ผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดเข้ามาเพื่อจะช่วย (มุงดู) ไท่จื่อ
เอ้อร์หนิวกัดก้นของไท่จื่อไม่ยอมปล่อย ไท่จื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดว่า “โอ้ยๆๆ เอามันออกไปที เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด! เจ้าไม่ห้ามสุนัขของเจ้าหน่อยหรือ!”
อวี้จิ่นเดินตรงเข้ามาแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เอ้อร์หนิว ปล่อย”
เอ้อร์หนิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากออก
เห็นแก่ที่ชายคนนี้ให้เนื้อวัวตุ๋นรสชาติดีแก่มันกิน ดังนั้นมันจึงไม่ได้กัดอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าเขาจะร้องออกมาอย่างโหยหวนเช่นนี้
ช่างเถอะ ไปเล่นกับนายน้อยดีกว่า!
เอ้อร์หนิวสะบัดหางเดินจากไป
“หยุด!” ข้าหลวงที่ติดตามไท่จื่อมาด้วยเข้ามาพยุงไท่จื่อเอาไว้แล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหลมคมต่อเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองข้าหลวงด้วยแววตาจริงจัง
ทำไมหรือ เจ้าก็อยากจะถูกกัดสักหนเช่นกัน?
ดูเหมือนข้าหลวงผู้นั้นจะเข้าใจในความหมายของเอ้อร์หนิว จึงตกใจจนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ สุนัขตัวนี้ทำให้ไท่จื่อต้องตื่นตระหนก จะปล่อยมันไปเช่นนี้หรือ”
ไม่รอให้อวี้จิ่นกล่าวสิ่งใดออกมา ไท่จื่อได้ตำหนิเขาทันทีว่า “หุบปากเสีย ยังไม่รีบพาข้าไปทำแผลอีก!”
บัดนี้เอ้อร์หนิวยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเจ้านาย การที่มันกัดเขาแล้วอย่างไรเล่า ใช่เหตุผลที่จะให้บ่าวรับใช้ต่ำต้อยผู้นี้ก้าวขึ้นมาดุด่าหรือ
ข้าหลวงได้แต่ตกตะลึง
เขารีบเข้าไปช่วยไท่จื่อเอาไว้อย่างรวดเร็ว เหตุใดเจ้าสัตว์ที่กัดไท่จื่อกลับไม่ถูกดุ กลายเป็นเขาที่ถูกดุเสียได้
หรือในใจของฝ่าบาท เขาไม่อาจสู้ได้แม้กระทั่งเจ้าสุนัขตัวนี้!
ข้าหลวงบัดนี้ได้แต่สงสัยในตนเอง
ไท่จื่อเหลือบไปชำเลืองมองข้าหลวงผู้นั้นแล้วก็คิดอยู่ในใจเช่นกันว่า มีสิ่งใดให้รู้สึกสงสัยกัน ก็แค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วไม่อาจสู้เอ้อร์หนิวได้เลย ในโลกนี้มีเพียงเอ้อร์หนิวที่สามารถสัมผัสถึงแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า
“พี่รอง เข้าไปทำแผลในเรือนก่อนเถิด” อวี้จิ่นกล่าวออกมาด้วยท่าทางใจเย็น
“อืม รีบพาข้าไปเถิด” ไท่จื่อเอามือกุมบั้นท้ายเอาไว้แล้วกล่าวออกมาเหงื่อตกเย็นเยือก
อวี้จิ่นคือนายในจวนหลังนี้ ดังนั้นเขาจึงเดินติดตามไท่จื่อไปด้วย
พระชายาเอกยืนอยู่ที่เดิมด้วยแววตาอันซับซ้อน
พระชายาคนอื่นๆ พากันเข้ามารายล้อม
“พี่สะใภ้รอง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน” พระชายาหลู่อ๋องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
พระชายาเอกเหลือบมองไปยังพวกนางแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ยังไม่รู้”
จะให้นางบอกกับทุกคนว่าไท่จื่อคิดจะลักพาตัวสุนัขของเยี่ยนอ๋องแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงทำให้ถูกมันกัดน่ะหรือ
สิ่งเดียวที่พระชายาเอกรู้สึกว่าโชคดียิ่งนักก็คือในวันนี้นางไม่ได้พาฉุนเกอเอ๋อร์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย โอรสของนางไม่ควรจะต้องเห็นภาพของเสด็จพ่อที่สร้างเรื่องน่าตลกและไร้สาระเช่นนี้ขึ้น
ภายในห้อง ไท่จื่อถอดกางเกงออก หมอเหลียงจึงได้รีบใส่ยาให้แก่เขา
“โอ๊ยๆ! เบาๆ เบามือหน่อย!” ไท่จื่อโหยร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ไท่จื่อที่เติบโตขึ้นมาด้วยความเอาใจใส่ในทุกๆ ด้าน ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยต้องกระทบกระทั่งสิ่งใดแม้แต่น้อย การเดินทางไปยังอำเภอเฉียนเหอเป็นการเดินทางที่ลำบากที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว เขาจะไปทนกับการถูกสุนัขกัดได้อย่างไร
หลังจากที่หมอเหลียงทำความสะอาดรักษาบาดแผลให้แก่ไท่จื่ออยู่ ก็ได้กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “โชคดีเหลือเกินที่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกถลอกเล็กน้อย ฝ่าบาททรงอดทนสักหน่อย หากไม่รักษาบาดแผลให้สะอาดสะอ้าน อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ในอนาคต…”
ในที่สุดก็ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จสิ้น หมอเหลียงแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะกำชับถึงเรื่องที่ควรระวังหลังจากนี้ แล้วหยิบกล่องยาเดินจากไป
เมื่อครู่ไท่จื่อเพิ่งจะใส่ยาลงไปที่แผล ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงนอนเปลือยบั้นท้ายอยู่บนเตียง
ข้าหลวงก้าวเข้ามาเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมพยุงลุกขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“บัดนี้ข้ายังไม่อาจใส่กางเกงได้ เจ้าจะให้ข้าเดินแก้ผ้าอย่างงั้นหรือ ไสหัวออกไปคอยคุ้มกันอยู่ที่หน้าประตู!”
ข้าหลวงถูกตำหนิดังนั้นจึงได้เดินออกไปเฝ้าประตูอย่างเงียบๆ
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นมองดูอวี้จิ่น
“พี่รองพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด วันนี้ข้ายุ่งยิ่งนัก ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้ ขอตัวก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกกับพี่สะใภ้รองว่าท่านอยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นกำลังจะหันหลังเดินจากไป ไท่จื่อก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “น้องเจ็ด เจ้าอย่าเพิ่งไป!”
