มีรถม้าจำนวนมากมายสัญจรมาหยุดอยู่ ณ ประตูจวนเยี่ยนอ๋อง รถม้าแต่ละคันงดงามสง่า ทยอยมากันเรื่อยๆ
ไม่ว่าฮ่องเต้คิดอย่างไรในการแต่งตั้งพระธิดาองค์โตของเยี่ยนอ๋อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งทุกคนล้วนเข้าใจตรงกันนั่นคือเยี่ยนอ๋องและพระชายาของเขาได้รับความชื่นชอบจากฮ่องเต้ยิ่งนัก
หากสามารถเอาชนะสายตาของผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ต้าโจวได้ แน่นอนว่าก็ควรค่าที่จะเข้าไปสนิทสนมด้วย
บัดนี้แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยพบกับเยี่ยนอ๋องและพระชายามาก่อน ก็ยังได้พยายามส่งของกำนัลมาร่วมแสดงความยินดีมากมาย
รถม้าคันหนึ่งวิ่งตรงออกมาจากพระราชวัง ลักษณะภายนอกดูเรียบง่าย บนรถนั้นผู้ที่นั่งอยู่ก็คือไท่จื่อและพระชายาของเขา
ในวันนี้พระชายาเอกสวมชุดคลุมสีแดงดอกกุหลาบ พร้อมจี้ประดับมุกที่หู รอยยิ้มซึ่งหาดูได้ยากของนางปรากฏขึ้นบนใบหน้า มองไปดุจดั่งดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง
ไท่จื่ออดไม่ได้ที่จะหันไปเหลือบมองอยู่สองสามครั้งแล้วกล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าเป็นเช่นนี้ในทุกๆ วัน คงจะดียิ่งไม่ใช่หรือ”
“ตามปกติแล้วหม่อมฉันทำสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ” พระชายาเอกเอ่ยถามเบาๆ
ไท่จื่อชะงักลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ไม่สดใสเช่นในวันนี้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ไท่จื่อก็ได้เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวอีกว่า “เพียงแค่เดินทางไปร่วมมื้ออาหาร แสดงความยินดีครบรอบหนึ่งเดือนของบุตรีขอวเยี่ยนอ๋องที่จวนเยี่ยนอ๋องเท่านั้น เจ้าจำเป็นต้องเเต่งกายเช่นนี้เชียวหรือ”
เมื่อนึกถึงน้องชายที่โดดเด่นผู้นั้น ไท่จื่อก็เกิดอารมณ์หดหู่ทันใด
หรือว่าหยางซื่อจะมองอวี้จิ่นในมุมมองที่ไม่ธรรมดากัน
พระชายาเอกไม่รู้ว่าไท่จื่อมีความคิดบิดเบี้ยวเช่นนี้ นางเพียงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เยี่ยนอ๋องมีบุญคุณช่วยชีวิตฉุนเกอเอ๋อร์เอาไว้ พวกเราควรที่จะให้ความเคารพเขาหน่อยไม่ใช่หรือ ที่ท่านเดินทางไปร้องขอเสด็จให้พ่ออนุญาตเดินทางออกมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรือ”
ไท่จื่อยกมือขึ้นแตะจมูกเบาๆ “อืม เป็นดังนั้น”
ตามเหตุผลแล้ว งานเลี้ยงครบรอบอายุหนึ่งเดือนของจวิ้นจู่ ไท่จื่อไม่จำเป็นต้องเสด็จออกจากวังเพื่อมาร่วมงาน เพียงแค่ให้คนส่งของไปร่วมแสดงความยินดีก็พอ
แต่การที่ไท่จื่อวิ่งไปอ้อนวอนขอจิงหมิงฮ่องเต้ นั่นหมายความว่าเขาคงจะรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่เยี่ยนอ๋องเคยช่วยฉุนเกอเอ๋อร์เอาไว้ ดังนั้นในงานครบรอบอายุหนึ่งเดือนของพระธิดาเยี่ยนอ๋อง เขาจึงต้องการจะพาพระชายาเอกไปร่วมเฉลิมฉลองด้วย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นด้วยหากไท่จื่อต้องการจะขอบใจเยี่ยนอ๋อง จึงอนุญาตโดยไม่ลังเล ดังนั้นบัดนี้ที่พระชายาเอกหยิบยกเรื่องนี้ออกมากล่าว ไท่จื่อจึงไม่มีสิ่งใดจะโต้เถียง
