วินาทีที่ไท่จื่อลั่นออกไปเช่นนั้น สรรพสิ่งในที่นั้นนิ่งค้างไปชั่วอึดใจ
จำไม่ได้นี่มันหมายความว่าอย่างไร
คนใจร้อนอย่างหลู่อ๋องเอ่ยเป็นคนแรก “พี่รองคงมิได้ล้อเล่นหรอกกระมัง ศีรษะตัวเองไปโดนกระแทกมาอิท่าไหนก็ยังจำไม่ได้งั้นหรือ”
หึๆ อย่าบอกนะว่าถูกเสด็จพ่อฟาดเข้าให้
จำต้องบอกว่า หลู่อ๋องเดาได้ถูกต้อง
คำถามของหลู่อ๋องกระตุ้นความสงสัยของคนที่เหลือ ต่างก็เฝ้ามองว่าไท่จื่อจะตอบเช่นไร
สีหน้าของไท่จื่อบอกบุญไม่รับ “ท่านหมอหลวงบอกว่า หากในหัวของข้ามีภาวะโลหิตไม่หมุนเวียน ก็จะส่งผลกระทบต่อความจำ…”
ทั้งหมดใจเต้น ส่งผลกระทบต่อความจำ…นี่ก็หมายความว่า ไท่จื่อความจำเสื่อมอย่างนั้นรึ
“พี่รองความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือ” หลู่อ๋องถามตามที่หัวคิด
ไท่จื่อเพียงแต่อ้าปาก มิได้เกริ่นกล่าว
ครั้นเห็นไท่จื่อเงียบงันเช่นนั้น หลู่อ๋องกลับรู้สึกเสียดาย
หากความจำเสื่อมก็ไม่สนุกแล้วซิ เพราะต่อไปนี้พี่รองก็จะจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยถูกชก ไม่ต่างอะไรกับการสวมอาภรณ์แพรเลิศหรูเดินอยู่ในที่มืดมิด น่าหงุดหงิดจริงเชียว…
เสียงน่าเกรงขามของใครบางคนดังลอยมา “เจ้าห้า เจ้าพูดอะไรกับพี่รองของเจ้า”
ผู้ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงกลางสารทฤดูภายในราชวงศ์มีเพียงท่านอ๋องไม่กี่คน และเหล่าพระชายา งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเน้นความเรียบง่าย จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงมิได้สั่งให้ข้าหลวงป่าวร้องรายงานยามที่เขามาถึงอย่างเช่นทุกครั้ง เขาเดินเข้ามาพร้อมฮองเฮาเงียบๆ จึงได้ยินที่หลู่อ๋องพูดถึงไท่จื่อพอดี
เดิมที จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ประสงค์จะปิดบังเรื่องที่ไท่จื่อความจำเสื่อม แต่ถึงกระนั้นก็มิได้วางแผนว่าจะป่าวประกาศ ฉะนั้นเมื่อได้ยินหลู่อ๋องหยิบยกเรื่องนี้มาวิพากษ์จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา
ครั้นหลู่อ๋องที่ถูกลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋องเห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็อดหวั่นใจไม่ได้ ชายหนุ่มพึมพำ “ลูกเพียงแต่ถามไถ่พี่รองเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองบรรดาลูกชายหนหนึ่งก่อนจะเดินเคียงข้างฮองเฮาไปยังที่ประทับ เมื่อการถวายความเคารพเป็นอันเสร็จสิ้น ฮ่องเต้ก็เอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้คืองานเลี้ยงกลางสารทฤดู พวกเจ้าอุตส่าห์ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งที…”
กล่าวถึงเพียงเท่านี้ ประโยคของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ขาดห้วงไป เพราะมีเรื่องของจิ้นอ๋องที่เฝ้าอยู่ที่สุสานหลวงแวบเข้ามาให้หัว
ความรู้สึกในอกเจือไปด้วยรสขมฝาด
ในบรรดาบุตรชายที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีเพียงเจ้าเจ็ดเท่านั้นที่ออกไปอยู่นอกวังตั้งแต่ยังเล็ก แต่กลายเป็นว่าคนที่มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขากลับเป็นเจ้าเจ็ดเสียอย่างนั้น
ต่อให้ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ทอแสงส่องสว่างเพียงใด เจ้าสามก็ไม่มีทางได้กลับมาชมแสงจันทร์ในวังหลวง
แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะรู้สึกปวดใจ แต่จำต้องยอมปล่อยไป เพราะความผิดและความโลภโมโทสันของจิ้นอ๋องหนักหนาเกินกว่าจะนิรโทษกรรมและอนุญาตให้กลับมาอยู่ที่เมืองหลวง
เรื่องบางเรื่องหากเกิดขึ้นแล้ว คงทำได้เพียงรู้สึกเสียดายและอดทนรับความขมขื่นไปอย่างนั้น
