ทันทีที่ไท่จื่อเอ่ย ทุกคนในห้องต่างพากันตกตะลึง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วและมองไปที่ไท่จื่อ
ไท่จื่อกลอกตามองไปรอบๆ “ที่นี่คือที่ใด”
“เจ้าไม่รู้จักข้าแล้วหรือ” พระทัยของจิ่งหมิงฮ่องเต้จมดิ่งลงไปเมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา
ไท่จื่อส่ายหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า “ไม่รู้จัก ผู้อาวุโสเป็นใครกัน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้ไปที่ฮองเฮาที่ด้านข้าง “แล้วเจ้ารู้จักนางหรือไม่”
ไท่จื่อกะพริบตาและกล่าวถามด้วยความสงสัย “ใช่ภรรยาของท่านหรือไม่”
“หมอหลวง นี่มันเกิดอะไรขึ้น” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวถามด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
หมอหลวงหลายคนต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นตอบขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่า “ศีรษะของไท่จื่อถูกกระแทกอย่างรุนแรง อาจจะมีเลือดคั่งในสมอง จึงทำให้สูญเสียความทรงจำไปชั่วขณะ…”
“สูญเสียความทรงจำ?” จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ไท่จื่อในทันที
ไท่จื่อทำใบหน้าไร้เดียงสา “ไท่จื่อ? เหตุใดข้าถึงถูกเรียกเช่นนั้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ฮองเฮาเห็นดังนั้นจึงบอกให้พระชายาเอกอยู่ที่นี่เพื่อดูแลไท่จื่อ ส่วนนางเดินตามฮ่องเต้ออกไป
เมื่อเดินออกมาถึงด้านนอก จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงกล่าวถามหมอหลวงขึ้นว่า “การสูญเสียความทรงจำเช่นนี้ จะกลับมาหายดีได้เมื่อไหร่”
“เรื่องนั้น…”
“ว่ามาตามจริง!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงกับหมดความอดทนเมื่อได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดเช่นนี้
“กราบทูลฝ่าบาท สมองของคนเราเป็นส่วนที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนที่สุด ยากที่จะบอกได้ว่าเมื่อไหร่ที่ไท่จื่อจะกลับมาเป็นปกติ หากผ่านไปด้วยดีอาจจะใช้เวลาเพียงสองถึงสามวัน หรืออาจจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปเลยก็ย่อมได้…” หมอหลวงไม่กล้าที่จะกล่าวต่อไป
หากไท่จื่อจำอะไรไม่ได้อย่างถาวร เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้เองก็กำลังคิดถึงปัญหานี้เช่นกัน
เมื่อได้เห็นไท่จื่อเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนจนถึงกับเสียสติ แต่ไม่รู้ว่าจะยังรู้จักการอ่านเขียนอยู่หรือไม่…
“ฝ่าบาท อย่าเพิ่งกังวลไปเลยเพคะ รออีกสักสองวัน ไม่แน่ว่าไท่จื่ออาจจะหายเป็นปกติแล้วก็ย่อมได้” ฮองเฮากล่าวให้กำลังใจ
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้สงบลง ก็ได้เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
ไท่จื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้ามา ในดวงตาก็เผยออกมาถึงความประหลาดใจ “พวกเขาบอกว่าท่านคือฮ่องเต้ และข้าคือไท่จื่อ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าลงเล็กน้อย ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างมาก
ความโกรธที่ถูกก่อขึ้นโดยบุตรชายคนนี้ยังไม่ได้จัดการให้หายไป ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้านี่กลับต้องมาสูญเสียความทรงจำไปเสียก่อน
จะกล่าวโทษคนที่สูญเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่งได้อย่างไร
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวถาม
ไท่จื่ออ้าปากค้าง “ข้า…ข้าคิดว่าก็ค่อนข้างดี เพียงแต่ข้าจำอะไรไม่ได้เลย…”
“ยังปวดศีรษะอยู่หรือไม่”
ไท่จื่อพยักหน้าอย่างซื่อตรง “ยังคงปวดอยู่เล็กน้อย”