แท้จริงแล้วไท่จื่อมุ่งจุดประสงค์ไปที่เอ้อร์หนิวต่างหาก
หลังจากที่เขาเคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่วัดไท่ในครั้งนั้น ไท่จื่อก็มีความรู้สึกต่อคำว่าแผ่นดินไหวเปลี่ยนไปทันที ประกอบกับในครั้งนั้นเขาเกือบจะได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองจิ๋นหลี่เสียแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
หากไม่มีเอ้อร์หนิวล่ะก็ เขาผู้พักผ่อนอยู่ในเมืองจิ๋นหลี่ก็คงจะถูกฝังทั้งเป็น เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่าช่างเป็นฝันร้าย
ในความเป็นจริง หลังจากที่ไท่จื่อเสด็จกลับพระราชวัง เขาก็ได้ฝันร้ายอยู่หลายครั้ง และแต่ละครั้งล้วนถูกหินกรวดเหล่านั้นทับถมมาบนร่างกาย ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่อาจจะดิ้นรนหนีได้เลย อีกทั้งเขาไม่สามารถร้องออกมาได้
ท้ายที่สุดแล้วหากไม่ใช่ฝันเห็นหินมหึมาทับศีรษะตนจนเสียชีวิต ก็คงจะถูกเอ้อร์หนิวลากออกมา
ไท่จื่อมีความคิดหนึ่งอย่างมุ่งมั่นว่าเขาจะต้องได้ตัวเอ้อร์หนิวมา
หากมีสุนัขซึ่งมีพลังเหนือธรรมชาติเช่นเอ้อร์หนิว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแผ่นดินไหวอีกต่อไป
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสเดินทางมายังจวนเยี่ยนอ๋องอย่างเปิดเผย ไท่จื่อคงจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปแน่
รถม้าดำเนินใบด้านหน้าในที่สุดก็หยุดลง
ไท่จื่อและพระชายาเอกลงจากรถม้า มีบ่าวรับใช้มากมายสวมเสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยคอยยืนรับใช้อยู่ด้านข้างคอยนำทาง
ในวันนี้ ผู้ที่เดินทางมาจวนเยี่ยนอ๋องมากมายจนไม่อาจนับได้ แน่นอนว่าจะให้พวกเขารวมตัวอยู่ที่เดียวกันคงไม่เหมาะสม ประการแรก เพราะที่นี่ไม่มีสถานที่ใหญ่โตเพียงพอ ประการที่สอง ฐานะตัวตนของแต่ละคนแตกต่างกัน
บ่าวรับใช้เดินนำไท่จื่อและพระชายาเอกไปยังสวนดอกไม้ในจวนอ๋อง
ในเดือนเจ็ดเช่นนี้ การชื่นชมดอกไม้ในสวน แน่นอนว่าดีกว่าการถูกกักอยู่ในห้องโถงเป็นไหนๆ ผู้ที่ถูกจัดให้อยู่ในสวนดอกไม้แห่งนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์และญาติสนิทของเจียงซื่อเท่านั้น
เมื่อมองไปเห็นใบหน้าของฉีอ๋องและคนอื่นๆ อันคุ้นเคย ไท่จื่อก็กล่าวขึ้นอย่างไร้ความอดทนว่า “เอาล่ะไม่จำเป็นต้องนำทางข้าแล้ว”
บ่าวรับใช้น้อมรับคำแล้วจากไปอย่างมีมารยาท
ไท่จื่อเดินตรงเข้าไปพลางชมความงดงามของดอกไม้ในสวน ก่อนจะยิ้มขึ้นกล่าวว่า “สวนดอกไม้ในจวนเยี่ยนอ๋องช่างไม่มีดอกไม้ล้ำค่าโดดเด่นเอาเสียจริง”
“ต้นไม้ดอกไม้ไม่ได้สำคัญที่ล้ำค่า เพียงสามารถผลิดอกออกผลมาอย่างเบ่งบานก็เพียงพอแล้ว” พระชายาเอกไม่ค่อยมีโอกาสเดินทางออกมาร่วมงานเลี้ยงนอกพระราชวังนัก นางเองก็มองออกไปทั้งสี่ทิศเช่นเดียวกับไท่จื่อ
ไท่จื่อหันไปมองดูพระชายาเอก แล้วได้แต่แอบขมวดคิ้วขึ้น
นางกล่าวว่าซาบซึ้งใจที่เจ้าเจ็ดมีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเอาไว้อย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่านางมีใจให้แก่เจ้าเจ็ดต่างหาก!