อวี้จิ่นมองไปทางไท่จื่อด้วยสายตาเย็นชา “พี่รองยังมีเรื่องใดอีกหรือ”
ไท่จื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขารู้สึกชื่นชอบเอ้อร์หนิวมาเป็นเวลานาน หากไม่ทำสิ่งใดเลยแล้วจะให้เขารอจนอวี้จิ่นมอบเอ้อร์หนิวมาให้เขาก่อนหรือไร
ดั่งที่โบราณว่า ดูฤกษ์ดูยามก็สู้เลือกเวลาอันสะดวกไม่ได้ เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คาดว่าเจ้าเจ็ดคงไม่ทำให้รัชทายาทต้องขุ่นเคืองเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวกระมัง
หลังจากที่ไท่จื่อตัดสินใจแล้วจึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันขมขื่นว่า “ในวันนี้เอ้อร์หนิวกัดข้าไม่เบาเลย…”
อวี้จิ่นกเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “พี่รองทำบางอย่างกับเอ้อร์หนิวใช่หรือไม่”
ไท่จื่อกล่าวขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจว่า “ข้าทำอะไรเล่า ข้าเพียงแค่ให้มันกินเนื้อวัวตุ๋นเท่านั้นเอง เอ้อร์หนิวชื่นชอบยิ่งนัก มันกินเสียจนเกลี้ยงทีเดียว”
คาดไม่ถึงว่าที่ปากของมันยังมีเศษเนื้อติดอยู่ แต่กลับหันมากัดเขาเสียอย่างนั้น
สุนัขตัวนี้เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างโหดเหี้ยมเสียจริง ไท่จื่อครุ่นคิดอยู่ในใจ
ดวงตาอันงดงามคู่นั้นของอวี้จิ่นหรี่มองไป
จู่ๆ ก็ให้ของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล คาดว่าในใจคงจะต้องมีแผนการชั่วร้ายแน่นอน เนื้อวัวตุ๋นที่ไท่จื่อให้เอ้อร์หนิวกิน คาดว่าคงจะนำมาจากพระราชวังโดยเจตนาน่ะสิ วางแผนมาดียิ่งนัก
ไท่จื่อเห็นว่าตนได้ปูทางไปพอประมาณแล้ว จึงได้ลากน้ำเสียงยาวกล่าวว่า “น้องเจ็ด เจ้าดูเถิด ข้าเป็นถึงไท่จื่อ แต่ทุกคนกลับเห็นค่าถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าให้ เรื่องนี้คงจะปล่อยไปไม่ได้แน่”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ ไม่ทราบว่าพี่รองต้องการทำเช่นไร”
ไท่จื่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาพยายามทำสีหน้านิ่งเงียบออกมาเพื่อไม่ให้ดูดีใจจนเกินเหตุ “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้ามอบเอ้อร์หนิวให้ข้า ดังนั้นเอ้อร์หนิวก็จะนับว่า เป็นสุนัขหลวง ไม่สามารถลงโทษหรือฆ่ามันได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างไรจะให้ข้าขายหน้าเช่นนี้ก็คงไม่ดี ในเมื่อเอ้อร์หนิวกัดข้า แต่ต่อมาข้ากลายไปเป็นเจ้านายของมัน เช่นนี้ปัญหาก็ถูกจัดการคลี่คลายได้…”
อวี้จิ่นแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด
วกไปวนมาอยู่ครึ่งวัน ที่แท้ไท่จื่อต้องการจะได้เอ้อร์หนิวนี่เอง
เขามองไปทางไท่จื่อด้วยแววตาอันลึกล้ำ
ไท่จื่อกลายเป็นผู้ที่อยากได้ของคนอื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าอย่างไร” เมื่อพบว่าอวี้จิ่นไม่กล่าววาจาใดออกมา ไท่จื่อจึงได้เอ่ยถาม
ข้าหลวงที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูด้านนอกก็เข้าใจได้ในทันที
มิน่าเล่า ไท่จื่อถูกสุนัขกัดแต่กลับไม่ขุ่นเคืองใจ ที่แท้เป็นเพราะทรงต้องการสุนัขตัวนั้น
ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องจะตกลงหรือไม่
ข้าหลวงได้แต่เงี่ยหูฟัง
อวี้จิ่นกล่าวด้วยสีหน้าอันไร้ความรู้สึกว่า “ข้าคาดว่าคงไม่ได้”
ไท่จื่อโมโหจนแทบหายใจไม่ออก เขาคิดมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าบางทีเจ้าเจ็ดอาจจะปฏิเสธอยู่เล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เอ้อร์หนิวกัดก้นของเขาโดยไม่คิดเมื่อครู่นี้
เจ้าเจ็ดมีความเคารพในไท่จื่อเช่นเขาบ้างหรือไม่กันแน่
ไท่จื่อรู้สึกขายหน้า สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองนัก
“น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวกัดข้า จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้หรือ หากเจ้าไม่มอบเอ้อร์หนิวมาให้ข้า คาดว่าสุนัขที่กัดไท่จื่อคงไม่อาจปล่อยไปได้…” ประโยคหลังจากนั้น ไท่จื่อไม่ได้กล่าวมันออกมาเนื่องจากถูกสายตาอันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของอีกฝ่ายจ้องมองขึ้น
สายตาของอวี้จิ่นดูเยือกเย็น เย็นดุจดั่งมีดน้ำแข็งที่สามารถเจาะทะลุร่างของผู้คนได้
จู่ๆ ไท่จื่อก็มีความรู้สึกว่าบาดแผลที่ก้นนั้นเจ็บยิ่งกว่าเดิม เขาอยากจะเอื้อมมือไปจับมัน
“น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไร…” ไท่จื่อรู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย
อวี้จิ่นสงบสติอารมณ์คืนสู่ความปกติแล้วตอบเบาๆ ว่า “พี่รอง สามารถไปทูลต่อเสด็จพ่อเพื่อฟ้องร้องเอ้อร์หนิวก็ย่อมได้ หากควรลงโทษเช่นไรก็ให้ลงโทษตามนั้น ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อจะตัดสินเรื่องนี้ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็หยุดลงครู่หนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นทันที “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจะต้องบอกกับพี่รองเอาไว้ล่วงหน้า”
ไท่จื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอันน่าสะพรึงกลัวของอวี้จิ่นที่แผ่ออกมา จึงได้เอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “เรื่องใด”
อวี้จิ่นกล่าวขึ้นทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ของของคนอื่น ต่อให้ดีเพียงไรข้าก็ไม่เคยคิดจะอยากได้มัน ในทำนองเดียวกัน ของของข้า คนอื่นก็อย่าได้ยื่นมือเข้ามาแตะต้อง พี่รองจงจำสิ่งนี้เอาไว้ ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน”
เมื่อกล่าวจบ อวี้จิ่นก็ไม่แม้แต่จะหันไปชายตามองไท่จื่อ เขาผลักประตูเดินออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงไท่จื่อและข้าหลวงที่กำลังนั่งตกตะลึง ผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดเข้ามาเพื่อจะช่วย (มุงดู) ไท่จื่อ
เอ้อร์หนิวกัดก้นของไท่จื่อไม่ยอมปล่อย ไท่จื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดว่า “โอ้ยๆๆ เอามันออกไปที เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด! เจ้าไม่ห้ามสุนัขของเจ้าหน่อยหรือ!”
