เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ ณ ถนนสายตะวันตก ผู้ที่จับไท่จื่อไปก็คือเจ้าหน้าที่ของกองทหารม้าซีเฉิง ไท่จื่อถูกนำตัวไปคุมขังอยู่ในห้องขังของกองทหารม้าซีเฉิง
ไท่จื่อพร้อมทั้งข้าหลวงถูกนำตัวออกมาจากห้องขังเพื่อพบเข้ากับผู้ตรวจการแห่งซีเฉิง
กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครมีหน้าที่รับผิดชอบในการจับกุมผู้กระทำความผิด และผู้ตรวจการปัญจทิศรักษานครก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการไต่สวนด้วยเช่นกัน
“พวกเจ้าคือผู้ร้ายก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้น ณ ร้านเจินเป่าจนทำให้ชาวบ้านเหยียบกันตายไปสามคนและบาดเจ็บอีกนับสิบคน?” ผู้ตรวจการซีเฉิงเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้ายาว ตอนนี้รู้สึกปวดศีรษะเป็นอย่างมาก และคิดว่าคดีนี้ไม่อาจจัดการได้โดยง่าย
ทั้งสองคนได้ทำเรื่องอื้อฉาวที่ถือได้ว่าผิดศีลธรรมประเพณี แต่เรื่องนี้ยังส่งผลให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายอีกด้วย ซึ่งทำให้ตัดสินได้ค่อนข้างยาก
โชคดีที่ยังมีกรมราชทัณฑ์ หลังจากจบการพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว ส่งตัวไปให้กรมราชทัณฑ์ก็หมดหน้าที่
สำหรับผู้ตรวจการปัญจทิศรักษานครแล้ว คดีที่ยากในการตัดสินจำเป็นจะต้องถูกส่งต่อไปให้กรมราชทัณฑ์หลังจากที่จบการพิจารณาคดีครั้งแรก
“ช่างกล้านัก เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเรียกเจ้านายของข้าว่าผู้ร้าย!” ข้าหลวงว่ากล่าวด้วยความโกรธ
เสียงอันสูงแหลมเป็นเอกลักษณ์ของกงกง ทำให้ผู้ตรวจการซีเฉิงตกตะลึงจนเหลือบมองไปที่ข้าหลวงผู้นั้นทันที เมื่อเห็นว่าชายที่กำลังพูดอยู่นี้มีใบหน้าขาวผ่องไม่มีหนวดเครา หัวใจของเขาจมดิ่งไปในทันที
ไม่ได้การ นี่ดูเหมือนจะเป็นกงกง!
ที่แผ่นดินต้าโจวแห่งนี้ ผู้ที่สามารถมีกงกงคอยรับใช้ เป็นได้เพียงคนในราชวงศ์เท่านั้น จะกล่าวให้ถูกก็คือหากไม่ใช่คนในพระราชวัง ก็ต้องเป็นคนในจวนอ๋อง
หากผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นท่านอ๋อง เช่นนั้นก็สูงส่งเกินกว่าที่จะลงโทษได้ หากเป็นคนที่อยู่ในพระราชวัง… ผู้ตรวจการซีเฉิงตกใจจนตัวสั่นขึ้นมา
เช่นนั้นคงไม่ใช่ปัญหาของการที่ไม่อาจลงโทษได้อีกต่อไป
“ปิดปากของพวกเขาเอาไว้!” ผู้ตรวจการซีเฉิงไม่สนใจเรื่องการไต่สวนคดีอีกต่อไป เขาอาศัยโอกาสนี้ในการยับยั้งความเป็นไปได้ทั้งหมดในการที่จะบอกถึงสถานะและตัวตนที่แท้จริงของข้าหลวงคนนี้ ในใจของเขาได้สาปแช่งผู้บัญชาการของกองทหารม้าซีเฉิงไปแล้วมากมาย
คนโง่เหล่านี้ต้องการที่จะฆ่าเขาให้ตายหรือ ยังไม่ทันสืบถามให้ได้ความก็จับกุมตัวมาเสียแล้ว
โชคยังดีที่ยังมีกรมราชทัณฑ์!
