สายลมฤดูใบไม้ร่วงโบกโบยเย็นสบาย ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนกล่นทั่วพื้น ผู้คนสัญจรเนืองแน่นตามถนนสายเล็กใหญ่ในเมืองหลวง แม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวก่อนหน้านี้จะสร้างความโกลาหลให้เหล่าชนชั้นสูง แต่สำหรับราษฎรทั่วไปแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล่าขานยามจิบชาหลังมื้ออาหารเท่านั้น กาลเวลายังคงผ่านเคลื่อนไปเฉกเช่นวันวาน
หญิงสาวในวัยต้นยี่สิบยืนอยู่ที่หัวถนนท่ามกลางฝูงชน นางยืนนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว
กลุ่มคนที่เดินขวักไขว่ไปมาหันมองด้วยความสนอกสนใจ
ไม่ทราบว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใดก่อนที่สตรีผู้นั้นจะเข้าไปขวางทางคนเดินถนนคนหนึ่ง “พี่ชาย ศาลาว่าการพระนครไปทางไหนหรือ”
บุรุษที่ถูกขวางทางอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ไม่ต่างกัน ชายหนุ่มท่าทางปราดเปรียว มิใช่คนใสซื่อ
ครั้นบุรุษหนุ่มผู้นั้นเห็นว่าคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าคือหญิงสาวหน้าตาดี เขาก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด มือหนึ่งชี้ไปพลางบอก “เดินไปจากตรงนี้จนกระทั่งเจอแยกให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นให้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เลยไปอีกสองแยกให้เลี้ยวซ้ายอีกทีก็จะถึง”
หญิงสาวแลดูสับสนงงทิศ
ครั้นบุรุษหนุ่มเห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้มทันใด “ให้ข้าพาเจ้าไปก็แล้วกัน ข้าเองก็มิได้มีธุระเร่งด่วนอันใด”
โฉมงามมักเป็นที่ต้อนรับ แม้ว่าหญิงตรงหน้าจะมิได้รูปโฉมโนมพรรณงามยิ่งหากเทียบกับหญิงงามที่เขาเคยเห็นในเมืองหลวง แต่ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ผิวพรรณของนางขาวนวล น่าเอ็นดู
บุรุษหนุ่มเสนอตัวช่วยเหลือ หากมิได้มุ่งหวังสิ่งอื่น ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
หญิงสาวพยักหน้ารับ และเดินตามบุรุษผู้นั้นไป
คนที่จับตาดูเหตุการณ์นั้นลงความเห็นในใจ เฮอะๆ แม่หญิงคนนี้คงเป็นคนพลัดถิ่น แต่กลับตามคนอื่นไปง่ายๆ ไม่กลัวถูกลักพาตัวหรืออย่างไร
ไม่ได้การล่ะ ต้องตามไปดูเสียหน่อย เผื่อจะมีอะไรสนุกๆ
คนที่ไม่มีธุระด่วนที่คิดเหมือนๆ กันมีอยู่ไม่น้อย ไม่นานนัก กลุ่มคนก็รวมกันเป็นกระจุกเดินตามไป
ระหว่างทาง บุรุษหนุ่มเอ่ยถาม “พี่สาวคงเป็นคนต่างถิ่นสินะ”
หญิงสาวเม้มปากสนิท
“เข้าเมืองหลวงมาคนเดียวอย่างนั้นหรือ” บุรุษหนุ่มยิงคำถาม
หญิงสาวยังคงเงียบ
“ว่าแต่จะไปทำอะไรที่ศาลาว่าการพระนครล่ะ”
ยังคงไร้คำตอบจากหญิงสาว
บุรุษหนุ่มลูบคางพลางคิดในใจ ช่วยเสียเที่ยวซะแล้ว
โชคดีที่ศาลาว่าการพระนครอยู่ไม่ไกล เดินไปไม่นานบุรุษหนุ่มก็ชี้นิ้วไปเบื้องหน้า “พี่สาวเห็นนั่นไหม นั่นคือศาลาว่าการพระนคร”
“ขอบคุณมากพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยปากขอบคุณในที่สุด แล้วจึงเดินตรงไปที่ประตู
บุรุษหนุ่มคนนำทางยังคงยืนอยู่ที่เก่า
ล้อเล่นน่า หากไม่รอดูเรื่องสนุกและกลับไปเช่นนั้นก็จะยิ่งเสียเที่ยวน่ะสิ
หญิงสาวยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่หน้าประตูชั่วอึดใจก่อนจะเดินไปหยุดยืนหน้ากลองใหญ่ นางหยิบไม้แล้วฟาดลงที่หน้ากลองเต็มแรง
ตุ้งตุ้งตุ้ง…
เสียงกลองดังกังวาน ขจัดความสงัดเงียบในสถานที่ราชการไปสิ้น
เจินซื่อเฉิงวางม้วนคดีลงบนโต๊ะพลางรวบรวมสติ