อวี้จิ่นเดินตรงเข้ามาแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เอ้อร์หนิว ปล่อย”
เอ้อร์หนิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากออก
เห็นแก่ที่ชายคนนี้ให้เนื้อวัวตุ๋นรสชาติดีแก่มันกิน ดังนั้นมันจึงไม่ได้กัดอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าเขาจะร้องออกมาอย่างโหยหวนเช่นนี้
ช่างเถอะ ไปเล่นกับนายน้อยดีกว่า!
เอ้อร์หนิวสะบัดหางเดินจากไป
“หยุด!” ข้าหลวงที่ติดตามไท่จื่อมาด้วยเข้ามาพยุงไท่จื่อเอาไว้แล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหลมคมต่อเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองข้าหลวงด้วยแววตาจริงจัง
ทำไมหรือ เจ้าก็อยากจะถูกกัดสักหนเช่นกัน?
ดูเหมือนข้าหลวงผู้นั้นจะเข้าใจในความหมายของเอ้อร์หนิว จึงตกใจจนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ สุนัขตัวนี้ทำให้ไท่จื่อต้องตื่นตระหนก จะปล่อยมันไปเช่นนี้หรือ”
ไม่รอให้อวี้จิ่นกล่าวสิ่งใดออกมา ไท่จื่อได้ตำหนิเขาทันทีว่า “หุบปากเสีย ยังไม่รีบพาข้าไปทำแผลอีก!”
บัดนี้เอ้อร์หนิวยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเจ้านาย การที่มันกัดเขาแล้วอย่างไรเล่า ใช่เหตุผลที่จะให้บ่าวรับใช้ต่ำต้อยผู้นี้ก้าวขึ้นมาดุด่าหรือ
ข้าหลวงได้แต่ตกตะลึง
เขารีบเข้าไปช่วยไท่จื่อเอาไว้อย่างรวดเร็ว เหตุใดเจ้าสัตว์ที่กัดไท่จื่อกลับไม่ถูกดุ กลายเป็นเขาที่ถูกดุเสียได้
หรือในใจของฝ่าบาท เขาไม่อาจสู้ได้แม้กระทั่งเจ้าสุนัขตัวนี้!
ข้าหลวงบัดนี้ได้แต่สงสัยในตนเอง
ไท่จื่อเหลือบไปชำเลืองมองข้าหลวงผู้นั้นแล้วก็คิดอยู่ในใจเช่นกันว่า มีสิ่งใดให้รู้สึกสงสัยกัน ก็แค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วไม่อาจสู้เอ้อร์หนิวได้เลย ในโลกนี้มีเพียงเอ้อร์หนิวที่สามารถสัมผัสถึงแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า
“พี่รอง เข้าไปทำแผลในเรือนก่อนเถิด” อวี้จิ่นกล่าวออกมาด้วยท่าทางใจเย็น
“อืม รีบพาข้าไปเถิด” ไท่จื่อเอามือกุมบั้นท้ายเอาไว้แล้วกล่าวออกมาเหงื่อตกเย็นเยือก
อวี้จิ่นคือนายในจวนหลังนี้ ดังนั้นเขาจึงเดินติดตามไท่จื่อไปด้วย
พระชายาเอกยืนอยู่ที่เดิมด้วยแววตาอันซับซ้อน
พระชายาคนอื่นๆ พากันเข้ามารายล้อม
“พี่สะใภ้รอง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน” พระชายาหลู่อ๋องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
พระชายาเอกเหลือบมองไปยังพวกนางแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ยังไม่รู้”
จะให้นางบอกกับทุกคนว่าไท่จื่อคิดจะลักพาตัวสุนัขของเยี่ยนอ๋องแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงทำให้ถูกมันกัดน่ะหรือ
สิ่งเดียวที่พระชายาเอกรู้สึกว่าโชคดียิ่งนักก็คือในวันนี้นางไม่ได้พาฉุนเกอเอ๋อร์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย โอรสของนางไม่ควรจะต้องเห็นภาพของเสด็จพ่อที่สร้างเรื่องน่าตลกและไร้สาระเช่นนี้ขึ้น
ภายในห้อง ไท่จื่อถอดกางเกงออก หมอเหลียงจึงได้รีบใส่ยาให้แก่เขา
“โอ๊ยๆ! เบาๆ เบามือหน่อย!” ไท่จื่อโหยร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ไท่จื่อที่เติบโตขึ้นมาด้วยความเอาใจใส่ในทุกๆ ด้าน ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยต้องกระทบกระทั่งสิ่งใดแม้แต่น้อย การเดินทางไปยังอำเภอเฉียนเหอเป็นการเดินทางที่ลำบากที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว เขาจะไปทนกับการถูกสุนัขกัดได้อย่างไร
หลังจากที่หมอเหลียงทำความสะอาดรักษาบาดแผลให้แก่ไท่จื่ออยู่ ก็ได้กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “โชคดีเหลือเกินที่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกถลอกเล็กน้อย ฝ่าบาททรงอดทนสักหน่อย หากไม่รักษาบาดแผลให้สะอาดสะอ้าน อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ในอนาคต…”
ในที่สุดก็ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จสิ้น หมอเหลียงแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะกำชับถึงเรื่องที่ควรระวังหลังจากนี้ แล้วหยิบกล่องยาเดินจากไป
เมื่อครู่ไท่จื่อเพิ่งจะใส่ยาลงไปที่แผล ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงนอนเปลือยบั้นท้ายอยู่บนเตียง
ข้าหลวงก้าวเข้ามาเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมพยุงลุกขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“บัดนี้ข้ายังไม่อาจใส่กางเกงได้ เจ้าจะให้ข้าเดินแก้ผ้าอย่างงั้นหรือ ไสหัวออกไปคอยคุ้มกันอยู่ที่หน้าประตู!”
ข้าหลวงถูกตำหนิดังนั้นจึงได้เดินออกไปเฝ้าประตูอย่างเงียบๆ
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นมองดูอวี้จิ่น
“พี่รองพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด วันนี้ข้ายุ่งยิ่งนัก ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้ ขอตัวก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกกับพี่สะใภ้รองว่าท่านอยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นกำลังจะหันหลังเดินจากไป ไท่จื่อก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “น้องเจ็ด เจ้าอย่าเพิ่งไป!”