ไท่จื่อยังไม่ทันได้ตอบโต้อันใดก็ได้ถูกจัดการอย่างเรียบร้อยและว่องไว (ที่สำคัญคือปิดปากไว้ทัน) และถูกส่งตัวไปที่กรมราชทัณฑ์
“เหตุใดจึงต้องปิดปากเขาเอาไว้” เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ประหลาดใจ
เจ้าหน้าที่รับผิดชอบการคุ้มกันชี้ไปที่ศีรษะ “ทั้งสองคนไร้เหตุผลยิ่งนัก หากไม่ปิดปากเอาไว้ก็จะกล่าววาจาไร้สาระออกมา…”
เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ผู้นี้จึงไม่ได้ข้องใจ เขาเปิดบันทึกคดีอ่านแล้วยิ้มกล่าว “คงจะมีปัญหาทางสมองจริงล่ะ ก่อเรื่องวุ่นวายที่ไหนไม่ไป กลับไปทำในสถานที่ที่มีทั้งคนเข้าออกมากมายอย่างร้านเจินเป่า”
เมื่อตอนที่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้กล่าวออกมา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
คนที่ไปก่อเรื่องวุ่นวายในร้านเจินเป่าได้ คงจะเป็นผู้ที่มีเงินทองไม่ใช่หรือ
ถ้าหากมีเงินล่ะก็ เช่นนั้นไม่ได้เรียกว่าสมองผิดปกติ ในเมืองหลวงแห่งนี้เหล่าคุณชายผู้ดีบางคนกล้าที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อแสวงหาความตื่นเต้น
จากประสบการณ์ของเขา สองคนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีสถานะเป็นคนใหญ่คนโตก็ย่อมได้
“เปิดปากของพวกเขาออก”
ในที่สุดปากของไท่จื่อก็ได้เป็นอิสระเสียที เขาหายใจอย่างเหนื่อยหอบ
“พวกเจ้าเป็นใครกัน”
หากว่าเป็นลูกหลานของเหล่าชนชั้นสูง เขาจะชิงใช้โอกาสนี้ในการหาเงินมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่ สองคนนี้คงจะไม่ต้องการให้ผู้อาวุโสในตระกูลรู้เข้าว่าได้ทำเรื่องอื้อฉาวลงไป
ส่วนเรื่องอุบัติเหตุผู้คนเหยียบกันจนมีผู้บาดเจ็บและล้มตายที่ร้านเจินเป่า เรื่องนี้ง่ายยิ่งนัก เพียงแค่ให้ทั้งสองคนจ่ายเงินค่าชดใช้มากสักหน่อยก็สิ้นเรื่อง
หาหากไม่จ่าย? เช่นนั้นก็คงต้องขออภัย เขาทำได้เพียงแจ้งให้คนในตระกูลนำเงินมาไถ่ตัวไปเท่านั้น
เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คิดอย่างค่อนข้างรอบคอบ
หากเป็นคดีฆาตกรรมคงไม่อาจทำตามใจได้เช่นนี้ แต่การที่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายในวันนี้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ จึงมีช่องว่างมากมายสำหรับเรื่องนี้
เมื่อได้เผชิญกับคำถามที่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้ถามออกมา ไท่จื่อไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากำลังจะบอกถึงตัวตนที่แท้จริง แต่เขาก็ถูกปิดปากไปแล้วถึงสองครั้ง หากว่าครั้งนี้ถูกปิดปากอีกครั้งหนึ่งจะทำอย่างไร
ครั้งแรกถูกปิดปากและถูกส่งไปที่ศาลาว่าการกองทหารม้าซีเฉิง ครั้งที่สองถูกปิดปากและถูกส่งมาที่กรมราชทัณฑ์ ถ้าหากว่าถูกปิดปากอีกครั้งหนึ่ง หรือว่าจะต้องถูกส่งไปยังเบื้องหน้าของเสด็จพ่อ!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของไท่จื่อก็มืดมนลง
“เหตุใดจึงไม่พูดไม่จา ที่จริงแล้วพวกเจ้าเป็นใคร รีบยอมรับเสีย!”
ไท่จื่อถูกคำถามนั้นทำให้ตกตะลึง เขารีบหันไปมองข้าหลวง จากนั้นพุ่งตัวเข้าไปและดึงกางเกงของข้าหลวงลง
ข้าหลวงตกตะลึง เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เมื่อได้เห็นเบื้องล่างของข้าหลวงอันว่างเปล่า เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ตัวสั่นจนได้สติกลับมา และสีหน้าของเขาก็ดูไม่น่ามองขึ้นทันที
ไท่จื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก “เห็นแล้วใช่หรือไม่ เขาคือกงกง!”
“ท่านคือ…”
“ข้าคือไท่จื่อ”
เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ล้มลงไปในทันที
ในใจของไท่จื่อรู้สึกดีใจขึ้นมา
แสดงว่าเจ้านี่เชื่อเขา?
“รีบปล่อยข้าไป แล้วข้าจะยกโทษสำหรับความผิดฐานดูหมิ่นของเจ้า”
ไท่จื่อยังไม่ทันกล่าวจบ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ก็เอามือปิดหน้าแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ไท่จื่อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ละมองไปที่ข้าหลวง “เขาทำอะไร”
ข้าหลวงที่ใบหน้าที่ซีดเซียวตัวสั่น “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะไปรายงานให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง”
ข้าหลวงที่โง่เขลาอย่างยิ่งในความคิดของไท่จื่อ ในที่สุดก็มีเรื่องที่เขาเดาได้ถูกต้อง
เมื่อได้ยินคำรายงานจากเจ้าหน้าที่ระดับต้น เลขาธิการกรมราชทัณฑ์ก็มีน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “คนที่ถูกจับมานั้น กล่าวว่าตนคือไท่จื่อ?”