มีคนมาตีกลองร้องทุกข์ คงมีงานให้ทำอีกแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เจินซื่อเฉิงก็ได้ทราบว่าคนที่มาลั่นกลองร้องทุกข์คือสตรีสาวนางหนึ่ง เขาเคาะไม้ปลุกสติหนหนึ่งก่อนจะถามสาเหตุ
สตรีนางนั้นลูบท้องน้อยของตน สิ่งที่นางพูดทำเอาทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึง
“ข้าเคยได้ยินมาว่าเจินชิงเทียนยึดผลประโยชน์ของราษฎรเป็นหลัก ที่ข้ามาที่เมืองหลวงคราวนี้เพราะอยากขอร้องให้ท่านใต้เท้าช่วยตามหาพ่อของลูกในท้องของข้าเจ้าค่ะ”
ตามหาพ่องั้นหรือ
เจ้าหน้าที่ทั้งหลายส่งสายตากันไปมาเป็นการสรุปในใจว่า เรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้
สตรีนางนี้เกิดมาผิวพรรณเนียนสวย บอบบาง อีกทั้งยังเกิดมาพร้อมใบหน้าแฉล้ม นี่คงมิได้ถูกคุณชายที่ไหนรังแกและทิ้งไปหรอกใช่ไหม
หญิงสาวมาจากต่างแดน ก็ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นอาจจะเข้ามาทำมาหากินที่เมืองหลวง แต่พอร่ำรวยก็ปักหลักหาเมียใหม่อยู่ที่นี่
สิ่งที่น่าเหนื่อยหน่ายคือนางพลัดพรากจากชายผู้นั้น ถึงได้มาขอร้องให้ศาลาว่าการช่วยตามหาคน
หากเทียบกับความฉงนสงสัยของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เจินซื่อเฉิงแลดูสงบนิ่งกว่ามาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนสุภาพ “เจ้ามาจากที่ใด”
“ข้ามาจากเมืองจิ๋นหลี่ในอำเภอเฉียนเหอเจ้าค่ะ”
ครั้นได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนั้น เจินซื่อเฉิงก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงลางร้าย
“มีหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วยหรือไม่”
หญิงสาวหยิบหนังสือเดินทางออกมาส่งให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะส่งให้เจินซื่อเฉิงอีกทอดหนึ่งเพื่อตรวจสอบ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวมาจากเมืองนั้นจริง เจินซื่อเฉิงจึงกล่าวต่อ “ไหนลองเล่าเรื่องที่เจ้าเข้ามาตามหาสามีในเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อย”
หญิงสาวกล่าวเสียงดังฟังชัด “ใต้เท้า ข้ามิได้มาตามหาสามี เพียงแต่มาตามหาพ่อของลูกในท้องเท่านั้น เพราะเขาผู้นั้นมิใช่สามีของข้า!”
เมื่อวาจาลั่นออกไป บรรดาเจ้าหน้าที่ที่คาดเดาเหตุการณ์ตรงกับที่นางกล่าวก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ท่าทีของเจินซื่อเฉิงเริ่มตึงเครียด
เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อหลายเดือนก่อนที่อำเภอเฉียนเหอ มีคนจากเมืองหลวงจำนวนมากถูกส่งไปบรรเทาทุกข์ราษฎรที่นั่น คนที่สตรีนางนี้กำลังตามหาเป็นคนจากราชสำนักอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าเจินซื่อเฉิงไม่คิดจะปกป้องพวกเดียวกัน
“ลองว่าต่อซิ”
“บุรุษผู้นั้นให้ข้าอยู่กับเขาหลายวันหลายคืน หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่า ข้าถึงได้รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ แต่ไม่รู้ว่าต้องไปตามหาเขาที่ไหนเจ้าค่ะ…”
เจินซื่อเฉิงลูบเครา “ที่เจ้าว่ามา หมายความว่าเจ้ามีสามีอยู่แล้วงั้นหรือ”
หญิงสาวตอบรับแผ่วเบา
สายตาที่เหล่าเจ้าหน้าที่มองไปที่นางแปรเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งการดูถูกเหยียดหยาม
มีสามีอยู่แล้ว ยังไปอี๋อ๋อกับชายอื่น ที่แท้ก็พวกหญิงสำส่อน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจว่าลูกในท้องของเจ้าเป็นลูกของคนอื่น”
บรรดาเจ้าหน้าที่มองไปที่เจินซื่อเฉิงด้วยสายตายกย่อง
ใต้เท้าถามได้ตรงจุดยิ่งนัก