เมื่อนึกถึงท่าทางของพระชายาเอกที่มีต่อเขาในช่วงนี้ค่อนข้างจะเฉยชา หัวใจของไท่จื่อก็รู้สึกหนักอึ้ง
สตรีนางนี้คงไม่ได้อยากจะสวมเขาให้เขาหรอกใช่หรือไม่
หึๆ หากนางกล้าจะคิดทำเช่นนั้น เขาจะบีบคอนางให้ตายก่อนแล้วค่อยไปจัดการกับเจ้าเจ็ดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในขณะที่ไท่จื่อกำลังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา จู่ๆ แววตาทั้งคู่ก็ได้เป็นประกายขึ้น
สุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ข้างพุ่มไม้ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หากไม่ใช่เอ้อร์หนิวแล้วจะเป็นสุนัขตัวใดได้อีกเล่า
“เจ้าไปก่อนเถิด” ไท่จื่อหันมากำชับกับพระชายาเอกแล้วรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เอ้อร์หนิวกำลังนอนเล่นอย่างเพลิดเพลินเย็นสบาย เมื่อมันสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ ก็ส่งสายตามองไปด้วยความระแวดระวัง
“เอ้อร์หนิว เป็นข้าเอง” ไท่จื่อยังไม่กล้าเข้าไปใกล้มันเท่าไรนัก เขาได้แต่ยืนห่างออกไปประมาณครึ่งจั้ง แล้วยิ้มให้มันด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ
พระชายาเอกซึ่งมีท่าทางสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด บัดนี้เมื่อนางเห็นฉากตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างมองดูด้วยความประหลาดใจ
ไท่จื่อเข้าไปหยอกล้อเล่นกับสุนัขตัวตนนี้โดยไร้เหตุไร้ผล เขาเป็นอะไรไปกัน แต่สิ่งที่ทำให้พระชายาเอกรู้สึกประหลาดใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือภาพที่ตามมา
เมื่อไท่จื่อพบว่าเอ้อร์หนิวไม่ได้แยกเขี้ยวคำรามใส่ จึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วหยิบถุงกระดาษน้ำมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาเปิดออกพลางกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบกินเนื้อวัวตุ๋น ครั้งนี้ข้าจึงนำมันมาให้เจ้าโดยเฉพาะ นี่คือเนื้อวัวตุ๋นที่พ่อครัวหลวงทำเชียวนะ เจ้าลองชิมดูสิว่ารสชาติดีกว่าที่เจ้ากินทุกวันนี้หรือไม่”
พระชายาเอกเบิกตากว้างยิ่งขึ้น
ห่อเนื้อตุ๋นนั้น ไท่จื่อใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อตั้งแต่เมื่อไรกัน
ชั่ววินาทีนี้ พระชายาเอกจึงรู้สึกว่าตัวนางยังไม่รู้จักไท่จื่อมากพอ
เดิมทีนางคิดว่าตนเข้าใจถึงชายผู้นี้ว่าโง่เง่าและเลวร้ายเพียงไร แต่คิดไม่ถึงว่าเขามีด้านนี้ให้เห็นด้วย
พระชายาเอกรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก นางยืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน
แน่นอนว่าบัดนี้ไท่จื่อไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่นแม้กระทั่งความรู้สึกและอารมณ์ของพระชายาเอกที่อยู่ด้านข้าง เขานำห่อกระดาษน้ำมันนั่นยื่นเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง
