เมื่อได้ยินอวี้จิ่นกล่าวดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ชำเลืองมองไปที่ไท่จื่อ
เขาเคยได้ยินเรื่องที่ไท่จื่อออกจากวังไปร่วมฉลองงานเลี้ยงอายุครบหนึ่งเดือนของหลานสาว แต่กลับถูกเอ้อร์หนิวกัดที่สวนของเยี่ยนอ๋องมาก่อนหน้านี้
ที่แท้ที่ไท่จื่อหยอกเย้าเอ้อร์หนิวก็เพราะชอบมันนี่เอง
เมื่อคิดดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกสบายใจ
แม้ว่าสุดท้ายจะทำให้ใครบางคนต้องขายหน้า แต่ทว่าเหตุผลกลับแตกต่างออกไป ฮ่องเต้รู้สึกเบาสบายอย่างยิ่งยวด
ฝ่ายไท่จื่อกลับรู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้มองด้วยสายตาเช่นนั้น เสด็จพ่อเห็นเขาไปเป็นคนอย่างไร ถ้าเขามิได้ชอบเอ้อร์หนิว เขาจะไปแหย่มันเช่นนั้นหรือ
“ก็ถ้าเจ้าชอบสุนัข ก็หามาเลี้ยงสักตัว เพียงแต่อย่าหลงมันจนไม่ลืมหูลืมตาเป็นพอ” เมื่อหวนคิดถึงไท่จื่อช่วงสองวันที่ผ่านมา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่อยากเข้มงวดมากนัก เขาคิดว่าหากให้กำลังใจ ไท่จื่ออาจจะประพฤติตัวดีกว่าที่เป็นอยู่
ไท่จื่อถลึงตาโต พลางยกมือลูบหูทันควัน
นี่เขาฟังอะไรผิดหรือเปล่า เสด็จพ่อตรัสเองว่าหากชอบสุนัขก็ให้เลี้ยงได้ ไม่เคยเห็นเสด็จพ่อใจดีเช่นนี้มาก่อนเลย
แกล้งความจำเสื่อมนี่มันดีจริงๆ
ในวินาทีนั้น ไท่จื่อนึกชมความปราดเปรื่องของตัวเองอีกครั้ง
เขาหันไปมองเอ้อร์หนิวพร้อมแสดงสีหน้าใคร่รู้ “เมื่อครู่ข้าได้ยินข้าหลวงบอกว่า เอ้อร์หนิวคือแม่ทัพเซี่ยวเทียนขั้นที่สี่ น่าสนใจยิ่งนัก เสียดายที่ข้าจำเรื่องที่เจอเอ้อร์หนิวก่อนหน้านี้ไม่ได้”
เป็นไปได้ว่าเอ้อร์หนิวอาจจะไม่ชอบถูกเร่งเร้า หากเขาเริ่มใหม่ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ วางแผน นานวันเข้าเอ้อร์หนิวอาจจะชอบเขาบ้างก็เป็นได้
ไท่จื่อคิดอย่างเป็นสุข
อวี้จิ่นมองไท่จื่อด้วยสายตาสื่อความหมายพลางผุดยิ้ม “พี่รองจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรเอ้อร์หนิวก็มาแล้ว นี่ก็นับว่าเคยพบกันแล้ว”
ชายหนุ่มกล่าวพลางลูบหัวเจ้าสุนัข “มานี่ เอ้อร์หนิว เข้าไปทักทายไท่จื่อหน่อยเร็ว”
เอ้อร์หนิวที่หมอบอย่างเชื่อฟังข้างๆ อวี้จิ่นลุกขึ้นพร้อมส่ายหาง มันก้าวเท้าเข้าไปใกล้
ไท่จื่อเห็นเอ้อร์หนิวส่ายหางไปมาเช่นนั้นก็รู้สึกสนิทใจ ความตึงเครียดเมื่อครู่เริ่มเบาบางลง
ข้าหลวงที่เคยเลี้ยงสุนัขเคยบอกว่า หากสุนัขส่ายหางแปลว่ามันรู้สึกดี
ดูเหมือนว่าวันนั้นเขาจะใจร้อนไปเอง เพราะดูจากสภาพวันนี้แล้ว เอ้อร์หนิวออกจะเชื่องและแสนรู้ มันคงยังจำเนื้อวัวตุ๋นห่อนั้นได้
