พระชายาไท่จื่อไม่คิดว่าเจียงซื่อจะเข้ามาทักนาง
สายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ พระชายาฉีอ๋องตั้งใจเข้าหาพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกปฏิเสธ จากที่นางเห็นพระชายาเยี่ยนอ๋องมิได้เป็นคนละมุนละม่อมไปเสียทุกเรื่อง
เจียงซื่อเอ่ยทัก “ท่านพี่สะใภ้รอง เหตุไฉนถึงไม่พาไท่ซุนมาด้วยเล่า เสด็จพ่อทรงโปรดปรานไท่ซุนเป็นที่สุดนี่เพคะ”
พระชายาไท่จื่อฝืนยิ้มจืดเจื่อน “ข้ากลัวว่าฉุนเกอเอ๋อร์จะสร้างความวุ่นวายให้แก่เสด็จพ่อ จริงด้วย เรื่องที่ฉุนเกอเอ๋อร์จมน้ำคราวก่อน ข้ายังไม่เคยขอบคุณน้องสะใภ้เจ็ดอย่างจริงใจเลยสักครั้ง…”
เจียงซื่อคลี่ยิ้มพลางบอก “พี่สะใภ้รองอย่าได้ทำห่างเหินเลยเพคะ ท่านอ๋องเพียงช่วยไปตามเรื่อง อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยเพคะ”
พระชายาไท่จื่อส่ายศีรษะ “ต่อให้สำหรับน้องเจ็ดเป็นเพียงการช่วยไปตามเรื่อง แต่สำหรับข้าแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต น้องเจ็ดช่วยชีวิตฉุนเกอเอ๋อร์ ข้าจะจดจำความดีครั้งนี้ไปชั่วชีวิต เพียงแต่ข้ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสตอบแทนความดีของพวกเจ้าก็เท่านั้น”
แววตาของเจียงซื่อลุ่มลึกขึ้นทันใด
ถ้อยคำของพระชายาไท่จื่อเจือไปด้วยความโศกเศร้า ดูเหมือนว่าอนาคตของไท่จื่อคงไปได้อีกไม่ไกล
เจียงซื่อถอนหายใจอีกครั้ง
คนที่เข้าอกเข้าใจโลกเพียงนี้กลับต้องตกอยู่ในวังวนเหม็นเน่าของไท่จื่อ ช่างโชคร้ายเสียเหลือเกิน ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้
“พี่สะใภ้รองมิจำเป็นต้องใส่ใจหรอกเพคะ เสด็จพ่อประชวรเช่นนี้ หม่อมฉันและท่านอ๋องต่างก็อาศัยอยู่นอกวัง ไม่อาจรั้งรออยู่ที่นี่ได้นาน หากพี่สะใภ้รองพาไท่ซุนมาเยี่ยมเสด็จพ่อก็นับว่าเป็นการแสดงความกตัญญูต่อฝ่าบาทแทนหม่อมฉันและท่านอ๋องแล้วเพคะ”
พระชายาไท่จื่อได้ฟังเช่นนั้นก็จ้องมองนางด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
นางเดาไม่ได้เลยว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องต้องการจะสื่ออะไร
แต่ท่าทีของอีกฝ่ายดูจริงใจ ไร้วาระซ่อนเร้น
“น้องสะใภ้เจ็ดใจดีเพียงนี้ ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
เจียงซื่อยิ้มเบาบางพลางกล่าวแผ่วเบา “วันนี้ที่หม่อมฉันเข้าไปเยี่ยมเสด็จพ่อ หม่อมฉันเห็นว่าพระเกศาของพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวไม่น้อยเลยเพคะ คนเรายามเจ็บไข้ มักมีจะโหยหาคนที่รัก พี่สะใภ้รองหมั่นพาไท่ซุนเข้าไปหาเสด็จพ่อ พระอาการของพระองค์น่าจะดีขึ้นในเร็ววัน เมื่อทำเช่นนั้นพวกหม่อมฉันเองก็จะได้สบายใจด้วยเพคะ”
พระชายาไท่จื่อพยักหน้า “ก็จริงของเจ้า ข้าคิดไม่รอบคอบเท่าเจ้าเลยจริงๆ”
“พี่สะใภ้รองอย่าตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าเสด็จพ่อจะทรงเห็นความกตัญญูของพระองค์ เสด็จพ่อต้องทรงทราบอย่างแน่นอนเพคะ” ครั้นเจียงซื่อกล่าวจบ นางก็ค้อมศีรษะให้พระชายาไท่จื่อหนหนึ่ง แล้วเดินตามอวี้จิ่นไป
อวี้จิ่นพิศมองไปที่เจียงซื่อก่อนจะถอนหายใจออกมา “เจ้าเนี่ยน้า จิตใจดีเหลือเกิน”
เจียงซื่อไม่เห็นด้วย “เพียงคำพูดไม่กี่คำ จะนับว่าเป็นคนจิตใจดีได้อย่างไร”