ข้าราชการระดับต้นพยักหน้าอย่างแรง “ข้าน้อยยืนยันได้ขอรับ อีกคนหนึ่งคือกงกงซึ่งไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์!”
ปฏิกิริยาแรกของเลขาธิการกรมราชทัณฑ์คือต้องการที่จะวิ่งหนีไป แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดอุบัติเหตุผู้คนเหยียบกันจนมีผู้บาดเจ็บและล้มตาย หากว่าคนที่ถูกจับมาคือไท่จื่อจริง ผลสุดท้ายจะต้องปิดบังเอาไว้ไม่ได้แน่นอน หากเขาหนีเอาตัวรอด ก็จะต้องมารับผิดชอบในภายหลัง เขาจึงเลิกคิดที่จะวางแผนหนีแล้วลูบไปที่เคราของตนอย่างเป็นทุกข์
“ใต้เท้า ควรทำเช่นไรดี”
“ช่างเถิด ไปรายงานกับท่านเสนาบดีเสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน”
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ค่อนข้างที่จะสุขุมกว่าเลขาธิการกรมราชทัณฑ์เล็กน้อย เขารวบรวมความกล้าหันไปดู จากนั้นศีรษะก็แทบจะระเบิด
เป็นไท่จื่อจริงๆ!
เมื่อไท่จื่อได้เห็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ จึงตะโกนว่า “เสนาบดีเกา รีบปล่อยข้าไปเร็ว!”
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ไม่รู้ว่าตนเองเดินมาอยู่ต่อหน้าของไท่จื่อได้อย่างไร “ข้าน้อยถวายบังคมไท่จื่อ”
ไท่จื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก
โชคดีที่เสนาบดีกรมราชทัณฑ์รู้จักเขา!
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี เจ้าสั่งให้คนพวกนี้รีบปล่อยข้า วันนี้ข้ากลับวังสายแล้ว”
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์โค้งก้มลงเล็กน้อย “ขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์รู้สึกกังวล ข้าน้อยจะปล่อยท่านออกไปเดี๋ยวนี้”
ในที่สุดจิตใจของไท่จื่อก็ได้สงบลงเสียที
เมื่อไม่นานมานี้เขากลับจากศาลาว่าการกรมพระคลังไปถึงที่วังหลวงก็เป็นช่วงเวลานี้เช่นกัน หากกลับไปตอนนี้ก็คงจะไม่ได้เป็นที่สังเกตมากนัก
ไท่จื่อออกมาจากศาลาว่าการกรมราชทัณฑ์และตรงไปที่ศาลาว่าการกรมพระคลัง จากนั้นพาองครักษ์เงาที่รออยู่ ณ กรมพระคลังกลับไปที่พระราชวังอย่างเร่งรีบ
สิ่งที่ไท่จื่อไม่รู้ก็คือ ในตอนที่เท้าข้างหนึ่งของเขาก้าวออกมาจากศาลาว่าการกรมราชทัณฑ์ เท้าข้างหนึ่งของเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ก็ได้ออกเดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้ว
เมื่อเรื่องวุ่นวายมาถึงขั้นนี้ เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจพอที่จะปิดบังเรื่องนี้ให้กับไท่จื่อ การที่รีบไปกราบทูลกับฮ่องเต้คือวิธีการที่คนมีสติปัญญาจะเลือกทำ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เพิ่งจะได้สอบถามถึงเรื่องราวทั่วไปของไท่จื่อช่วงนี้ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อคำชมของเหล่าขุนนางที่กล่าวชื่นชมไท่จื่อ แต่ไท่จื่อเดินทางศึกษางานราชการบ้านเมืองที่ศาลาว่าการอย่างซื่อสัตย์ ก็ถือว่าเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว
จะทำอย่างไรได้ ใครจะยอมปล่อยให้บุตรชายที่กำเนิดจากภรรยาที่ถูกต้องเพียงคนเดียวของเขามีความสามารถและพรสวรรค์ที่แสนธรรมดาเล่า เขาไม่อาจที่จะยัดบุตรชายคนนี้กลับไปเพื่อให้เกิดใหม่ได้
กล่าวกันตามเหตุผล ในส่วนของการอบรมสั่งสอนของไท่จื่อก็ไม่ได้ผ่อนคลาย อาจารย์ผู้สอนล้วนเป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงและน่าเคารพของที่นี่ เหตุใดไท่จื่อจึงเติบโตมาเป็นเช่นนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่เข้าพระทัยอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความสงสัยอีกด้วยว่าตนเองตั้งความหวังเอาไว้สูงเกินไปหรือไม่
แต่ช่างเถิด หากไท่จื่อสามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเป็นผู้สืบทอดของฮ่องเต้
หลังจากที่เพิ่งปลอบโยนตัวเอง เปลือกพระเนตรของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กระตุกขึ้นมาในทันที
สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่สงบและสุขุมเปลี่ยนไปในทันที มีเพียงความคิดเดียวในจิตใจของเขานั้นคือ แย่ล่ะ มีปัญหาเกิดขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้จะเป็นเรื่องใดกัน