ไท่จื่อกลับมาที่ตำหนักบูรพาด้วยอาการกระวนกระวาย เสียงพึมพำพรั่งพรูไม่หยุดปาก “ทำอย่างไรดี ข้าจะทำอย่างไรดี”
คนในตงกงพอจะทราบเรื่องคร่าวๆ จึงพยายามอยู่ให้ห่างจากไท่จื่อเท่าที่จะเป็นไปได้
ไท่จื่อเดินเข้าไปในห้องของพระชายา
พระชายาไท่จื่อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันมามองผู้มาเยือน นางยังคงสงบนิ่ง ใบหน้าขาวซีดราบเรียบไม่หันเหไปจากไท่จื่อ
ความสงบเงียบภายนอกและภายในมิได้สัมพันธ์กัน นางได้แต่รู้สึกผิดหวังโชคต่อชะตา
ในเมื่อสวรรค์กำหนดให้นางเป็นคู่ของบุรุษเช่นเขา นางคงทำได้เพียงทำใจยอมรับ
หากเขามิได้เป็นไท่จื่อจะดีเพียงใด ต่อให้ครอบครัวของนางจะค้านหัวชนฝา แต่นางก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อหนีไปให้ไกลจากหล่มโคลนนี้
พระชายาไท่จื่อปล่อยความคิดวนเวียนในหัว สายตาพิศมองไปที่ไท่จื่อที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า นางเอ่ยเสียงเรียบ “กลับมาแล้วหรือเพคะ เสวยชาสักหน่อยดีไหมเพคะ”
ไท่จื่อคล้ายกับถูกจี้ใจดำ เขาคว้าถ้วยนั้นขว้างลงพื้น พร้อมตะโกนเยี่ยงคนสิ้นสติ “จะให้ดื่มชาอะไรกันหนักกันหนา อีกไม่นานข้าคงไม่ได้เป็นไท่จื่ออีกแล้ว”
พระชายาไท่จื่อจดจ้องไปที่เศษกระเบื้องที่แตกเกลื่อนกลาดโดยมิได้โต้ตอบ
ในสถานการณ์เช่นนั้น ในสายตาไท่จื่อ นางในทั้งหลายที่เขาโปรดปรานพึ่งพาไม่ได้เท่าพระชายา เขาคว้าข้อมือพระชายามาจับไว้พลางถาม “เจ้าว่าเสด็จพ่อจะลงโทษข้าโทษฐานหลอกลวงพระองค์หรือไม่”
พระชายาขยับมือออกจากพันธนาการเชื่องช้าพร้อมกล่าวเนิบนาบ “เสด็จพ่อเป็นประมุข แต่ก็ยังเป็นพระราชบิดาของท่านด้วย หม่อมฉันคิดว่า หากท่านยอมรับผิดจากใจจริง อย่างไรเสียเสด็จพ่อก็ต้องทรงใจอ่อนยกโทษให้เพคะ”
นางไม่กล้าราดน้ำมันลงบนกองไฟ
บุรุษผู้นี้โง่เง่ายิ่งกว่าอะไร หากเขาสิ้นแล้วซึ่งความหวัง เขาอาจทำเรื่องโง่งมกว่านี้ก็เป็นได้
“จริงรึ” ไท่จื่อพยายามเหนี่ยวรั้งความหวังอันริบหรี่ พร้อมเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น
“เสด็จพ่อทรงเป็นพระราชบิดาผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา”
ไท่จื่ออ้าปาก “แต่…แต่ว่าข้าทำผิด ข้าหลอกเสด็จพ่อ…”
ต่อให้เมตตาเพียงใดก็ย่อมมีขีดจำกัด คราวนี้เขาคงทำให้เสด็จพ่อกริ้วโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว
“เช่นนั้นท่านก็ต้องทำให้เสด็จพ่อเห็นว่าท่านกลับตัวใหม่แล้วเพคะ”
น้ำเสียงสงบนิ่งของพระชายาทำให้ไท่จื่อที่กำลังจะพังทลายอยู่รอมร่อค่อยๆ สงบสติลง เขาเอ่ยถาม “ข้าต้องทำเช่นไร เสด็จพ่อจึงจะเชื่อว่าข้ากลับตัวกลับใจแล้ว”
เมื่อเห็นสภาพจนตรอกของชายหนุ่ม พระชายาไท่จื่อก็ยิ่งรู้สึกสลดใจ
“เจ้าบอกมาซิ ว่าข้าต้องแสดงออกเช่นไรเสด็จพ่อถึงจะเชื่อ”
พระชายาถอนหายใจแผ่วเบา “มิใช่ว่าต้องแสดงให้เสด็จพ่อเชื่อ แต่ท่านต้องกลับใจจริงๆ เพคะ ต้องเลิกทำเรื่องไร้สาระ และหันมาสนใจกิจในราชสำนัก หันมาสนใจราษฎร และเมื่อนั้นเสด็จพ่อจะทรงเห็นเองเพคะ”