เอ้อร์หนิวเบือนหน้าหนีด้วยความเย่อหยิ่ง
เนื้อวัวตุ๋นหรือ บัดนี้ไม่ใช่สิ่งที่มันชื่นชอบแล้ว เพราะมันชื่นชอบเนื้อนึ่งมากกว่า
“ไม่ชอบหรือ”
ไท่จื่อไม่ยอมแพ้ เขาก้มตัวลงไปนำเนื้อวัวตุ๋นวางไว้ที่พื้นแล้วกล่าวว่า “เป็นฝีมือจากพ่อครัวหลวงเชียว เจ้าไม่เคยกินอย่างแน่นอน”
หูของเอ้อร์หนิวขยับเขยื้อนเล็กน้อย
ครัวหลวงคือสิ่งใด จะลองชิมดูสักหน่อยก็ได้
เอ้อร์หนิวก้มลงสูดดมเนื้อก้อนนั้นที่วางอยู่บนพื้น เมื่อมันแน่ใจว่าเนื้อก้อนนั้นไม่มีปัญหาจึงได้กัดเข้าไปคำหนึ่ง
เนื้อวัวที่มีความหนุบหนับส่งกลิ่นหอมละมุนลิ้น
เมื่อรสชาตินั้นเป็นที่ถูกปากของเอ้อร์หนิว เจ้าสุนัขตัวโตจึงได้กินอย่างมีความสุข
เมื่อพบว่าเอ้อร์หนิวกินเนื้อวัวตุ๋นอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดเกลี้ยง ไท่จื่อรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาลองก้าวเข้าไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง
เอ้อร์หนิวเงยหน้าขึ้นแล้วเลียริมฝีปากมัน
คนผู้นี้ต้องการทำสิ่งใด
ไท่จื่อก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง
เอ้อร์หนิวจ้องมองผู้ที่เข้ามาใกล้มันเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ แล้วคิดอยู่ในใจว่า ใกล้จะถึงระยะที่มันไม่อาจทนได้แล้ว
เมื่อไท่จื่อเห็นว่าการที่ตนก้าวเข้าไปใกล้เอ้อร์หนิวแต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาใดต่อต้าน เขาจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก
ถึงอย่างไรทั้งสองก็เคยผ่านเหตุการณ์อันแสนยากแค้นในอำเภอเฉียนเหอมาด้วยกัน อีกทั้งเนื้อห่อนี้มันก็กินเสียจนเอร็ดอร่อย คาดว่าเจ้าสุนัขตัวโตคงจะรู้สึกคุ้นเคยกับเขาแล้วใช่หรือไม่
เขาเคยเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่เคยเลี้ยงสุนัข พวกเขากล่าวว่าตราบใดที่สุนัขเหล่านั้นยินยอมที่จะกินอาหารของใครบางคนที่ให้พวกมัน นั่นหมายความว่าสุนัขตัวนั้นยอมรับคนคนนั้นแล้ว
“เอ้อร์หนิว เนื้อตุ๋นอร่อยหรือไม่”
เอ้อร์หนิวสะบัดหางของมันไปมา
มันเป็นเพียงแค่สุนัขที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เนื้อตุ๋นนี้หากเทียบกับสิ่งที่มันเคยกินแล้วก่อนหน้าก็ถือว่าอร่อยกว่ามากทีเดียว
ไท่จื่อก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่งพร้อมด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในอนาคตเจ้าสู้ไปอยู่กับข้าดีกว่าไหม ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้ากินเนื้อตุ๋นในทุกๆ วัน”
สุนัขตัวใหญ่กระโจนขึ้นไปกัดก้นของไท่จื่อทันที
ไท่จื่อส่งเสียงร้องออกมาอย่างโหยหวน จากนั้นบรรดาแขกเหรื่อที่เห็นฉากนี้ก็พากันกรีดร้องด้วยความตกใจ
“แย่แล้ว ไท่จื่อถูกสุนัขกัด!”