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้มองไล่เรียงหน้าบุตรชายแต่ละคนพลางคิดในใจ ได้แต่หวังว่าเจ้าพวกนี้จะอยู่อย่างสงบ อย่าได้เดินซ้ำรอยของเจ้าสามอีกเลย
แววตาลุ่มลึกและผิดแผกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่นอย่างช่วยไม่ได้
อยู่ใกล้กษัตริย์ประหนึ่งอยู่ใกล้เสือ แม้วลีนี้จะถูกใช้เพื่อเตือนสติเหล่าขุนนาง แต่พวกเขาที่อยู่ในสถานะองค์ชายก็เข้าใจคำสอนนี้อย่างชัดเจน
การเกิดในวงศ์ของกษัตริย์ มิอาจหวังว่าความสัมพันธ์ผ่อนปรนอย่างบิดาและบุตรทั่วไป
บรรยากาศอึมครึมปกคลุมอยู่พักใหญ่
ฮองเฮาแตะตัวจิ่งหมิงฮ่องเต้แผ่วเบา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้หลุดออกจากภวังค์ รอยยิ้มถูกแขวนไว้บนมุมปากอีกครั้ง “พวกเจ้าอุตส่าห์ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งที ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะแจ้งให้ทราบ”
“เชิญเสด็จพ่อตรัสได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งหมดกล่าวพร้อมกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองไปที่ไท่จื่อพลางเอ่ย “เมื่อวันก่อน ศีรษะของไท่จื่อถูกกระแทก เป็นเหตุให้จำเหตุการณ์ส่วนใหญ่ในอดีตไม่ได้ พวกเจ้าในฐานะพี่น้องของไท่จื่อ ก็ต้องช่วยกันดูแลเอาใจใส่ อย่าได้เอาเรื่องที่ไท่จื่อความจำเสื่อมเพียงชั่วคราวไปล้อเล่นเป็นเรื่องตลกเด็ดขาด…”
ครั้นหวนนึกถึงพฤติกรรมของไท่จื่อเมื่อสองวันก่อนแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกสับสนยิ่งนัก
บุตรชายถูกเขาทุบศีรษะจนความจำเลอะเลือน ตามหลักเหตุผลแล้วเขาควรรู้สึกผิด ควรโทษตัวเอง และเป็นกังวล…แต่ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เพราะตอนที่เขาเห็นอากัปกิริยาของไท่จื่อ เขากลับรู้สึกยินดี
เพราะดูเหมือนว่าไท่จื่อจะรู้ความมากกว่าก่อนเสียอีก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ไม่ไปอี๋อ๋ออยู่กับนางในในสวนดอกไม้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
พูดก็น้อย และสุขุมกว่าที่ผ่านมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้คาดหวังว่าโอรสของเขาคนนี้จะต้องประเสริฐเหนือผู้ใด ขอเพียงแค่เขาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของคนทั่วไปก็เพียงพอแล้ว
คนที่เริ่มเข้าสู่วัยเลขสามควรประพฤติตัวให้สุขุมสมวัย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอดหายใจในขณะที่สอดส่ายสายตาไปที่เหล่าโอรส
เหล่าองค์ชายตอบรับคำสั่งของผู้เป็นบิดา
บรรยากาศในงานเลี้ยงกลางสารทฤดูภายในราชวงศ์จืดชืด ไม่น่าพิสมัย เรียกได้ว่าน่าเบื่อตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนในงานตั้งใจจะชนจอกสุรากับไท่จื่อ และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ทว่ากลับถูกฮ่องเต้ขวางทางโดยอ้างเรื่องที่ไท่จื่อได้รับบาดเจ็บ
กว่างานเลี้ยงจะจบ จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้แอบถอนหายใจยาวพรูออกมาพลางคิด ยังดีที่งานเลี้ยงราชวงศ์วันนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องปวดประสาท
เหล่าองค์ชายก็อยากแยกย้ายกลับจวนไม่ต่างกัน
ครั้นหลู่อ๋องกลับถึงจวน เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ฝ่ายพระชายาหลู่อ๋องอารมณ์ดีไม่น้อย นานๆ ทีนางจะรินชาให้ผู้เป็นสามีอย่างในตอนนี้ นางจ้องมองไปที่ชายหนุ่มพลางถาม “ท่านอ๋องถอนหายใจด้วยเรื่องใดรึเพคะ”
หลู่อ๋องรับถ้วยชาไปก่อนจะวางลงที่โต๊ะพร้อมส่ายศีรษะ “เจ้าว่าเหตุใดจู่ๆ ไท่จื่อถึงได้ความจำเสื่อม”