สายตามองดูไท่จื่อที่มีผ้าพันแผลอยู่รอบศีรษะ จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิด เอ่ยถามเขาว่า “รู้จักคำที่อยู่ข้างบนนี้หรือไม่”
ไท่จื่ออ่านมันขึ้นมาทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ถามคำถามวิชาความรู้อีกสองสามข้อ และไท่จื่อก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าจะจำไม่ได้แค่เพียงผู้คน แต่ด้านอื่นนอกจากนั้นก็ไม่ได้รับผลกระทบใด
“พระชายาเอก ฝากดูแลไท่จื่อด้วย หากมีเรื่องอะไรให้รีบรายงานมาโดยเร็ว”
พระชายาเอกตอบรับอย่างมีมารยาท
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ไท่จื่อและออกคำสั่งว่า “ส่งไท่จื่อกลับไปที่ตงกง”
หลังจากไท่จื่อออกไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเอามือตบไปบนหน้าผากเบาๆ และบ่นว่า “คลื่นลูกหนึ่งยังไม่ทันสงบ ก็มีคลื่นอีกลูกเกิดขึ้นมาอีก ช่างเป็นปีที่โชคร้ายเสียจริง”
เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดใจแทนจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นอย่างมาก นางจึงกล่าวให้กำลังใจขึ้นว่า “ฝ่าบาทอย่าได้เป็นกังวล อย่างน้อยไท่จื่อก็ไม่ได้ลืมวิชาความรู้ ต่อให้จดจำใครไม่ได้ในช่วงเวลาหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แค่ค่อยๆ ทำความรู้จักไปอย่างช้าๆ ก็เพียงพอแล้ว”
“เจ้าว่าอย่างไร?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามขึ้นในทันที
ฮองเฮาตกตะลึงในคำถาม และกล่าวอย่างลังเลว่า “ข้ากล่าวว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญหากไท่จื่อจะยังจดจำใครไม่ได้ เพียงแค่ค่อยๆ ทำความรู้จักไปก็เพียงพอแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปรบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน “ใช่แล้ว สามารถทำความรู้จักกันไปอย่างช้าๆ ได้ และหลักการของต่างๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ใหม่เช่นกัน!” เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขายังกลัดกลุ้มว่าไท่จื่อที่มีลักษณะนิสัยที่ไม่อาจแก้ไขได้เหล่านี้ จะส่งเขาไปเกิดออกมาใหม่จากครรภ์มารดาก็เป็นไม่ได้ บัดนี้ไม่นึกเลยว่าจะเกิดความเป็นไปได้เช่นนั้นขึ้นมา!
หากว่าเขาหาปรมาจารย์ผู้สูงส่งและน่าเคารพให้มาสั่งสอนไท่จื่ออีกครั้ง ไท่จื่อจะสามารถเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นได้หรือไม่
เขาไม่ขอให้ไท่จื่อกลายเป็นวิญญูชนที่มีบุคลิกไร้ที่ติ ขอแค่มีมาตรฐานเท่ากับผู้คนธรรมดาทั่วไปก็เพียงพอแล้ว
เมื่อคิดถึงไท่จื่อที่ออกไปก่อความวุ่นวายกับข้าหลวงที่ร้านค้าขายของมีค่าข้างนอกพระราชวัง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ แต่เรื่องที่ไท่จื่อสูญเสียความทรงจำไป ทำให้เขาเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
ขอเพียงแค่ไท่จื่อเรียนรู้ได้ดี ก็ดีเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ฮองเฮาเข้าใจความหมายของจิ่งหมิงฮ่องเต้ นางเกิดเห็นใจฮ่องเต้ขึ้นมาในทันที ฮ่องเต้ถูกไท่จื่อบังคับให้กลายเป็นคนเช่นไรกัน เมื่อบุตรชายเกิดสูญเสียความทรงจำไป กลับทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมาได้…
ข้าหลวงของไท่จื่อเจ้าปัญหา จะถูกนำตัวออกมาประหารอย่างเงียบๆ โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ ส่วนเรื่องการลงโทษของไท่จื่อคงถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว เนื่องจากการสูญเสียความทรงจำของเขา
สถานการณ์ที่เงียบสงบในวังหลวงทำให้ฉีอ๋องเกิดความประหลาดใจ จึงกล่าวกับพระชายาฉีอ๋องว่า “มีบางอย่างที่ค่อนข้างน่าประหลาด”
“ท่านหมายถึง?”