อวี้จิ่นมองไปทางไท่จื่อด้วยสายตาเย็นชา “พี่รองยังมีเรื่องใดอีกหรือ”
ไท่จื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขารู้สึกชื่นชอบเอ้อร์หนิวมาเป็นเวลานาน หากไม่ทำสิ่งใดเลยแล้วจะให้เขารอจนอวี้จิ่นมอบเอ้อร์หนิวมาให้เขาก่อนหรือไร
ดั่งที่โบราณว่า ดูฤกษ์ดูยามก็สู้เลือกเวลาอันสะดวกไม่ได้ เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คาดว่าเจ้าเจ็ดคงไม่ทำให้รัชทายาทต้องขุ่นเคืองเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวกระมัง
หลังจากที่ไท่จื่อตัดสินใจแล้วจึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันขมขื่นว่า “ในวันนี้เอ้อร์หนิวกัดข้าไม่เบาเลย…”
อวี้จิ่นกเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “พี่รองทำบางอย่างกับเอ้อร์หนิวใช่หรือไม่”
ไท่จื่อกล่าวขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจว่า “ข้าทำอะไรเล่า ข้าเพียงแค่ให้มันกินเนื้อวัวตุ๋นเท่านั้นเอง เอ้อร์หนิวชื่นชอบยิ่งนัก มันกินเสียจนเกลี้ยงทีเดียว”
คาดไม่ถึงว่าที่ปากของมันยังมีเศษเนื้อติดอยู่ แต่กลับหันมากัดเขาเสียอย่างนั้น
สุนัขตัวนี้เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างโหดเหี้ยมเสียจริง ไท่จื่อครุ่นคิดอยู่ในใจ
ดวงตาอันงดงามคู่นั้นของอวี้จิ่นหรี่มองไป
จู่ๆ ก็ให้ของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล คาดว่าในใจคงจะต้องมีแผนการชั่วร้ายแน่นอน เนื้อวัวตุ๋นที่ไท่จื่อให้เอ้อร์หนิวกิน คาดว่าคงจะนำมาจากพระราชวังโดยเจตนาน่ะสิ วางแผนมาดียิ่งนัก
ไท่จื่อเห็นว่าตนได้ปูทางไปพอประมาณแล้ว จึงได้ลากน้ำเสียงยาวกล่าวว่า “น้องเจ็ด เจ้าดูเถิด ข้าเป็นถึงไท่จื่อ แต่ทุกคนกลับเห็นค่าถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าให้ เรื่องนี้คงจะปล่อยไปไม่ได้แน่”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ ไม่ทราบว่าพี่รองต้องการทำเช่นไร”
ไท่จื่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาพยายามทำสีหน้านิ่งเงียบออกมาเพื่อไม่ให้ดูดีใจจนเกินเหตุ “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้ามอบเอ้อร์หนิวให้ข้า ดังนั้นเอ้อร์หนิวก็จะนับว่า เป็นสุนัขหลวง ไม่สามารถลงโทษหรือฆ่ามันได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างไรจะให้ข้าขายหน้าเช่นนี้ก็คงไม่ดี ในเมื่อเอ้อร์หนิวกัดข้า แต่ต่อมาข้ากลายไปเป็นเจ้านายของมัน เช่นนี้ปัญหาก็ถูกจัดการคลี่คลายได้…”
อวี้จิ่นแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด
วกไปวนมาอยู่ครึ่งวัน ที่แท้ไท่จื่อต้องการจะได้เอ้อร์หนิวนี่เอง
เขามองไปทางไท่จื่อด้วยแววตาอันลึกล้ำ
ไท่จื่อกลายเป็นผู้ที่อยากได้ของคนอื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าอย่างไร” เมื่อพบว่าอวี้จิ่นไม่กล่าววาจาใดออกมา ไท่จื่อจึงได้เอ่ยถาม
ข้าหลวงที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูด้านนอกก็เข้าใจได้ในทันที
มิน่าเล่า ไท่จื่อถูกสุนัขกัดแต่กลับไม่ขุ่นเคืองใจ ที่แท้เป็นเพราะทรงต้องการสุนัขตัวนั้น
ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องจะตกลงหรือไม่
ข้าหลวงได้แต่เงี่ยหูฟัง
อวี้จิ่นกล่าวด้วยสีหน้าอันไร้ความรู้สึกว่า “ข้าคาดว่าคงไม่ได้”
ไท่จื่อโมโหจนแทบหายใจไม่ออก เขาคิดมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าบางทีเจ้าเจ็ดอาจจะปฏิเสธอยู่เล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เอ้อร์หนิวกัดก้นของเขาโดยไม่คิดเมื่อครู่นี้
เจ้าเจ็ดมีความเคารพในไท่จื่อเช่นเขาบ้างหรือไม่กันแน่
ไท่จื่อรู้สึกขายหน้า สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองนัก
“น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวกัดข้า จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้หรือ หากเจ้าไม่มอบเอ้อร์หนิวมาให้ข้า คาดว่าสุนัขที่กัดไท่จื่อคงไม่อาจปล่อยไปได้…” ประโยคหลังจากนั้น ไท่จื่อไม่ได้กล่าวมันออกมาเนื่องจากถูกสายตาอันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของอีกฝ่ายจ้องมองขึ้น
สายตาของอวี้จิ่นดูเยือกเย็น เย็นดุจดั่งมีดน้ำแข็งที่สามารถเจาะทะลุร่างของผู้คนได้
จู่ๆ ไท่จื่อก็มีความรู้สึกว่าบาดแผลที่ก้นนั้นเจ็บยิ่งกว่าเดิม เขาอยากจะเอื้อมมือไปจับมัน
“น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไร…” ไท่จื่อรู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย
อวี้จิ่นสงบสติอารมณ์คืนสู่ความปกติแล้วตอบเบาๆ ว่า “พี่รอง สามารถไปทูลต่อเสด็จพ่อเพื่อฟ้องร้องเอ้อร์หนิวก็ย่อมได้ หากควรลงโทษเช่นไรก็ให้ลงโทษตามนั้น ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อจะตัดสินเรื่องนี้ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็หยุดลงครู่หนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นทันที “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจะต้องบอกกับพี่รองเอาไว้ล่วงหน้า”
ไท่จื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอันน่าสะพรึงกลัวของอวี้จิ่นที่แผ่ออกมา จึงได้เอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “เรื่องใด”
อวี้จิ่นกล่าวขึ้นทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ของของคนอื่น ต่อให้ดีเพียงไรข้าก็ไม่เคยคิดจะอยากได้มัน ในทำนองเดียวกัน ของของข้า คนอื่นก็อย่าได้ยื่นมือเข้ามาแตะต้อง พี่รองจงจำสิ่งนี้เอาไว้ ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน”
เมื่อกล่าวจบ อวี้จิ่นก็ไม่แม้แต่จะหันไปชายตามองไท่จื่อ เขาผลักประตูเดินออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงไท่จื่อและข้าหลวงที่กำลังนั่งตกตะลึง ผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดเข้ามาเพื่อจะช่วย (มุงดู) ไท่จื่อ
เอ้อร์หนิวกัดก้นของไท่จื่อไม่ยอมปล่อย ไท่จื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดว่า “โอ้ยๆๆ เอามันออกไปที เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด! เจ้าไม่ห้ามสุนัขของเจ้าหน่อยหรือ!”