แม้นางจะเห็นใจพระชายาไท่จื่อที่ต้องพบจุดจบเศร้าสลดในชาติที่แล้ว แต่นางไม่อาจบอกพระชายาไท่จื่อว่าสามีของนางจะต้องโทษฐานก่อกบฏ นางทำได้มากสุดเท่านี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นพวกใจอ่อน หากเห็นพระชายาไท่จื่อพาไท่ซุนมาหาบ่อยเข้า แม้มีเรื่องไท่จื่อก่อกบฏ ก็อาจไว้ชีวิตนางก็เป็นได้
อวี้จิ่นหรี่ตาพลางคลี่ยิ้ม “พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์เพียงไม่กี่คำก็สามารถเปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมดได้ เป็นเช่นนั้นก็ดี เพราะอย่างไร พระชายาไท่จื่อก็นับว่าเป็นคนใช้ได้”
เจียงซื่อยกยิ้มมุมปาก “แค่เจ้าไม่เห็นว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ข้าก็ดีใจแล้ว”
อวี้จิ่นหัวเราะพร้อมเอื้อมมือไปดึงมือนางมาจับไว้ “เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า อย่าพูดเช่นนั้นเลย”
เจียงซื่อเอนตัวพิงอวี้จิ่นพลางถอนหายใจแผ่วเบา
หากไท่จื่อถูกปลดอีกครั้ง เกรงว่าชีวิตของพวกเขาคงไม่ได้อยู่อย่างสุขสงบอีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องใหญ่ เพราะต่อให้หนีโชคชะตานี้ไม่พ้น นางเพียงแค่ต้องตัดเป้าหมายเล็กๆ ออกไปก็เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรนางก็เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว
จากที่เห็นตอนนี้ สิ่งที่ควรทำคือกำจัดไท่จื่อที่ชั่วช้าสามานย์เสียยิ่งกว่าสัตว์นรก
“อาซื่อ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”
“แล้วเจ้าล่ะ” เจียงซื่อส่งยิ้มพลางย้อนถาม
ริมฝีปากบางโค้งสวยได้รูป “ข้ากำลังคิดว่า ไม่ว่าข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ควรกำจัดไท่จื่อก่อนจะดีกว่า”
เจียงซื่อผุดยิ้มกว้าง
อวี้จิ่นโอบไหล่หญิงสาวส่งยิ้มพลางถาม “ดูเหมือนเราจะใจตรงกันสิท่า”
เจียงซื่อชำเลืองมองชายหนุ่ม “ใครอยากใจตรงกับเจ้ากัน”
“ใจตรงกันเห็นๆ แต่เจ้าไม่ยอมรับ”
“เอาเถอะ เจ้าว่าตรงกันก็ตรงกัน”
“ก็เห็นๆ กันอยู่…”
เสียงหัวเราะรื่นรมย์ดังไปทั่วรถ
……
ระหว่างทางกลับไปยังตงกง ไท่จื่อรอให้พระชายาไท่จื่อเดินตามมาก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “พิรี้พิไรอะไรอยู่เล่า”
“เมื่อครู่สนทนากับพระชายาเยี่ยนอ๋องเล็กน้อยเพคะ”
“พวกเจ้ามีเรื่องใดให้สนทนากันนักหรือ” ไท่จื่อใกล้ปะทุอยู่รอมร่อ
เขายังคงติดใจเรื่องวันนั้นที่คนของเจ้าเจ็ดเข้ามาช่วยพี่สาวของพระชายาเยี่ยนอ๋อง เขาที่เนื้อแพะยังไม่ตกถึงท้องถูกเล่นงานจนสภาพสะบักสะบอม แต่วันนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องและพระชายาของเขากลับดูสนิทสนมกันจนน่าตกใจ จะไม่ให้เขารู้สึกแปลกได้อย่างไร
“คราวหลังก็อยู่ให้ห่างคนพวกนั้นหน่อย ไว้ใจไม่ได้เลยสักคน”
พระชายาไท่จื่อคร้านจะต่อกรกับไท่จื่อเต็มทน นางเพียงแต่กล่าวเสียงเรียบ “ทราบแล้วเพคะ”
ไท่จื่อว้าวุ่นใจอย่างยิ่งยวด เมื่อมาถึงตงกงก็ไม่อยากทนเห็นหน้าเย็นชาของพระชายาอีกแล้ว เขาเลยตรงเข้าไปที่ห้องตำราทันที
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ การไปพูดคุยอยู่กับนางในก็มิได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น สู้นั่งดูภาพเล่นลับอยู่ในห้องตำราให้สบายอารมณ์ดีกว่า
พระชายาไท่จื่อยังคงขบคิดสิ่งที่เจียงซื่อพูด