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวไม่ทันไร จู่ๆ เจ้าสุนัขตรงหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
สุนัขเชื่องน่าเอ็นดูเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย มันแยกเขี้ยวแหลมคม พร้อมกับยกสองขาหน้าขึ้นกลางอากาศ
ภาพเหตุการณ์ครั้งถูกเอ้อร์หนิวกัดบั้นท้ายฉายซ้ำในหัวของไท่จื่อ
ไท่จื่อเป็นผู้มีสถานะสูงส่ง แม้เขาจะถูกตำหนิและตีสอนจากฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังเล็กจนสภาพจิตใจบอบช้ำ แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงล้ำค่าหาใดเปรียบ
นอกจากเรื่องที่ถูกเสาธงล้มทับกลางหลังในเหตุแผ่นดินไหวที่วัดไท่ เรื่องที่ถูกอวี้จิ่นและหลู่อ๋องชกหน้าคนละครั้ง เรื่องที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ทุบศีรษะด้วยที่ทับกระดาษหยกขาว และเรื่องที่ถูกเอ้อร์หนิวกัดแล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่เคยถูกกระทบกระเทือนเลยสักครั้ง
จิตใต้สำนึกของไท่จื่อรู้ดีว่า ต่อให้เสด็จพ่อและพี่น้องของเขาจะน่าครั่นคร้ามเพียงใด แต่อย่างไรมนุษย์ก็ยังฟังภาษาคนรู้เรื่อง แต่กับเอ้อร์หนิวหาเป็นเช่นนั้นไม่ ต่อให้มันจะแสนรู้เพียงใด สุดท้ายก็ยังเป็นสัตว์ หากเกิดคลั่งขึ้นมาแล้ว ก็อาจกัดเขาถึงตาย
ในจุดนี้ทำให้ทราบได้ว่า เรื่องที่เอ้อร์หนิวกัดบั้นท้ายของไท่จื่อกลายเป็นปมฝังลึกเพียงไร
เมื่อเห็นว่าท่าทางของเอ้อร์หนิวตอนนี้คล้ายกับตอนที่มันกัดเขาในวันนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองอันดับแรกคือ เขายกมือขึ้นปิดบั้นท้ายพลางร้องตะโกน “เอาเอ้อร์หนิวออกไป ไม่งั้นมันคงกัดก้นข้าอีก…”
สุนัขตัวใหญ่ยืนด้วยสองขาหลัง สองขาหน้ากวักทักทาย เอ้อร์หนิวหันมองเจ้าของด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
อวี้จิ่นเผยสีหน้าประหลาดใจ ”พี่รอง เอ้อร์หนิวแค่จะทักทายพี่รองเท่านั้น พี่จะหนีไปไหน”
ไท่จื่อยังคงตกใจไม่หาย รีบกล่าวทันควัน “ทักทายอะไรกัน เห็นชัดๆ อยู่ว่ามันกำลังจะกัดข้า วันนั้นที่สวนของเจ้ามันก็ทำท่าแบบนี้…”
เมื่อเสียงถูกเปล่งออกมา ไท่จื่อถึงได้ยินเสียงของตัวเอง ประโยคท่อนหลังจึงขาดห้วงไป เขารีบหันไปมองจิ่งหมิงฮ่องเต้
พระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ลุ่มลึกประหนึ่งหุบเหวใต้มหาสมุทร สายตาคมปลาบจดจ้องไปที่ไท่จื่อ
ไท่จื่อขาอ่อน คุกเข่าลงทันใด
เขา…เขาปล่อยไก่ออกมาเองหรือ
ซวยแล้ว ซวยแล้ว เสด็จพ่อฆ่าเขาแน่!
