจใส่ครุ่นคิดเรื่องของขวัญที่จะมอบให้แทน”
“แต่ก็ไม่รู้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะคลอดในเดือนห้าหรือไม่” ฮูหยินของเสนาบดีพูดพลางถอนหายใจออกมา
มีคนจำนวนไม่น้อยคิดแบบนี้
เด็กที่คลอดในเดือนที่เลวร้าย จะได้รับความสุขไม่เต็มอิ่ม
ภายใต้ความสนใจจากทุกคนที่คอยดูอยู่เงียบๆ เมื่อถึงวันสุดท้ายของเดือนห้า ในที่สุดเจียงซื่อก็อาการกำเริบแล้ว