เมื่อเห็นว่าไท่จื่อติดจะทึ่มทื่อ พระชายาไท่จื่อจึงอธิบายเสริม “สิ่งที่ปลอม กลบเกลื่อนอย่างไรก็ยังเป็นของปลอม ที่ท่านแสร้งทำเป็นความจำเสื่อม สุดท้ายเรื่องก็แดงออกมา เท่านี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือเพคะ”
ใบหน้าของไท่จื่อแดงก่ำ “ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
นั่นเป็นเพียงความคิดที่แวบเข้ามาในหัว เป็นการเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณ จะเรียกว่าจงใจทำได้อย่างไร
พระชายาเม้มปากไม่เกริ่นกล่าว
ไท่จื่อหย่อยก้นนั่ง พร้อมกล่าวด้วยอารมณ์บูดบึ้ง “เอาเถอะ ข้าทำให้เสด็จพ่อกริ้วไปแล้ว หวังว่าสิ่งที่เจ้าว่ามาจะช่วยได้…”
……
อวี้จิ่นกลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องก็รีบนำเรื่องที่กระชากหน้ากากไท่จื่อไปเล่าให้เจียงซื่อฟัง
“วันนี้ต้องยกความดีความชอบให้เอ้อร์หนิว ไม่เสียแรงที่เลี้ยงมาจนตัวโตขนาดนี้”
เอ้อร์หนิวมองอวี้จิ่นด้วยสายตาโกรธแค้น
อย่าคิดว่ามันฟังไม่ออก เลี้ยงจนโตแล้ว เลยจะยกมันให้คนอื่น!
อีกอย่าง ที่มันโตได้ทุกวันนี้ก็เพราะมันกินเนื้อเก่งต่างหากเล่า
เจียงซื่อลูบหัวเอ้อร์หนิวพลางหัวเราะ “อาจิ่น เจ้าทำให้เอ้อร์หนิวโกรธหรือ จากที่ข้าเห็นดูเหมือนว่าเอ้อร์หนิวเตรียมจะกัดเจ้าอยู่ทุกเมื่อ”
อวี้จิ่นถลึงตา “กล้าหรือ!”
ควรจะดัดนิสัยชอบกัดบั้นท้ายคนอื่นของเอ้อร์หนิวตั้งนานแล้ว หากมันกล้ากัดเขา เขาคงจับมันตุ๋นกินจริงๆ
เอ้อร์หนิวรับรู้ได้ถึงแรงพิฆาตจากอวี้จิ่น มันจึงรีบเข้าไปครางออดอ้อนเจียงซื่อ
เจียงซื่อกลอกตาใส่อวี้จิ่น “อย่าขู่เอ้อร์หนิวสิ หากวันนี้ไม่มีเอ้อร์หนิวก็ไม่รู้ว่าจะได้กระชากหน้ากากไท่จื่อได้เมื่อไหร่”
เอ้อร์หนิวชำเลืองมองอวี้จิ่นด้วยสายตาเป็นต่อก่อนจะสะบัดหางเดินหนีไป
อวี้จิ่นตบโต๊ะฉาดใหญ่ “ไอ้เจ้าสุนัขตัวนี้มันชักจะเอาใหญ่แล้ว”
ครั้นว่าจบก็หันไปมองเจียงซื่อด้วยสีหน้าตะบึงตะบอน
เจียงซื่อหัวเราะ “นี่เจ้าโกรธเอ้อร์หนิวจริงๆ งั้นหรือ”
อวี้จิ่นถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาซื่อ ในใจของเจ้า ตำแหน่งของข้าตกอันดับอีกแล้วหรือ”
“หื้ม?”
“อาฮวนอันดับหนึ่ง ท่านพ่อตาอันดับสอง เจียงจั้นอันดับสาม เอ้อร์หนิวอันดับสี่ ส่วนข้าอันดับห้า?”
เอ้อร์หนิวที่เดินไปถึงหน้าประตูหูผึ่งขึ้นทันใด
มันอยู่แค่อันดับสี่เองหรือ
เฮอะ นอกจากนายน้อย คนที่เหลือที่อยู่ลำดับสูงกว่าก็เตรียมรับแรงกระแทกได้เลย!
เอ้อร์หนิวเดินจากไปพร้อมกับความโหดเหี้ยม
เจียงซื่อตีอวี้จิ่นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “อย่าเลอะเทอะจะได้ไหม”
มาจัดอันดับอะไรไร้สาระ แถมยังลากท่านพ่อกับพี่รองเข้ามาอีก
เมื่อเห็นเจียงซื่อบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถาม หัวใจของอวี้จิ่นก็แทบหยุดเต้น
เขาเดาถูกจริงด้วย!