หลู่อ๋องกล่าวถามด้วยความสงสัย “พี่รอง พี่จำได้แล้วรึ”
คำถามของหลู่อ๋องเป็นเหมือนห่วงยางชูชีพที่โยนลงไปให้ไท่จื่อ เขารีบรวบรวมสติพลางยิ้มจืดเจื่อน “เอ้อร์หนิวทำให้ข้าตกใจ ข้าเลยพอจำได้บ้างแล้ว…”
“พอ!” จิ่งหมิงฮ่องเต้แผดเสียงเดือดดาล เขาสะบัดแขนเสื้อพร้อมหมุนตัวกลับ “ไปที่ห้องตำราของข้า”
“เสด็จพ่อ…” ไท่จื่อขานเรียกด้วยใบหน้าซีดเซียว เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินห่างออกไปไกล และไม่มีทีท่าจะหันกลับมา ไท่จื่อก็ได้แต่กัดฟันวิ่งตามไป
หลู่อ๋องหันไปมองอวี้จิ่น “น้องเจ็ด พวกเราเอาอย่างไรดี”
เมื่อครู่ที่เสด็จพ่อบอกให้ไปที่ห้องทรงพระอักษรคงหมายถึงไท่จื่อคนเดียวกระมัง
ในวินาทีนั้น หลู่อ๋องอยากพาตัวเองออกจากวังหลวงเต็มแก่
จริงอยู่ที่อยากรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่อาการของเสด็จพ่อเมื่อครู่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดี ฉะนั้นเวลานี้จึงไม่ใช่เวลามาดูเรื่องสนุก
อวี้จิ่นเหล่มองหลู่อ๋อง ในใจอยากเตะเจ้าคนงั่งนี้ออกไปให้พ้นสายตา
คนอะไรความสามารถในการทำงานเป็นศูนย์ แต่ความสามารถในการทำลายล้างกลับมีอยู่เหลือเฟือ หากมิใช่เพราะเจ้าห้าออกปากเตือนสติเมื่อครู่ ไท่จื่อคงยอมรับเองแล้วว่าแกล้งความจำเสื่อม
เวลาที่อวี้จิ่นโมโห เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายได้สมปรารถนา บุรุษหนุ่มกล่าวเคร่งขรึม “เมื่อครู่พี่ห้าไม่ได้ยินหรือว่า เสด็จพ่อบอกให้พวกเราไปที่ห้องทรงพระอักษร เราก็ไปกันเถอะ”
ระหว่างทาง หลู่อ๋องฉุกคิดขึ้นได้จึงเอ่ยแผ่วเบา “น้องเจ็ด เสด็จพ่อน่าจะให้ไท่จื่อไปคนเดียวมิใช่หรือ”
อวี้จิ่นไม่แม้แต่ชำเลืองตามอง เขาเพียงแต่กล่าวตอบราบเรียบ “เสด็จพ่อมิได้ขานชื่อ หากเอ่ยรวมถึงพวกเราด้วย แต่พวกเราไม่ตามไป พี่ก็รู้อยู่ว่าเสด็จพ่อกำลังกริ้วอยู่…”
หลู่อ๋องได้ฟังดังนั้นก็ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดอีกแล้ว เขาเพียงแต่เดินตามไปเงียบๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้าวฉับเข้าไปในห้อง เมื่อหันหลังกลับมาก็เห็นไท่จื่อยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่หน้าประตู เขาตวาดเสียงดังสนั่น “เข้ามาซิ!”
ปกติไท่จื่อคุ้นเคยกับการยอมรับผิดแต่โดยดี เพียงแต่คำถามเตือนสติของหลู่อ๋องเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกมีความหวัง เขากลั้นใจก้าวเท้าเข้าไป
หากจะบอกว่าเรื่องที่ตกใจเมื่อครู่ทำให้ความทรงจำกลับคืนมาก็ไม่น่าจะมีปัญหาจริงไหม
ไท่จื่อละล่ำละลัก น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อ
เขาไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้พร้อมเอ่ยเสียงสั่น “เสด็จพ่อ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ทำไม ความทรงจำกลับมาแล้วรึ”
ไท่จื่อไม่กล้าสบตาจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาหลุบตามองพื้นพลางกล่าว “ลูกจำได้แล้วนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ…”
“จำได้มากแค่ไหน” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเนิบนาบ
ไท่จื่อมีความหวัง เสด็จพ่อทรงเชื่อใช่หรือไม่
เขาเริ่มมีกำลังใจ “ถูกเอ้อร์หนิวทำให้ตกใจ ลูกเลยจำได้ว่าลูกเคยถูกเอ้อร์หนิวกัดที่จวนของเจ้าเจ็ด…”
อย่างไรเสียก็คงไม่มีผู้ใดมาแหวกสมองเขาดู หรือต่อให้เป็นเสด็จพ่อก็ทำไม่ได้
“แล้วเรื่องอื่นยังจำไม่ได้งั้นรึ”
“จำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ…”
“เงยหน้าขึ้น สบตาข้า”
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องเขม็งไปที่ไท่จื่อ แววตาคู่นั้นสงบนิ่งเสียจนอีกฝ่ายเริ่มสั่นไหว “เจ้าเพิ่งจำได้เมื่อครู่ หรือว่าเจ้าไม่ได้ความจำเสื่อมกันแน่”
ไท่จื่อหลบตาทันควัน
“ข้าบอกว่าให้มองตาข้า!” น้ำเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้แข็งกร้าว
ไท่จื่อแอบกำหมัดแน่นจนเหงื่อไหลซึมทั่วฝ่ามือ
“ลูกจะกล้าหลอกพระองค์ได้อย่างไร ลูกเพิ่งจำได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกที่ทับกระดาษหยกขาวอันใหม่แกะกล่องขึ้นมา