นางและพระชายาเยี่ยนอ๋องมิได้สนิทสนมกันปานนั้น หากว่าตามความจริง ที่นางเข้ามาหาเช่นนี้ก็เพราะเยี่ยนอ๋องเคยช่วยชีวิตฉุนเกอเอ๋อร์
แม้ว่าสิ่งที่นางพูดจะฟังดูเป็นเรื่องทั่วไป แต่หากพิจารณาให้ดีกลับมีความหมายแฝงบางอย่าง
“เสด็จแม่ ไปเยี่ยมเสด็จปู่มาหรือขอรับ” ฉุนเกอเอ๋อร์เดินเข้ามาแล้วทำความเคารพพระชายาไท่จื่อ
“ไปมาแล้ว วันนี้ที่ชั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉุนเกอเอ๋อร์คลี่ยิ้ม “ท่านอาจารย์ชมว่าลูกท่องตำราได้เก่งมาก”
พระชายาไท่จื่อเผยสีหน้าชื่นชมพลางส่งยิ้มหวาน
“เสด็จแม่ไม่ต้องกังวลไป เสด็จปู่จะต้องหายดีขอรับ” ฉุนเกอเอ๋อร์พยายามปลอบใจมารดา
เด็กน้อยทำท่าคิดพลางบอก “ลูกจะตั้งใจเรียนหนังสือ”
เสด็จแม่จะได้ไม่ต้องเศร้าใจเช่นนี้
ครั้นมองไปที่บุตรชายที่เข้าอกเข้าใจไม่ต่างจากผู้ใหญ่ พระชายาไท่จื่อก็รู้สึกลื่นที่ขอบตาขึ้นมาทันที นางลูบผมฉุนเกอเอ๋อร์อย่างเบามือ
ลูกของนางเป็นเด็กฉลาดและว่านอนสอนง่าย แต่กลับมีบิดาไม่เต็มเต็งเช่นนั้น
หากวันใดไท่จื่อก่อเรื่องเลวร้ายกว่านี้ เป็นเหตุให้นางและลูกไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตสงบสุข นางจะทำอย่างไร
ต่อให้นางต้องตาย นางก็ไม่เคยนึกเสียดาย แต่ฉุนเกอเอ๋อร์เล่า
ไม่ได้ นางจะอยู่นิ่งรอให้ภัยมาถึงตัวไม่ได้ นางจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องฉุนเกอเอ๋อร์
ในชั่วขณะนั้น พระชายาไท่จื่อที่มีไหวพริบเป็นเลิศถึงได้เข้าใจความหมายของเจียงซื่อ
หากนางหมั่นพาฉุนเกอเอ๋อร์ไปแสดงความกตัญญูต่อเสด็จพ่อ ย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย
ไม่นาน พระชายาไท่จื่อก็ตัดสินใจได้ นางถือข้าวต้มธัญพืชในชามทองเหลืองไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็จูงมือฉุนเกอเอ๋อร์ไปยังตำหนักหย่างซิน
“ฝ่าบาท พระชายาไท่จื่อพาไท่ซุนมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สะใภ้ของเขาคนนี้ฉลาดปราดเปรื่อง ประพฤติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรมมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ก็ตามไท่จื่อมาเข้าเฝ้า แต่คราวนี้พาฉุนเกอเอ๋อร์มาขอเข้าเฝ้าเองอย่างนั้นหรือ ช่างเกินความคาดหมายยิ่งนัก
“ฝ่าบาท พระองค์จะให้…”
“ให้พวกเขาเข้ามา”
พระชายาไท่จื่อยืนหวั่นใจอยู่ด้านนอก มือที่จูงฉุนเกอเอ๋อร์เย็นเฉียบ
ฉุนเกอเอ๋อร์รับรู้ได้ถึงความประหม่าของผู้เป็นมารดา จึงพยายามทำตัวเชื่อฟังอย่างดี
พานไห่เดินออกมาพลางบอก “พระชายาไท่จื่อ ไท่ซุน ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เสด็จเข้าไปด้านในได้พ่ะย่ะค่ะ”
……
ไท่จื่อที่เพิ่งได้ทราบเรื่อง ยกมือขึ้นนวดบริเวณเบ้าตา
เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง เสด็จพ่อให้ชายาอ๋องคนอื่นๆ เข้าพบ แม้แต่ชายาของเขาก็ยังได้เข้าพบ มีแต่เขาคนเดียวงั้นหรือที่เสด็จพ่อไม่ยอมให้เข้าเฝ้า
หลังจากนั้น พระชายาไท่จื่อก็พาฉุนเกอเอ๋อร์ไปขอเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้วันละสามครั้ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ได้เห็นหน้าของหลานชายคนโปรดก็เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
แต่นั่นยิ่งทำให้ไท่จื่อว้าวุ่นใจหนักขึ้นจนต้องเรียกเหล่าขุนนางเข้ามาหารือ