ขันทีกลุ่มหนึ่งเข้าไปล้อมไท่จื่อ
ครั้นเอ้อร์หนิวเห็นว่าหมดธุระของตัวเองแล้วก็งอขาหลังลงนั่งพัก พลางสะบัดหางไปมา
พานไห่นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันมาก้มโค้งให้เอ้อร์หนิว “เชิญท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนกลับไปที่จวนก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะไปแสดงความขอบคุณในภายหลัง”
ในตอนนี้ หากผู้ใดจะพูดว่าแม่ทัพเซี่ยวเทียนเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง เขานี่แหละจะค้านหัวชนฝา
ผู้คนทยอยออกจากตำหนักบูรพาประหนึ่งกระแสน้ำไหล ทิ้งข้าวของกระจัดกระจายไว้เบื้องหลัง
ฉุนเกอเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นถามนางใน “เสด็จพ่อทำผิดอย่างนั้นหรือ”
นางในกระชับมือที่จับฉุนเกอเอ๋อร์ให้แน่นขึ้น ปากซีดเอ่ยปลอบ “ไท่ซุน พระองค์เสด็จกลับก่อนเถิดเพคะ หากพระชายาไท่จื่อมาพบเข้าจะแย่เอานะเพคะ”
พระชายาไท่จื่อฝากให้นางเป็นคนดูแลก่อนที่พระนางจะออกไป ไม่คิดว่าไท่ซุนที่กำลังหลับสนิทจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ดึงดันร้องจะออกมาข้างนอก นางรั้งอย่างไรก็รั้งไว้ไม่อยู่
ท้ายที่สุด ไท่ซุนจึงได้เห็นภาพที่ไท่จื่อถูกกลุ่มข้าหลวงพาตัวไป พร้อมกับความยุ่งเหยิงในตงกง
“ไท่ซุนเพคะ กลางคืนลมแรง ให้บ่าวพาพระองค์เข้าไปนะเพคะ”
ฉุนเกอเอ๋อร์ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ถามซ้ำอีกครั้ง “เสด็จพ่อทำผิดอย่างนั้นหรือ”
นางในก้มหน้าพลางเอ่ยแผ่วเบา “บ่าวก็ไม่แน่ใจเพคะ…”
นางรู้แต่เพียงว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แต่เกิดเรื่องอะไร นางที่เป็นเพียงนางในตัวเล็กๆ จะทราบได้อย่างไร
อีกอย่าง ต่อให้นางทราบ นางก็ไม่กล้าเล่าให้ไท่ซุนฟังอยู่ดี
ราวกับว่าฉุนเกอเอ๋อร์ก็เข้าใจดีจึงกล่าวเพียงว่า “กลับเข้าไปกันเถอะ”
เด็กน้อยหมุนตัว ไหล่เล็กๆ สั่นระริก พยายามข่มกลั้นน้ำตาเอาไว้
นางในยกมือขึ้นซับน้ำหยดใสเย็นเฉียบที่หางตา
ไท่จื่อทำผิด สีหน้าคร่ำเคร่งของพานกงกงทำให้พอทราบได้ว่า ความผิดนั้นคงมิใช่เรื่องเล็กๆ ดูจากสภาพการณ์แล้ว พวกนางซึ่งเป็นคนของตงกงก็คงถูกฝังกลบตามไปด้วย…
นางกำนัลไม่กล้าคิดต่อ นางจูงมือฉุนเกอเอ๋อร์เดินเข้าไป
……
ณ ตำหนักเฉียนชิง จิ่งหมิงฮ่องเต้เฝ้ารออย่างร้อนใจ เมื่อข้าหลวงเข้ามารายงานว่า พานไห่กำลังพาตัวไท่จื่อกลับมา ความร้อนใจนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความวิตกกังวล
หรือว่าพานไห่เจอหุ่นไม้ที่ตงกง
ไม่กี่ชั่วอึดใจ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยปาก “ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่ช้าไม่นาน พานไห่ก็เดินเข้ามา ตามหลังมาด้วยไท่จื่อที่ถูกข้าหลวงคุมตัวเข้ามา ใบหน้าของเขาหม่นหมองประหนึ่งสีดิน
ทันทีที่เห็นสีหน้าของไท่จื่อ ใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เย็นเยือกไปกว่าครึ่ง สายตาลุ่มลึกหันมองพานไห่
ใบหน้าของพานไห่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน เขาล้วงหุ่นไม้ปลุกเสกออกมาและส่งให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ “เชิญฝ่าบาททอดพระเนตรหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองหุ่นไม้ถงรูปคนที่ถูกปักเข็มไว้ที่หัวใจ แววตาของเขาก็หรี่ลง เขาพลิกดูอักขระแปดตัวที่จารจารึกวันที่บนหุ่นไม้ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น “เจอสิ่งนี้ที่ไหน”
