“ที่เรือนของพระชายายังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อพรวดพราดออกไป
ข้าหลวงหยิบรองเท้าวิ่งตามออกไป “องค์รัชทายาท ฉลองพระบาท…”
ไท่จื่อหันกลับมาตบหน้าข้าหลวงผู้นั้น พลางเอ่ยเกรี้ยวกราด “รองท้ง รองเท้าอะไรอีก ไอ้ตัวซวย!”
ข้าหลวงถูกตบหน้าหัน รองเท้าในมือร่วงลงพื้น
ในห้องของพระชายาไท่จื่อมืดสนิท เมื่อนางในที่เฝ้าประตูเห็นไท่จื่อก็รีบทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
ไท่จื่อไม่สนใจ เตรียมจะเดินเข้าไป
นางในรีบเข้ามาขวาง “องค์รัชทายาท พระชายาบรรทมอยู่เพคะ…”
“ไสหัวไปให้พ้น!” ไท่จื่อผลักนางออกไปจนพ้นทางแล้วพุ่งพรวดเข้าไป
นางในที่ประจำอยู่ในห้องรี่มาต้อนรับ แต่ไม่อาจรั้งตัวไท่จื่อไว้ได้
ไท่จื่อตรงเข้าไปยังส่วนที่เป็นแท่นบรรทม เมื่อเห็นว่าในห้องนั้นไร้เงาของพระชายาก็คว้าตัวนางในมาสอบ “พระชายาอยู่ไหน”
“บ่าว บ่าวไม่ทราบเพคะ…”
ไท่จื่อสลัดตัวนางในก่อนจะพรวดเข้าไปที่ห้องของฉุนเกอเอ๋อร์
ฉุนเกอเอ๋อร์กำลังหลับอยู่ ในห้องนั้นไร้วี่แววของพระชายาไท่จื่อเช่นกัน
ไท่จื่อหันหลังเดินออกไปเรียกนางในคนสนิทอีกคนของพระชายาไท่จื่อมาถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าพระชายาอยู่ที่ไหน”
“บ่าวไม่ทราบจริงๆ เพคะ”
“จะไม่บอกใช่ไหม” ไท่จื่อปะทุถึงขีดสุด มือคว้าเก้าอี้ตัวน้อยมาถือก่อนจะทุบเข้าที่ศีรษะของนางใน
หญิงสาวร้องโอดครวญพลางล้มลงบนพื้น โลหิตสีแดงสดไหลอาบจากหน้าผาก
ไท่จื่อง้างมือที่ถือเก้าอี้ตัวเล็กที่เปื้อนเลือด สายตาเหี้ยมโหดจ้องมองไปที่นางในคนอื่นๆ “บอกมาว่าพระชายาอยู่ที่ไหน”
เมื่อเห็นไท่จื่อทำร้ายนางในคนสนิทของพระชายาแล้ว นางในคนอื่นๆ ก็ได้แต่หวาดผวา จนในที่สุดมีนางในคนหนึ่งเอ่ยแผ่วเบา “พระชายาน่าจะเสด็จไปที่ตำหนักคุนหนิงเพคะ…”
ตำหนักคุนหนิงงั้นหรือ
ไท่จื่อตัวสั่นเทิ้ม
พานไห่พาคนเข้ามาค้นที่ตงกง ส่วนพระชายาไท่จื่อก็อยู่ที่ตำหนักคุนหนิง นี่มันหมายความว่าอย่างไร
จนถึงบัดนี้ ไท่จื่อพอจะเดาได้แล้ว ที่แท้ก็พระชายานี่เองที่คอยจับตาดูเขาอยู่ และนางก็เอาความลับของเขาไปบอกฮองเฮา!
หรือจะบอกอีกนัยหนึ่งคือ เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องที่เขาปลุกเสกหุ่นไม้ทำคุณไสยแล้ว…
ข้าหลวงคนหนึ่งรี่เข้ามาพร้อมลอบหายใจหอบรัว “องค์รัชทายาท พาน พานกงกงพาคนเข้าไปค้นในห้องบรรทมของพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อตัวเซ
“องค์รัชทายาท…” ข้าหลวงรีบเข้ามาพยุง
ไท่จื่อพยายามรวบรวมสติ เขาผลักข้าหลวงออกไปจนพ้นทาง และเผ่นพรวดไปยังห้องนอนของตัวเอง
หากพานไห่หาหุ่นไม้ไม่พบ เขาก็จะรอด!