หญิงสาวขบริมฝีปากพลางกล่าว “ข้าแต่งงานมาหลายปี ทำอย่างไรก็ไม่มีบุตร แต่หลังจากที่ไปอยู่กับบุรุษสูงศักดิ์ผู้นั้นหลายคืน ข้าก็ตั้งครรภ์ หากเด็กในท้องมิใช่ลูกของเขาแล้ว จะเป็นลูกของใครล่ะเจ้าคะ”
เสียงเจ้าหน้าที่พึมพำ “จะว่าไปแล้ว หากไปอยู่กับคนสูงศักดิ์ได้ นางจะไปอยู่กับคนอื่นมิได้หรือ”
เสียงหัวเราะคิกคักดังอื้ออึง
แววตาคมปลาบของหญิงสาวพุ่งตรงไปที่คนพูด ใบหน้าของนางแดงก่ำ “ข้ามิได้เป็นหญิงกากีมากชู้หลายผัว เพียงแต่สามีของข้ารับเงินของเขามาต่างหาก…”
นางไม่อาจกล่าวต่อไปได้ น้ำตาหยดใสไหลอาบข้างแก้ม
เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ได้ฟังก็ชะงักไป
มีสามีเช่นนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ
เจินซื่อเฉิงกระแอมไอ “เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
“ข้าทราบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องไปตามหาเขาที่ใด ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ”
“เอ่อะ แล้วคนผู้นั้นเป็นใครกัน”
หญิงสาวเงียบงันชั่วอึดใจใหญ่ก่อนจะกล่าวเสียงสั่น “คนสูงศักดิ์ที่ว่า…คือไท่จื่อ”
ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมา ทั้งหมดก็ได้แต่ชะงักงันนิ่งอึ้ง
ใบหน้าของเจินซื่อเฉิงบิดเบี้ยวเล็กน้อย สายตาหลุบมองเคราที่หลุดติดมือมาเพราะความตกใจเมื่อครู่ เขาสูดลมหายใจด้วยความทุกข์ตรม
อายุอานามก็มากแล้ว หนวดเคราถึงได้หลุดง่ายเพียงนี้ หากยังลูบๆ ดึงๆ ต่อไปคงได้โกร๋นกันพอดี
ในชั่วขณะนั้น เจินซื่อเฉิงงุนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้
แม้การที่สตรีนางนี้บอกว่าบุตรในครรภ์เป็นลูกของไท่จื่ออาจฟังดูเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง แต่เมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่ไท่จื่อกล้าไปหลับนอนอยู่กับพระสนมของฝ่าบาท เขากลับไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าการกล่าวอ้างถึงไท่จื่อโดยไม่เป็นความจริงจะมีโทษเช่นไร”
หญิงสาวตัวสั่นเทิ้ม “ข้ามิบังอาจทำเช่นนั้น ข้ามีหลักฐานเจ้าคะ!”
“ไหนหลักฐานที่เจ้าว่า”
หญิงสาวลังเลก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อส่งให้เจินซื่อเฉิง
สิ่งนั้นคือจี้หยกชิ้นหนึ่ง
เมื่อเห็นลายมังกรสี่เล็บที่แกะสลักอยู่บนจี้หยกนั้นแล้ว เจินซื่อเฉิงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
หญิงสาวก้มหน้าพลางบอก “ผู้สูงศักดิ์มอบจี้หยกนี้ให้ข้า”
เจินซื่อเฉิงเงียบไปในทันใด
ไท่จื่อเป็นตัวแทนฮ่องเต้เสด็จไปบรรเทาทุกข์ราษฎร แต่กลับใช้จ่ายเงินทองซื้อไปกับการซื้อตัวสตรีที่เป็นเหยื่อภัยพิบัติให้มาหลับนอนกับตน แค่นี้ก็ว่าหนักแล้ว หลับนอนด้วยกันไม่พอ ยังทิ้งของให้ดูต่างหน้า กลัวจะไม่มีหลักฐานมัดตัวหรืออย่างไร
เมื่อคิดว่าต้าโจวต้องมีองค์รัชทายาทพรรค์นั้น เจินซื่อเฉิงก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที
ครั้นหญิงสาวเห็นว่าเจินซื่อเฉิงเงียบไป นางก็รีบซบหน้าผากถึงพื้น “ท่านใต้เท้า ข้าไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ เมื่อสูงศักดิ์ผู้นั้นกลับไป สามีของข้าก็รังเกียจเพราะข้ามีมลทิน เขาจึงรับอนุภรรยาใหม่เข้ามา เสพสุขสำเริงสำราญกันสองคน เมื่อเขารู้ว่าข้าตั้งครรภ์ ประกอบกับเงินที่ได้มาจากการขายข้าเริ่มเกลี้ยงถุง เขาจึงขับไสไล่ส่งให้ข้ามาขอเงินผู้สูงศักดิ์ถึงในเมืองหลวง หากข้าไม่ยอมมา เขาก็จะตีข้าจนตาย…”
ไม่กี่วันต่อมา เจินซื่อเฉิงก็เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้