อวี้จิ่นเดินตรงเข้ามาแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เอ้อร์หนิว ปล่อย”
เอ้อร์หนิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากออก
เห็นแก่ที่ชายคนนี้ให้เนื้อวัวตุ๋นรสชาติดีแก่มันกิน ดังนั้นมันจึงไม่ได้กัดอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าเขาจะร้องออกมาอย่างโหยหวนเช่นนี้
ช่างเถอะ ไปเล่นกับนายน้อยดีกว่า!
เอ้อร์หนิวสะบัดหางเดินจากไป
“หยุด!” ข้าหลวงที่ติดตามไท่จื่อมาด้วยเข้ามาพยุงไท่จื่อเอาไว้แล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหลมคมต่อเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองข้าหลวงด้วยแววตาจริงจัง
ทำไมหรือ เจ้าก็อยากจะถูกกัดสักหนเช่นกัน?
ดูเหมือนข้าหลวงผู้นั้นจะเข้าใจในความหมายของเอ้อร์หนิว จึงตกใจจนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ สุนัขตัวนี้ทำให้ไท่จื่อต้องตื่นตระหนก จะปล่อยมันไปเช่นนี้หรือ”
ไม่รอให้อวี้จิ่นกล่าวสิ่งใดออกมา ไท่จื่อได้ตำหนิเขาทันทีว่า “หุบปากเสีย ยังไม่รีบพาข้าไปทำแผลอีก!”
บัดนี้เอ้อร์หนิวยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเจ้านาย การที่มันกัดเขาแล้วอย่างไรเล่า ใช่เหตุผลที่จะให้บ่าวรับใช้ต่ำต้อยผู้นี้ก้าวขึ้นมาดุด่าหรือ
ข้าหลวงได้แต่ตกตะลึง
เขารีบเข้าไปช่วยไท่จื่อเอาไว้อย่างรวดเร็ว เหตุใดเจ้าสัตว์ที่กัดไท่จื่อกลับไม่ถูกดุ กลายเป็นเขาที่ถูกดุเสียได้
หรือในใจของฝ่าบาท เขาไม่อาจสู้ได้แม้กระทั่งเจ้าสุนัขตัวนี้!
ข้าหลวงบัดนี้ได้แต่สงสัยในตนเอง
ไท่จื่อเหลือบไปชำเลืองมองข้าหลวงผู้นั้นแล้วก็คิดอยู่ในใจเช่นกันว่า มีสิ่งใดให้รู้สึกสงสัยกัน ก็แค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วไม่อาจสู้เอ้อร์หนิวได้เลย ในโลกนี้มีเพียงเอ้อร์หนิวที่สามารถสัมผัสถึงแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า
“พี่รอง เข้าไปทำแผลในเรือนก่อนเถิด” อวี้จิ่นกล่าวออกมาด้วยท่าทางใจเย็น
“อืม รีบพาข้าไปเถิด” ไท่จื่อเอามือกุมบั้นท้ายเอาไว้แล้วกล่าวออกมาเหงื่อตกเย็นเยือก
อวี้จิ่นคือนายในจวนหลังนี้ ดังนั้นเขาจึงเดินติดตามไท่จื่อไปด้วย
พระชายาเอกยืนอยู่ที่เดิมด้วยแววตาอันซับซ้อน
พระชายาคนอื่นๆ พากันเข้ามารายล้อม
“พี่สะใภ้รอง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน” พระชายาหลู่อ๋องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
พระชายาเอกเหลือบมองไปยังพวกนางแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ยังไม่รู้”
จะให้นางบอกกับทุกคนว่าไท่จื่อคิดจะลักพาตัวสุนัขของเยี่ยนอ๋องแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงทำให้ถูกมันกัดน่ะหรือ
สิ่งเดียวที่พระชายาเอกรู้สึกว่าโชคดียิ่งนักก็คือในวันนี้นางไม่ได้พาฉุนเกอเอ๋อร์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย โอรสของนางไม่ควรจะต้องเห็นภาพของเสด็จพ่อที่สร้างเรื่องน่าตลกและไร้สาระเช่นนี้ขึ้น
ภายในห้อง ไท่จื่อถอดกางเกงออก หมอเหลียงจึงได้รีบใส่ยาให้แก่เขา
“โอ๊ยๆ! เบาๆ เบามือหน่อย!” ไท่จื่อโหยร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ไท่จื่อที่เติบโตขึ้นมาด้วยความเอาใจใส่ในทุกๆ ด้าน ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยต้องกระทบกระทั่งสิ่งใดแม้แต่น้อย การเดินทางไปยังอำเภอเฉียนเหอเป็นการเดินทางที่ลำบากที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว เขาจะไปทนกับการถูกสุนัขกัดได้อย่างไร
หลังจากที่หมอเหลียงทำความสะอาดรักษาบาดแผลให้แก่ไท่จื่ออยู่ ก็ได้กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “โชคดีเหลือเกินที่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกถลอกเล็กน้อย ฝ่าบาททรงอดทนสักหน่อย หากไม่รักษาบาดแผลให้สะอาดสะอ้าน อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ในอนาคต…”
ในที่สุดก็ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จสิ้น หมอเหลียงแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะกำชับถึงเรื่องที่ควรระวังหลังจากนี้ แล้วหยิบกล่องยาเดินจากไป
เมื่อครู่ไท่จื่อเพิ่งจะใส่ยาลงไปที่แผล ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงนอนเปลือยบั้นท้ายอยู่บนเตียง
ข้าหลวงก้าวเข้ามาเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมพยุงลุกขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“บัดนี้ข้ายังไม่อาจใส่กางเกงได้ เจ้าจะให้ข้าเดินแก้ผ้าอย่างงั้นหรือ ไสหัวออกไปคอยคุ้มกันอยู่ที่หน้าประตู!”
ข้าหลวงถูกตำหนิดังนั้นจึงได้เดินออกไปเฝ้าประตูอย่างเงียบๆ
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นมองดูอวี้จิ่น
“พี่รองพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด วันนี้ข้ายุ่งยิ่งนัก ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้ ขอตัวก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกกับพี่สะใภ้รองว่าท่านอยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นกำลังจะหันหลังเดินจากไป ไท่จื่อก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “น้องเจ็ด เจ้าอย่าเพิ่งไป!”