พานไห่เองก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากไม่แพ้กัน
การตัดสินใจค้นห้องบรรทมของไท่จื่อมิใช่เรื่องง่าย
หากคราวนี้ไท่จื่อไร้ความผิด และหากฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป เขาคงได้นับวันรอไท่จื่อขึ้นครองราชย์และกลับมาคิดบัญชีย้อนหลัง
ไท่จื่อรีบรุดมาถึงที่พร้อมความเกรี้ยวกราดอั้ดแน่น “พานกงกง นี่เจ้ากำลังทำอะไร”
เมื่อเห็นไท่จื่อปรากฏอยู่ตรงหน้า พานไห่ก็หลุดออกจากภวังค์ ข้าหลวงสูงอายุถวายความเคารพ “ถวายบังคมองค์รัชทายาท บ่าวได้รับคำสั่งให้มาหาของชิ้นหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้รับคำสั่ง? คำสั่งของใคร”
“เป็นคำสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อหน้าซีด น้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “จากที่ข้าเห็น ข้าว่าเจ้ากำลังเพ้อเจ้อไร้สาระ ยามนี้เสด็จพ่อคงบรรทมไปแล้ว จะสั่งให้เจ้ามาหาของที่ตงกงได้อย่างไร อีกอย่าง ตงกงมีของอะไรที่พวกเจ้าต้องมาพลิกแผ่นดินหาเยี่ยงนี้”
“องค์รัชทายาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมิกล้าใช้พระนามของฝ่าบาทมากล่าวอ้างลอยๆ หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อเย้ยหยัน เปล่งเสียงแหลมสูง “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ข้าหลวงที่กำลังเร่งมือหาของชิ้นนั้นหยุดชะงักทันใด
“พานไห่ หากเจ้าจะค้นตำหนักของข้า เจ้าก็ไปนำราชโองการของฝ่าบาทมา มิฉะนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่ามที่นี่ ที่นี่คือตงกง และข้าคือไท่จื่อ ข้ามิใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินเช่นนี้!”
น้ำเสียงเฉียบคมของไท่จื่อกลับทำให้พานไห่รู้สึกสงบนิ่ง
ปกติยามที่ไท่จื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาจะเป็นพวกบอกซ้ายก็ไปซ้าย บอกขวาก็ไปขวา แต่บัดนี้กลับแข็งกร้าว ส่อพิรุธชัดเจน นั่นอาจเป็นเพราะจนหนทางเต็มที
ภายนอกทำเป็นแข็งกร้าว ทว่าภายในกลับขลาดกลัว คืออาการของไท่จื่อในตอนนี้
“นี่คือรับสั่งของฮ่องเต้ แต่หากองค์รัชทายาทต้องการเห็นราชโองการ กระหม่อมก็จนปัญญา หากพระองค์ไม่เชื่อก็ตามกระหม่อมไปที่ตำหนักเฉียนชิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทยังไม่บรรทมพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่เอ่ยฉะฉาน
“เจ้า…” ไท่จื่อชี้นิ้วไปที่พานไห่ ใบหน้าคล้ำหม่นเสียยิ่งกว่าเมฆครึ้ม คำขู่ถูกเค้นผ่านร่องฟันคำต่อคำ “พานไห่ เจ้าแน่ใจแล้วสินะ!”
พานไห่ยกมือคารวะพร้อมค้อมตัว “บ่าวเพียงแต่ฟังตามคำสั่งของฮ่องเต้ มิได้ตัดสินใจโดยพลการพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ส่งสายตาคมปลาบไปยังข้าหลวงที่กำลังนิ่งงัน เสียงสูงเอ่ยดัง “ชักช้าอยู่ไย ฝ่าบาททรงรออยู่!”