“ไท่จื่อจ้องมองพี่สาวของภรรยาเจ้าเจ็ด และวันนี้คนของข้าได้เห็นอย่างชัดเจนว่านางเข้าไปข้างในร้านเจินเป่า แต่หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น กลับกลายเป็นไท่จื่อกับข้าหลวงที่เป็นคนก่อความวุ่นวาย…ข้าสงสัยว่าเจ้าเจ็ดจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…”
ในวันเกิดของเสียนเฟย พระชายาฉีอ๋องที่ได้เห็นเจียงซื่อกล่าววาจาโผงผางต่อนางจึงรู้สึกรังเกียจอย่างมาก นางเรียกได้ว่าเกลียดชังเจียงซื่ออย่างถึงที่สุดได้กล่าว “นี่ไม่น่าแปลกใจอะไร ข้ามองดูเจ้าเจ็ดและพระชายาแล้ว ก็รู้ว่ายากนักที่จะเข้าหา ท่านอ๋องต้องระวังเอาไว้”
ฉีอ๋องหัวเราะเยาะ “เจ้าเจ็ดก้าวขาออกจากประตูก็ได้สร้างชื่อเสียงไว้มากเช่นนี้ แน่นอนว่าดูแล้วเขาไม่ได้มีความหุนหันพลันแล่น คนที่หุนหันพลันแล่นจริงๆ เป็นเช่นไร มองดูเจ้าห้าก็คงจะรู้”
ดวงตาของเขายังไม่ได้มืดบอด สมองของเขาก็ไม่ได้ทื่อ แน่นอนว่าการสร้างภาพของเจ้าเจ็ดไม่อาจทำให้เขาเกิดความสับสนได้
สมาชิกในราชวงศ์ คนที่ไม่มีความรับผิดชอบไม่อาจมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ด้วยการใช้ชีวิตไปวันๆ ต่อให้เป็นองค์หญิงใหญ่หรงหยางที่เจริญรุ่งเรืองอย่างไม่เสื่อมคลายแล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายชีวิตก็ไม่ได้ลงเอยด้วยดี
“แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลไป โอกาสที่เจ้าเจ็ดจะกลับมามีชื่อเสียงและความนิยมในหมู่ประชาชนนั้นมีอยู่เลือนราง เพียงแค่การเรียงลำดับตามอายุก็ทำให้เขาต้องถอยไปอยู่ด้านหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว ข้าคิดว่าสิ่งที่มีอะไรผิดปกติคือข้างในวังหลวง”
“ในวังหลวง?”
ฉีอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย “หากไท่จื่อถูกจับและส่งตัวไปที่กรมราชทัณฑ์ เรื่องราวคงจะปิดบังเอาไว้ไม่ได้แน่ ว่าตามหลักการ บัดนี้เสด็จพ่อควรรู้เรื่องแล้ว แต่เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวเรื่องการลงโทษไท่จื่อหลุดออกมาเลยเล่า”
พระชายาฉีอ๋องเม้มริมฝีปาก “เพื่อการคุ้มครองไท่จื่อแล้ว เสด็จพ่อต้องการรักษาชื่อเสียงของไท่จื่อเอาไว้อย่างแน่นอน”
“ถึงอย่างนั้นก็น่าจะต้องมีข้อแก้ตัวอื่นแพร่ออกมาบ้าง…หรือว่าจะเข้าไปในวัง แล้วลองถามข่าวคราวจากเสด็จแม่?”
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะเข้าไปในวัง”
ฉีอ๋องส่ายหน้าอีกครั้ง “ช่างเถอะ รอดูความเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ เสียก่อน เรื่องที่ร้านเจินเป่าจะให้เสด็จพ่อสังเกตเห็นว่าข้าเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไม่ได้”
เรื่องราวในวันนี้ไม่อาจสร้างความสั่นคลอนให้กับไท่จื่อได้ แต่ยังมีเรื่องอำเภอเฉียนเหอที่กำลังรออยู่
เขาไม่รีบร้อน
ขอแค่เพียงเกิดเรื่องขึ้นซ้ำๆ และไท่จื่อยังเป็นไท่จื่อที่ไร้ความสามารถดังเดิม ความอดทนของเสด็จพอไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีวันหมดลงอย่างแน่นอน
“โชคดีที่เทศกาลกลางสารทฤดู[1]ใกล้เข้ามาถึงแล้ว รอให้ถึงงานเลี้ยงรวมตัว ก็จะได้รู้ถึงเหตุผล”
อวี้จิ่นยังคงสงสัยต่อการตอบสนองของพระราชวังอยู่เล็กน้อย
หรือว่าเสด็จพ่อได้ฝึกฝนธรรมจนกลายเป็นพระพุทธองค์ไปเสียแล้ว จึงจิตใจดีได้ถึงเพียงนี้
แต่ช่างเถิด ไว้คอยดูเมื่อถึงงานเลี้ยงฉลองเทศกาลกลางสารทฤดูในพระราชวังเป็นพอ
สองวันให้หลังก็ถึงงานเลี้ยงฉลองเทศกาลกลางสารทฤดูในพระราชวัง
เมื่อไท่จื่อที่มีพันผ้าพันแผลอยู่รอบศีรษะปรากฏกายขึ้นต่อหน้าบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ทุกคนต่างตกตะลึง พากันเอ่ยถามว่า “ไท่จื่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ไท่จื่อโค้งไปกล่าวกับเหล่าพี่น้องด้วยรอยยิ้มเหมือนกับกวางน้อยไร้เดียงสาในป่าใหญ่ “ข้าไม่ระวังจนทำให้ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน”
“เหตุใดถึงถูกกระทบกระเทือนเข้าได้ ไท่จื่อต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้” บรรดาองค์ชายทั้งหลายกล่าวปลอบโยนออกไปอย่างไม่ได้เชื่อมากนัก
ไท่จื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าโดนกระทบกระเทือนเข้าได้อย่างไร”
[1] กลางสารทฤดู วันไหว้พระจันทร์