อวี้จิ่นมองไปทางไท่จื่อด้วยสายตาเย็นชา “พี่รองยังมีเรื่องใดอีกหรือ”
ไท่จื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขารู้สึกชื่นชอบเอ้อร์หนิวมาเป็นเวลานาน หากไม่ทำสิ่งใดเลยแล้วจะให้เขารอจนอวี้จิ่นมอบเอ้อร์หนิวมาให้เขาก่อนหรือไร
ดั่งที่โบราณว่า ดูฤกษ์ดูยามก็สู้เลือกเวลาอันสะดวกไม่ได้ เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คาดว่าเจ้าเจ็ดคงไม่ทำให้รัชทายาทต้องขุ่นเคืองเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวกระมัง
หลังจากที่ไท่จื่อตัดสินใจแล้วจึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันขมขื่นว่า “ในวันนี้เอ้อร์หนิวกัดข้าไม่เบาเลย…”
อวี้จิ่นกเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “พี่รองทำบางอย่างกับเอ้อร์หนิวใช่หรือไม่”
ไท่จื่อกล่าวขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจว่า “ข้าทำอะไรเล่า ข้าเพียงแค่ให้มันกินเนื้อวัวตุ๋นเท่านั้นเอง เอ้อร์หนิวชื่นชอบยิ่งนัก มันกินเสียจนเกลี้ยงทีเดียว”
คาดไม่ถึงว่าที่ปากของมันยังมีเศษเนื้อติดอยู่ แต่กลับหันมากัดเขาเสียอย่างนั้น
สุนัขตัวนี้เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างโหดเหี้ยมเสียจริง ไท่จื่อครุ่นคิดอยู่ในใจ
ดวงตาอันงดงามคู่นั้นของอวี้จิ่นหรี่มองไป
จู่ๆ ก็ให้ของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล คาดว่าในใจคงจะต้องมีแผนการชั่วร้ายแน่นอน เนื้อวัวตุ๋นที่ไท่จื่อให้เอ้อร์หนิวกิน คาดว่าคงจะนำมาจากพระราชวังโดยเจตนาน่ะสิ วางแผนมาดียิ่งนัก
ไท่จื่อเห็นว่าตนได้ปูทางไปพอประมาณแล้ว จึงได้ลากน้ำเสียงยาวกล่าวว่า “น้องเจ็ด เจ้าดูเถิด ข้าเป็นถึงไท่จื่อ แต่ทุกคนกลับเห็นค่าถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าให้ เรื่องนี้คงจะปล่อยไปไม่ได้แน่”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ ไม่ทราบว่าพี่รองต้องการทำเช่นไร”
ไท่จื่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาพยายามทำสีหน้านิ่งเงียบออกมาเพื่อไม่ให้ดูดีใจจนเกินเหตุ “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้ามอบเอ้อร์หนิวให้ข้า ดังนั้นเอ้อร์หนิวก็จะนับว่า เป็นสุนัขหลวง ไม่สามารถลงโทษหรือฆ่ามันได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างไรจะให้ข้าขายหน้าเช่นนี้ก็คงไม่ดี ในเมื่อเอ้อร์หนิวกัดข้า แต่ต่อมาข้ากลายไปเป็นเจ้านายของมัน เช่นนี้ปัญหาก็ถูกจัดการคลี่คลายได้…”
อวี้จิ่นแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด
วกไปวนมาอยู่ครึ่งวัน ที่แท้ไท่จื่อต้องการจะได้เอ้อร์หนิวนี่เอง
เขามองไปทางไท่จื่อด้วยแววตาอันลึกล้ำ
ไท่จื่อกลายเป็นผู้ที่อยากได้ของคนอื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าอย่างไร” เมื่อพบว่าอวี้จิ่นไม่กล่าววาจาใดออกมา ไท่จื่อจึงได้เอ่ยถาม
ข้าหลวงที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูด้านนอกก็เข้าใจได้ในทันที
มิน่าเล่า ไท่จื่อถูกสุนัขกัดแต่กลับไม่ขุ่นเคืองใจ ที่แท้เป็นเพราะทรงต้องการสุนัขตัวนั้น
ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องจะตกลงหรือไม่
ข้าหลวงได้แต่เงี่ยหูฟัง
อวี้จิ่นกล่าวด้วยสีหน้าอันไร้ความรู้สึกว่า “ข้าคาดว่าคงไม่ได้”
ไท่จื่อโมโหจนแทบหายใจไม่ออก เขาคิดมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าบางทีเจ้าเจ็ดอาจจะปฏิเสธอยู่เล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เอ้อร์หนิวกัดก้นของเขาโดยไม่คิดเมื่อครู่นี้
เจ้าเจ็ดมีความเคารพในไท่จื่อเช่นเขาบ้างหรือไม่กันแน่
ไท่จื่อรู้สึกขายหน้า สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองนัก
“น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวกัดข้า จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้หรือ หากเจ้าไม่มอบเอ้อร์หนิวมาให้ข้า คาดว่าสุนัขที่กัดไท่จื่อคงไม่อาจปล่อยไปได้…” ประโยคหลังจากนั้น ไท่จื่อไม่ได้กล่าวมันออกมาเนื่องจากถูกสายตาอันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของอีกฝ่ายจ้องมองขึ้น
สายตาของอวี้จิ่นดูเยือกเย็น เย็นดุจดั่งมีดน้ำแข็งที่สามารถเจาะทะลุร่างของผู้คนได้
จู่ๆ ไท่จื่อก็มีความรู้สึกว่าบาดแผลที่ก้นนั้นเจ็บยิ่งกว่าเดิม เขาอยากจะเอื้อมมือไปจับมัน
“น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไร…” ไท่จื่อรู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย
อวี้จิ่นสงบสติอารมณ์คืนสู่ความปกติแล้วตอบเบาๆ ว่า “พี่รอง สามารถไปทูลต่อเสด็จพ่อเพื่อฟ้องร้องเอ้อร์หนิวก็ย่อมได้ หากควรลงโทษเช่นไรก็ให้ลงโทษตามนั้น ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อจะตัดสินเรื่องนี้ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็หยุดลงครู่หนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นทันที “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจะต้องบอกกับพี่รองเอาไว้ล่วงหน้า”
ไท่จื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอันน่าสะพรึงกลัวของอวี้จิ่นที่แผ่ออกมา จึงได้เอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “เรื่องใด”
อวี้จิ่นกล่าวขึ้นทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ของของคนอื่น ต่อให้ดีเพียงไรข้าก็ไม่เคยคิดจะอยากได้มัน ในทำนองเดียวกัน ของของข้า คนอื่นก็อย่าได้ยื่นมือเข้ามาแตะต้อง พี่รองจงจำสิ่งนี้เอาไว้ ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน”
เมื่อกล่าวจบ อวี้จิ่นก็ไม่แม้แต่จะหันไปชายตามองไท่จื่อ เขาผลักประตูเดินออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงไท่จื่อและข้าหลวงที่กำลังนั่งตกตะลึง ผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดเข้ามาเพื่อจะช่วย (มุงดู) ไท่จื่อ
เอ้อร์หนิวกัดก้นของไท่จื่อไม่ยอมปล่อย ไท่จื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดว่า “โอ้ยๆๆ เอามันออกไปที เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด! เจ้าไม่ห้ามสุนัขของเจ้าหน่อยหรือ!”
อวี้จิ่นเดินตรงเข้ามาแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เอ้อร์หนิว ปล่อย”
เอ้อร์หนิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากออก
เห็นแก่ที่ชายคนนี้ให้เนื้อวัวตุ๋นรสชาติดีแก่มันกิน ดังนั้นมันจึงไม่ได้กัดอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าเขาจะร้องออกมาอย่างโหยหวนเช่นนี้
ช่างเถอะ ไปเล่นกับนายน้อยดีกว่า!
เอ้อร์หนิวสะบัดหางเดินจากไป
“หยุด!” ข้าหลวงที่ติดตามไท่จื่อมาด้วยเข้ามาพยุงไท่จื่อเอาไว้แล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหลมคมต่อเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองข้าหลวงด้วยแววตาจริงจัง
ทำไมหรือ เจ้าก็อยากจะถูกกัดสักหนเช่นกัน?
ดูเหมือนข้าหลวงผู้นั้นจะเข้าใจในความหมายของเอ้อร์หนิว จึงตกใจจนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ สุนัขตัวนี้ทำให้ไท่จื่อต้องตื่นตระหนก จะปล่อยมันไปเช่นนี้หรือ”
ไม่รอให้อวี้จิ่นกล่าวสิ่งใดออกมา ไท่จื่อได้ตำหนิเขาทันทีว่า “หุบปากเสีย ยังไม่รีบพาข้าไปทำแผลอีก!”
บัดนี้เอ้อร์หนิวยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเจ้านาย การที่มันกัดเขาแล้วอย่างไรเล่า ใช่เหตุผลที่จะให้บ่าวรับใช้ต่ำต้อยผู้นี้ก้าวขึ้นมาดุด่าหรือ
ข้าหลวงได้แต่ตกตะลึง
เขารีบเข้าไปช่วยไท่จื่อเอาไว้อย่างรวดเร็ว เหตุใดเจ้าสัตว์ที่กัดไท่จื่อกลับไม่ถูกดุ กลายเป็นเขาที่ถูกดุเสียได้
หรือในใจของฝ่าบาท เขาไม่อาจสู้ได้แม้กระทั่งเจ้าสุนัขตัวนี้!
ข้าหลวงบัดนี้ได้แต่สงสัยในตนเอง
ไท่จื่อเหลือบไปชำเลืองมองข้าหลวงผู้นั้นแล้วก็คิดอยู่ในใจเช่นกันว่า มีสิ่งใดให้รู้สึกสงสัยกัน ก็แค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วไม่อาจสู้เอ้อร์หนิวได้เลย ในโลกนี้มีเพียงเอ้อร์หนิวที่สามารถสัมผัสถึงแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า
“พี่รอง เข้าไปทำแผลในเรือนก่อนเถิด” อวี้จิ่นกล่าวออกมาด้วยท่าทางใจเย็น
“อืม รีบพาข้าไปเถิด” ไท่จื่อเอามือกุมบั้นท้ายเอาไว้แล้วกล่าวออกมาเหงื่อตกเย็นเยือก
อวี้จิ่นคือนายในจวนหลังนี้ ดังนั้นเขาจึงเดินติดตามไท่จื่อไปด้วย
พระชายาเอกยืนอยู่ที่เดิมด้วยแววตาอันซับซ้อน
พระชายาคนอื่นๆ พากันเข้ามารายล้อม
“พี่สะใภ้รอง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน” พระชายาหลู่อ๋องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
พระชายาเอกเหลือบมองไปยังพวกนางแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ยังไม่รู้”
จะให้นางบอกกับทุกคนว่าไท่จื่อคิดจะลักพาตัวสุนัขของเยี่ยนอ๋องแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงทำให้ถูกมันกัดน่ะหรือ
สิ่งเดียวที่พระชายาเอกรู้สึกว่าโชคดียิ่งนักก็คือในวันนี้นางไม่ได้พาฉุนเกอเอ๋อร์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย โอรสของนางไม่ควรจะต้องเห็นภาพของเสด็จพ่อที่สร้างเรื่องน่าตลกและไร้สาระเช่นนี้ขึ้น
ภายในห้อง ไท่จื่อถอดกางเกงออก หมอเหลียงจึงได้รีบใส่ยาให้แก่เขา
“โอ๊ยๆ! เบาๆ เบามือหน่อย!” ไท่จื่อโหยร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ไท่จื่อที่เติบโตขึ้นมาด้วยความเอาใจใส่ในทุกๆ ด้าน ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยต้องกระทบกระทั่งสิ่งใดแม้แต่น้อย การเดินทางไปยังอำเภอเฉียนเหอเป็นการเดินทางที่ลำบากที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว เขาจะไปทนกับการถูกสุนัขกัดได้อย่างไร
หลังจากที่หมอเหลียงทำความสะอาดรักษาบาดแผลให้แก่ไท่จื่ออยู่ ก็ได้กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “โชคดีเหลือเกินที่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกถลอกเล็กน้อย ฝ่าบาททรงอดทนสักหน่อย หากไม่รักษาบาดแผลให้สะอาดสะอ้าน อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ในอนาคต…”
ในที่สุดก็ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จสิ้น หมอเหลียงแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะกำชับถึงเรื่องที่ควรระวังหลังจากนี้ แล้วหยิบกล่องยาเดินจากไป
เมื่อครู่ไท่จื่อเพิ่งจะใส่ยาลงไปที่แผล ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงนอนเปลือยบั้นท้ายอยู่บนเตียง
ข้าหลวงก้าวเข้ามาเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมพยุงลุกขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“บัดนี้ข้ายังไม่อาจใส่กางเกงได้ เจ้าจะให้ข้าเดินแก้ผ้าอย่างงั้นหรือ ไสหัวออกไปคอยคุ้มกันอยู่ที่หน้าประตู!”
ข้าหลวงถูกตำหนิดังนั้นจึงได้เดินออกไปเฝ้าประตูอย่างเงียบๆ
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นมองดูอวี้จิ่น
“พี่รองพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด วันนี้ข้ายุ่งยิ่งนัก ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้ ขอตัวก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกกับพี่สะใภ้รองว่าท่านอยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นกำลังจะหันหลังเดินจากไป ไท่จื่อก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “น้องเจ็ด เจ้าอย่าเพิ่งไป!”