บรรดาข้าหลวงเร่งมือต่อ
เมื่อเห็นห้องถูกรื้อค้นจนไม่เหลือเค้าเดิม ใบหน้าซีดเซียวของไท่จื่อก็เริ่มเขียวคล้ำ แล้วก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีซีดอีก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมายิ่งกว่าจานสี เขาทำได้เพียงปลอบใจตัวเองในใจ ไม่มีทางหาเจอ ไม่มีทางหาเจอเด็ดขาด…
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละน้อย ทั้งนอกและในห้องนอนของไท่จื่อถูกค้นแทบทุกซอกทุกมุม แม้แต่พื้นดินข้างบันไดหินด้านนอกยังถูกขุดคุ้ย
ข้าหลวงเข้ามารายงานพานไห่ทีละคน
“หัวหน้าขันที ไม่เจอวัตถุต้องสงสัยเลยขอรับ”
“หัวหน้าขันที ไม่เจออะไรเลยขอรับ”
“หัวหน้าขันที……”
ใบหน้าของพานไห่แย่ลงเรื่อยๆ เขาชำเลืองมองไท่จื่อด้วยหางตา และเห็นว่าไท่จื่อกำลังยกยิ้มมุมปาก
เขาแอบกำหมัดแน่น
ไท่จื่อต้องมีความผิดอย่างแน่นอน เพียงแต่ของชิ้นนั้นถูกซ่อนไว้ที่ใดกันนะ
“พานกงกง หาเจอหรือยัง” ไท่จื่อเอ่ยถามเย็นชา
พานไห่หลับตาลงพลางตอบ “องค์รัชายาทอย่าเพิ่งวู่วามไปพ่ะย่ะค่ะ”
“วู่วามอะไรของเจ้า เฮอะ ข้าว่าเสด็จพ่อคงถูกใครเป่าหูเข้าล่ะสิ ถึงได้ให้คนมาค้นตงกงสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ เป็นการหมิ่นเกียรติไท่จื่ออย่างข้ายิ่งนัก! พานไห่ หากเจ้าให้คนของเจ้าหยุดตอนนี้ ข้าจะไม่ถือสา ข้าจะถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่หากเจ้าไม่หยุด พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเมื่อไหร่ ข้าจะไปรายงานเสด็จพ่อทันที!”
คำข่มขู่ของไท่จื่อทำให้พานไห่รู้สึกหนักใจ
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ และเขาเลือกที่จะทำผิดต่อไท่จื่อแล้ว ก็ไม่มีหนทางให้กลับตัว หากสุดท้ายเขาหาของชิ้นนั้นไม่พบ ชีวิตของเขาก็ต้องถึงคราวสิ้นสุดอยู่ดี
คืนนี้หากไท่จื่อมิได้ล้มลงในความผิด เขานั่นแหละที่จะถึงคราวพินาศ!
พานไห่กลั้นใจยกมือขึ้นคารวะอีกครั้ง “เช่นนั้น องค์รัชทายาทก็รอจนฟ้าสว่างก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนกระหม่อมจะสืบหาต่อไปพ่ะย่ะค่ะ!”
“บังอาจ!”
พานไห่เข้าไปรวมกลุ่มกับข้าหลวงคนอื่นๆ ทำราวกับว่าไม่ได้ยินคำบริภาษสาปส่งของไท่จื่อ
ไปซ่อนไว้ที่ไหนกันนะ
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ใบหน้าของพานไห่ยังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์ ทว่าในใจร้อนรนจนแทบคลั่ง
ไม่ได้ ข้าจะอยู่เฉยรอความฉิบหายมาเยือนไม่ได้!
ภายใต้สภาวการณ์กดดันหนักหน่วง พานไห่บังเอิญคิดถึงใครบางคน…ไม่ใช่ คิดถึงสุนัขบางตัว ท่านแม่ทัพเซี๋ยวเทียนขั้นที่สี่!
ท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนที่เยี่ยนอ๋องเลี้ยงไว้แสนรู้ประหนึ่งสุนัขเทพ หากให้ช่วยตามหาของ อาจสร้างปาฏิหาริย์ก็เป็นได้…
พานไห่ครุ่นคิด มิได้มีท่าทีลังเล เขาหันไปสั่งเสี่ยวเลอจื่อ ผู้ช่วยคนสนิทให้กลับไปที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตจากจิ่งหมิงฮ่องเต้
……
ทางด้านจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ทราบจากปากพระชายาไท่จื่อแล้วว่า นางในทั้งสองเป็นนางในคนโปรดของไท่จื่อ ความสงสัยในตัวไท่จื่อผุดเกิดเติบโตไวว่องประหนึ่งหญ้าป่า เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเล่อจื่อมาขออนุญาตเรื่องเชิญแม่ทัพเซี่ยวเทียน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พยักหน้ารับโดยไม่ลังเล
จากสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรดำเนินมาถึงขั้นฟาดฟันเอาชีวิต อีกทั้งเรื่องนี้ยังส่งผลต่อความอยู่รอดของบ้านเมือง เขาจึงต้องจำยอมปล่อยวางเรื่องความสัมพันธ์
ในวินาทีนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้เป็นเพียงบิดา แต่ยังเป็นประมุขของประเทศ และเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าโจว
เสียงเคาะประตูใหญ่หน้าจวนเยี่ยนอ๋องดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านอ๋อง วังหลวงขอยืมแม่ทัพเซี่ยวเทียนไปใช้งานหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”