พานไห่ชำเลืองมองไปที่ไท่จื่อแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนเป็นผู้เจอพ่ะย่ะค่ะ ของชิ้นนี้ถูกฝังอยู่ในกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ริมขอบหน้าต่างในห้องบรรทมของไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไอ้คนชั่ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกพรวดพร้อมชี้นิ้วไปที่ไท่จื่อ
ไท่จื่อคุกเข่าลง ร้องโอดครวญอ้อนวอน “สะ เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลง เสียงร้องขอความเมตตาของไท่จื่อดังลอดเข้ามาในหู แต่กลับยิ่งทำให้เขาเร้าโทสะหนักกว่าเดิม ความโกรธขึ้งแปรสภาพเป็นความเศร้าโศกเหลือเกินจะกล่าว
นี่คือทายาทโดยชอบธรรมที่เขาให้ความสำคัญเป็นที่สุด เกิดมาก็ได้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาท เขาเลือกขุนนางที่จะมาอบรมสั่งสอนอย่างพิถีพิถัน ใครจะไปคิดว่าสุดท้าย เขาจะกล้าวางแผ่นสังหารกษัตริย์ผู้เป็นบิดาแท้ๆ ของตัวเอง
นี่เขาผิดหรือที่นำบทเรียนจากจักรพรรดิองค์ก่อนๆ ที่เลือกรัชทายาทด้วยความรักจนเกิดความวุ่นวายมาปรับใช้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมตาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “นางในคนนั้นถูกเจ้าฆ่าตายสินะ”
คนที่พานไห่ส่งไปสืบสาเหตุการเสียชีวิตของนางในกลับมารายงานผลแล้ว โชคดีที่ร่างศพของนางยังไม่ถูกเผา จึงสามารถวินิจฉัยหาคำตอบได้อย่างรวดเร็ว
ไท่จื่อตัวสั่นเทา เงียบงันไม่กล่าวตอบ
“พูดมา เจ้าเป็นคนฆ่านางใช่หรือไม่!”
ผู้ที่กลับมารายงานแจ้งว่าที่คอของนางมีร่องรอยของการบีบรัดอย่างรุนแรง ฆาตกรไม่อาจเป็นใครได้นอกจากไท่จื่อ
ไท่จื่อยังคงตัวสั่นตอบรับ “เป็น เป็นฝีมือลูกเอง…”
ครั้นเงยหน้าเห็นใบหน้าถมึงทึงของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ไท่จื่อก็ลนลานรีบตอบ “เสด็จพ่อ เป็นเพราะนางผู้หญิงคนนั้นยั่วโมโหลูก ลูกถึงได้พลั้งมือพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โกรธจัดจนพูดไม่ออก
จนถึงบัดนี้ ความคิดชั่วร้ายของไท่จื่อแดงชัดออกมาเพียงนี้ เขาจึงไม่อาจเชื่อว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องบังเอิญอีกแล้ว
ไท่จื่อต้องการจะฆ่าเขา ประจวบเหมาะกับที่นางในคนนั้นรู้วิชาทำหุ่นไม้ปลุกเสก และบังเอิญยิ่งกว่านั้นอีกคือ เรื่องนี้มีนางในอีกคนรู้เข้า และนางในทั้งสองก็มาจากหมู่บ้านเดียวกัน
ไม่แน่ว่าในวังหลวงอาจจะยังมีคนร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับตั่วหมัวมัวก็เป็นได้ นางในคนนั้นถูกตั่วหมัวมัวยุยง และไท่จื่อก็ติดกับ…
จิ่งหมิงฮ่องเต้จับจ้องไปที่ไท่จื่อ ขบฟันกรอด
ไม่ว่าความคิดนี้จะเกิดขึ้นเองในหัวของไท่จื่อ หรือถูกใครยุยง เขาก็ให้อภัยไม่ได้ทั้งนั้น
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ไปหยุดอยู่ที่หุ่นไม้ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ก็แค่หุ่นรูปคนที่ทำจากไม้จะฆ่าคนให้ตายได้เลยหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงข้องใจ