“หื้ม?” พระชายาหลู่อ๋องขมวดคิ้ว
ที่นางอารมณ์ดีวันนี้ก็เนื่องด้วยสาเหตุนี้ แล้วที่ท่านอ๋องถามหมายความว่าอย่างไร
“ไท่จื่อจำไม่ได้แล้วว่าข้าเคยต่อยเขา นั่นก็เท่ากับว่าเรื่องที่ข้าถูกลดตำแหน่งสูญเปล่าน่ะซิ” หลู่อ๋องรำพึง
พระชายาพ่นลมออกมาอย่างสุขารมณ์ “นั่นก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเพคะ”
หลู่อ๋องกะพริบตา “จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร”
แม้พระชายาหลู่อ๋องจะเป็นพวกโผงผาง อารมณ์ร้าย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางไร้หัวคิด นางถือถ้วยชาแน่นิ่งพลางถอนหายใจแผ่วเบา “ท่านอ๋องเคยคิดไหมเพคะว่า ตอนที่ท่านอ๋องต่อยไท่จื่อ เขาเป็นเพียงอดีตไท่จื่อ แต่ตอนนี้เขากลับคืนสู่ตำแหน่งอีกครั้ง อนาคตไท่จื่อก็จะต้องขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ นั่นหมายความว่า ท่านอ๋องอาจถูกคิดบัญชีย้อนหลังก็เป็นได้ ฉะนั้นแม้เรื่องที่ไท่จื่อความจำเสื่อมจะมิใช่เรื่องดี แต่อย่างน้อยๆ พวกเราก็ยังอยู่อย่างปลอดภัยนะเพคะ”
หลู่อ๋องยกมือขึ้นลูบหน้าพลางเอ่ยแผ่วเบา “ก็ถูกของเจ้า…”
……
ณ จวนฉีอ๋อง อารมณ์ของสองสามีภรรยากลับมิได้ยินดี
ฉีอ๋องเป็นพวกเคร่งครัดในขนบธรรมเนียม หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นคนไม่ยึดความรู้สึกส่วนตัวเป็นหลัก เพราะเขาต้องการให้คนรอบข้างเห็นว่าเขาเป็นผู้ประพฤติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรม เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมคือคำชมที่ฉีอ๋องอยากได้ยินจากปากคนรอบข้างมากที่สุด
ในวันที่สิบห้าเดือนแปด โดยปกติแล้วฉีอ๋องจะพักอยู่กับพระชายา
“ไท่จื่อดีอยู่หลัดๆ เหตุไฉนถึงศีรษะถึงไปกระแทกได้เล่า” พระชายาฉีหันมาเอ่ยถามในขณะที่ยกมือลูบแก้มตัวเอง
ฉีอ๋องหัวเราะเยาะ “เขาเล่นไปสร้างเรื่องฉาวที่นอกวังขนาดนั้น จะให้เสด็จพ่อเย็นพระทัยอยู่ได้อย่างไร จากที่ข้าเดา เสด็จพ่อคงใช้อะไรสักอย่างทุบเข้าที่ศีรษะของเขา เพียงแต่ไม่คิดว่านั่นจะทำให้ไท่จื่อความจำเสื่อมจริงๆ จากที่เห็นเรื่องนี้จะทำให้พวกเราเสียเปรียบอย่างมาก”
“เสียเปรียบหรือเพคะ”
“จริงอยู่ที่ความจำเสื่อมอาจสร้างความยุ่งยาก แต่เพราะอดีตที่ผ่านมา ไท่จื่อไม่ต่างอะไรจากโคลนสาบที่เกาะกำแพงไม่อยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เสด็จพ่อถึงได้แลดูมีความหวัง เพราะเป็นโอกาสดีที่จะอบรมสั่งสอนไท่จื่อเสียใหม่”
“ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ”
นัยน์ตาของฉีอ๋องฉายแววอำมหิต “จะทำอะไรได้ ตอนนี้คงต้องรอดูไปก่อน รอดูว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด”
เมื่อเกิดเรื่องที่ร้านเจินเป่าแล้ว เดิมทีเขาวางแผนว่าจะเปิดโปงเรื่องที่อำเภอเฉียนเหอให้จงได้ เพราะคิดว่าเรื่องนั้นจะทำให้เสด็จพ่อผิดหวังในตัวไท่จื่ออย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้ ไท่จื่อความจำเสื่อม ในสายตาเสด็จพ่อที่ให้ความสำคัญกับทายาทที่เกิดจากฮองเฮาคงเห็นว่าเรื่องฉาวที่อำเภอเฉียนเหอเป็นเพียงเรื่องในอดีต ไม่อาจนำมาใช้ทำลายความหวังที่มีต่อไท่จื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การเปิดโปงเรื่องที่อำเภอเฉียนเหอในตอนนี้คงไม่ใช่จังหวะที่ดีนัก
ฉีอ๋องเข้าใจคำที่บอกว่า ใช้เหล็กคุณภาพดีมาทำใบมีด ได้เป็นอย่างดี
……
ณ อวี้เหอย่วนในจวนเยี่ยนอ๋อง เจียงซื่อและอวี้จิ่นที่ชำระล้างร่างกายจนสะอาดนอนพักอยู่บนเตียงก็กำลังถกถึงประเด็นนี้เช่นกัน
“อาซื่อ เจ้าว่าไท่จื่อความจำเสื่อมจริงหรือว่าแสดงละคร”