อวี้จิ่นมองไปทางไท่จื่อด้วยสายตาเย็นชา “พี่รองยังมีเรื่องใดอีกหรือ”
ไท่จื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขารู้สึกชื่นชอบเอ้อร์หนิวมาเป็นเวลานาน หากไม่ทำสิ่งใดเลยแล้วจะให้เขารอจนอวี้จิ่นมอบเอ้อร์หนิวมาให้เขาก่อนหรือไร
ดั่งที่โบราณว่า ดูฤกษ์ดูยามก็สู้เลือกเวลาอันสะดวกไม่ได้ เมื่อเป็นดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คาดว่าเจ้าเจ็ดคงไม่ทำให้รัชทายาทต้องขุ่นเคืองเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวกระมัง
หลังจากที่ไท่จื่อตัดสินใจแล้วจึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันขมขื่นว่า “ในวันนี้เอ้อร์หนิวกัดข้าไม่เบาเลย…”
อวี้จิ่นกเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “พี่รองทำบางอย่างกับเอ้อร์หนิวใช่หรือไม่”
ไท่จื่อกล่าวขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจว่า “ข้าทำอะไรเล่า ข้าเพียงแค่ให้มันกินเนื้อวัวตุ๋นเท่านั้นเอง เอ้อร์หนิวชื่นชอบยิ่งนัก มันกินเสียจนเกลี้ยงทีเดียว”
คาดไม่ถึงว่าที่ปากของมันยังมีเศษเนื้อติดอยู่ แต่กลับหันมากัดเขาเสียอย่างนั้น
สุนัขตัวนี้เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างโหดเหี้ยมเสียจริง ไท่จื่อครุ่นคิดอยู่ในใจ
ดวงตาอันงดงามคู่นั้นของอวี้จิ่นหรี่มองไป
จู่ๆ ก็ให้ของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล คาดว่าในใจคงจะต้องมีแผนการชั่วร้ายแน่นอน เนื้อวัวตุ๋นที่ไท่จื่อให้เอ้อร์หนิวกิน คาดว่าคงจะนำมาจากพระราชวังโดยเจตนาน่ะสิ วางแผนมาดียิ่งนัก
ไท่จื่อเห็นว่าตนได้ปูทางไปพอประมาณแล้ว จึงได้ลากน้ำเสียงยาวกล่าวว่า “น้องเจ็ด เจ้าดูเถิด ข้าเป็นถึงไท่จื่อ แต่ทุกคนกลับเห็นค่าถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าให้ เรื่องนี้คงจะปล่อยไปไม่ได้แน่”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ ไม่ทราบว่าพี่รองต้องการทำเช่นไร”
ไท่จื่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาพยายามทำสีหน้านิ่งเงียบออกมาเพื่อไม่ให้ดูดีใจจนเกินเหตุ “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้ามอบเอ้อร์หนิวให้ข้า ดังนั้นเอ้อร์หนิวก็จะนับว่า เป็นสุนัขหลวง ไม่สามารถลงโทษหรือฆ่ามันได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างไรจะให้ข้าขายหน้าเช่นนี้ก็คงไม่ดี ในเมื่อเอ้อร์หนิวกัดข้า แต่ต่อมาข้ากลายไปเป็นเจ้านายของมัน เช่นนี้ปัญหาก็ถูกจัดการคลี่คลายได้…”
อวี้จิ่นแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด
วกไปวนมาอยู่ครึ่งวัน ที่แท้ไท่จื่อต้องการจะได้เอ้อร์หนิวนี่เอง
เขามองไปทางไท่จื่อด้วยแววตาอันลึกล้ำ
ไท่จื่อกลายเป็นผู้ที่อยากได้ของคนอื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าอย่างไร” เมื่อพบว่าอวี้จิ่นไม่กล่าววาจาใดออกมา ไท่จื่อจึงได้เอ่ยถาม
ข้าหลวงที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูด้านนอกก็เข้าใจได้ในทันที
มิน่าเล่า ไท่จื่อถูกสุนัขกัดแต่กลับไม่ขุ่นเคืองใจ ที่แท้เป็นเพราะทรงต้องการสุนัขตัวนั้น
ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องจะตกลงหรือไม่
ข้าหลวงได้แต่เงี่ยหูฟัง
อวี้จิ่นกล่าวด้วยสีหน้าอันไร้ความรู้สึกว่า “ข้าคาดว่าคงไม่ได้”
ไท่จื่อโมโหจนแทบหายใจไม่ออก เขาคิดมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าบางทีเจ้าเจ็ดอาจจะปฏิเสธอยู่เล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เอ้อร์หนิวกัดก้นของเขาโดยไม่คิดเมื่อครู่นี้
เจ้าเจ็ดมีความเคารพในไท่จื่อเช่นเขาบ้างหรือไม่กันแน่
ไท่จื่อรู้สึกขายหน้า สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองนัก
“น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวกัดข้า จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้หรือ หากเจ้าไม่มอบเอ้อร์หนิวมาให้ข้า คาดว่าสุนัขที่กัดไท่จื่อคงไม่อาจปล่อยไปได้…” ประโยคหลังจากนั้น ไท่จื่อไม่ได้กล่าวมันออกมาเนื่องจากถูกสายตาอันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของอีกฝ่ายจ้องมองขึ้น
สายตาของอวี้จิ่นดูเยือกเย็น เย็นดุจดั่งมีดน้ำแข็งที่สามารถเจาะทะลุร่างของผู้คนได้
จู่ๆ ไท่จื่อก็มีความรู้สึกว่าบาดแผลที่ก้นนั้นเจ็บยิ่งกว่าเดิม เขาอยากจะเอื้อมมือไปจับมัน
“น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไร…” ไท่จื่อรู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย
อวี้จิ่นสงบสติอารมณ์คืนสู่ความปกติแล้วตอบเบาๆ ว่า “พี่รอง สามารถไปทูลต่อเสด็จพ่อเพื่อฟ้องร้องเอ้อร์หนิวก็ย่อมได้ หากควรลงโทษเช่นไรก็ให้ลงโทษตามนั้น ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อจะตัดสินเรื่องนี้ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็หยุดลงครู่หนึ่ง น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นทันที “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจะต้องบอกกับพี่รองเอาไว้ล่วงหน้า”
ไท่จื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอันน่าสะพรึงกลัวของอวี้จิ่นที่แผ่ออกมา จึงได้เอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “เรื่องใด”
อวี้จิ่นกล่าวขึ้นทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ของของคนอื่น ต่อให้ดีเพียงไรข้าก็ไม่เคยคิดจะอยากได้มัน ในทำนองเดียวกัน ของของข้า คนอื่นก็อย่าได้ยื่นมือเข้ามาแตะต้อง พี่รองจงจำสิ่งนี้เอาไว้ ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน”
เมื่อกล่าวจบ อวี้จิ่นก็ไม่แม้แต่จะหันไปชายตามองไท่จื่อ เขาผลักประตูเดินออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงไท่จื่อและข้าหลวงที่กำลังนั่งตกตะลึง