เจียงซื่อลูบหน้าผากพลางตอบอย่างจนใจ “เจ้าเป็นอันดับหนึ่ง”
“จริงรึ” คำตอบของเจียงซื่อเกินความคาดหมายของอวี้จิ่นไปมาก
เจียงซื่อกลอกตา “ก็จริงน่ะสิ อาฮวน ท่านพ่อ พี่รองและเอ้อร์หนิวล้วนเป็นครอบครัวของข้า แต่เจ้าไม่ใช่”
“งั้นข้าเป็นอะไร” อวี้จิ่นยิ้มพลางถาม
เจียงซื่อกะพริบตาพลางเอ่ยหยอกเย้า “คนที่ข้ารัก”
ในวินาทีนั้น ความยินดีเบ่งบานในใจของชายหนุ่ม เขาพรมจูบลงบนริมฝีปากอมชมพูเต็มรัก
เจียงซื่อเบี่ยงตัวหลบ “กลางวันแสกๆ อีกเดี๋ยวอาฮวนก็จะมาหาข้าแล้ว”
แขนแข็งแรงของชายหนุ่มรัดรึงร่างของหญิงสาว “มาเมื่อไหร่เดี๋ยวก็มีคนมารายงาน ข้าไม่สนหรอก…”
เขาเอื้อมมือไปปลดกระโปรงของอีกฝ่ายอย่างเบามือด้วยความชำนาญ
ผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่เจียงซื่อจะลุกขึ้นมาจัดแจงผ้าคลุมเตียงด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
อาจิ่นไอ้คนเจ้าเล่ห์ กลางวันแสกๆ ยังเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง หากถูกหญิงรับใช้เฒ่าจับได้ ได้ขายหน้ากันพอดี
อวี้จิ่นไม่ได้สนใจว่าคนรับใช้จะคิดอย่างไร เขาดึงเจียงซื่อมาประชิดตัวพลางกระซิบข้างหู “ฝีมือของคนที่เจ้ารักเป็นอย่างไรบ้าง”
ลมหายใจร้อนรุ่มเป่ารดข้างแก้มนวลเนียน ใบหน้าของเจียงซื่อแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
อวี้จิ่นหัวเราะชอบใจพลางคิด เขาอยากเป็นคนที่อาซื่อรักตลอดไป และเขาอยากอยู่ในใจของนางตราบชั่วนิรันดร์
“คิดอะไรอยู่หรือ” เจียงซื่อซบลงบนอกกว้างพร้อมเงยหน้าถาม
อวี้จิ่นตอบแผ่วเบา “กำลังคิดว่าชาติหน้ามีจริงรึเปล่า”
“ต้องมีสิ” เจียงซื่อตอบอย่างไม่ลังเล
“แน่ใจขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ข้าเชื่อว่าต้องมี”
ในความคิดของนาง ในเมื่อนางยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ ก็แสดงว่าต้องมีชาติหน้าอย่างแน่นอน
“งั้นข้าก็จะเชื่อเช่นนั้น” อวี้จิ่นตอบ
……
ผืนหญ้าด้านนอกเขียวชอุ่ม กอปรกับฉากในห้องที่งดงามไร้ที่ติ ดวงอาทิตย์ยามสารทฤดูยังทรงเสน่ห์คล้ายกับต้องมนต์
ในวันที่สภาพอากาศเป็นใจเช่นนี้ แลดูเหมือนว่าข่าวลือจะแพร่สะพัดไปไวกว่าปกติ คนที่เฝ้าสังเกตเรื่องของราชสำนักได้ทราบเรื่องที่ไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อมในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งบุคคลที่ว่าก็คือฉีอ๋องและพระชายา
“ไม่เคยคิดเลยว่าไท่จื่อจะกล้าหลอกลวงฝ่าบาทแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม ท่านอ๋อง ความผิดของไท่จื่อในคราวนี้เป็นการหลอกลวงประมุข เสด็จพ่อคงจะ…”
“ยังไม่พอ” ฉีอ๋องตัดบทพระชายา
“ท่านอ๋อง เรื่องใหญ่เพียงนี้ยังไม่พออีกหรือเพคะ”
ฉีอ๋องส่ายหัว “เสด็จพ่อยังลังเลอยู่ เรื่องฉาวโฉ่ที่ไท่จื่อก่อไว้ที่ร้านเจินเป่าบวกกับเรื่องที่แกล้งความจำเสื่อมยังไม่อาจทำให้เสด็จพ่อตัดสินพระทัยได้”
จะพอหรือไม่นั้น ฉีอ๋องไม่อาจยืนยัน สุดท้ายแล้วทั้งหมดเป็นเพียงการคาดคะเน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาพอจะมั่นใจได้คือ ดูเหมือนว่านี่จะโอกาสดีที่จะเปิดโปงเรื่องที่อำเภอเฉียนเหอ
ฉีอ๋องเป็นพวกหากตัดสินใจมาอย่างดีแล้วก็จะไม่คลอนแคลน เขาแอบสั่งให้คนไปดำเนินการตามแผน ส่วนตัวเองก็รอชมความสนุกอยู่ที่จวน