หากเป็นหนอนพิษกู่ เขาคงเชื่อ เพราะมันชอนไชเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ และทำลายระบบในร่างกายโดยตรง
ข้อสงสัยนี้คงต้องหาคำตอบจากนางในที่เอาเรื่องนี้มาเปิดโปง
“พาตัวไท่จื่อออกไป”
ไท่จื่อเผยสีหน้าหวาดผวา “เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว เสด็จพ่อยกโทษให้ลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เบือนหน้าหนี
ไม่นานไท่จื่อก็ถูกพาตัวออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปทางพระชายาไท่จื่อ
นางคุกเข่าลง ซบหน้าผากลงถึงพื้น พลางกล่าวเสียงเรียบ “ลูกมีความผิด ลูกเป็นชายาของไท่จื่อ แต่มิอาจยับยั้งเรื่องทั้งหมด ไท่จื่อถึงได้พลาดพลั้งทำผิดมหันต์ หม่อมฉันน้อมรับบทลงโทษเฉกเช่นเดียวกับไท่จื่อ แต่ขอเสด็จพ่อโปรดไว้ชีวิตฉุนเกอเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ ปล่อยให้เขาได้เติบโตด้วยเถิดเพคะ…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็ไม่อาจควบคุมให้สงบนิ่งได้อีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น ไท่จื่อปรารถนาที่จะสังหารองค์จักรพรรดิ!
บุรุษโง่เขลาผู้นี้พาตัวเองไปพบกับหายนะก็ว่าแย่แล้ว ยังมิวายพาฉุนเกอเอ๋อร์เข้าไปติดอวนด้วย นางไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่ๆ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้พิศมองนางครู่หนึ่ง ถอนหายใจพลางกล่าว “พระชายาไท่จื่อ เจ้ากลับตงกงไปก่อนและดูแลฉุนเกอเอ๋อร์ให้ดี”
พระชายาไท่จื่อตัวสั่นระริก นางถวายความเคารพแล้วจึงออกไป
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
เวลาเคลื่อนไปก่อนที่ฮองเฮาจะถามขึ้นว่า “ฝ่าบาท ทำอย่างไรกับหุ่นไม้นี้ดีเพคะ”
“เรียกนางในคนนั้นมา”
หงอวี้มาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ส่งเสียง ฮองเฮาเป็นฝ่ายถาม “เจอหุ่นไม้นั่นแล้ว เจ้าทราบหรือไม่ว่าการจะลบคำสาปมิให้หุ่นไม้ใช้การได้อีกจะต้องทำเช่นไร”
หงอวี้ปราดตามองไปที่หุ่นไม้ก่อนจะก้มหน้า “ต้องลบอักขระที่จารึกวันเกิดออกก่อนเพคะ แล้วค่อยนำหุ่นไม้นั้นไปทำลายเพคะ”
ฮ่องเต้และฮองเฮาหันมาสบตากัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปส่งสายตาให้พานไห่
พานไห่เข้าใจโดยทันที เขาโบกมือ “พาตัวไป!”
หงอวี้ตกตะลึง “ฝ่าบาท…”
พานไห่เอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกลัวไป ยังมีบางเรื่องที่ต้องสอบถามจากเจ้า”
หงอวี้ถูกพาตัวไป
ทั้งสองพระองค์เงียบงันอยู่นาน
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใดกว่าฮองเฮาจะกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท พระชายาไท่จื่อและไท่ซุน…”
ในความคิดของนาง ไท่จื่อในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนตาย ไม่ว่าฝ่าบาทจะรักใคร่หวงแหนไท่จื่อเพียงใด แต่การกระทำชั่วร้ายอย่างการคิดคดก่อกบฏต่อกษัตริย์ผู้เป็นพระราชบิดาเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ฉะนั้นการปลิดชีพไท่จื่อก็นับว่าเป็นเรื่องดี
นางเสียดายก็แต่พระชายาไท่จื่อและไท่ซุน…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดูอิดโรยคล้ายกับว่าอายุเพิ่มพรวดขึ้นมาหลายปี เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร”