เจียงซื่อเอนหลังพิงกำแพงรถพลางเอ่ยถามเชิงทีเล่นทีจริง “เจ้าว่าความสัมพันธ์ของข้าและพระชายาฉีอ๋องเป็นอย่างไร”
อาหมานตอบด้วยท่าทีเบาสบาย “ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงเป็นคนดีมีจิตใจเมตตา หากได้อยู่กับคนที่ถูกชะตาอย่างท่านอาหญิงโต้วก็คงจะดี
แต่กับพระชายาฉีอ๋อง นางยังไม่เคยเห็นนายหญิงมีความสุขจริงๆ เลยสักครั้ง
“อื้ม ข้าก็คิดเหมือนกับเจ้า แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พระชายาฉีอ๋องถึงชวนข้าไปถวายธูป…”
อาหมานป้องปากพลางกระซิบ “นายหญิงเจ้าคะ พระชายาฉีอ๋องเป็นพวกทำดีหวังผล ในหัวของพระนางคงมีแผนการชั่วร้ายอยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ”
เจียงซื่อผงกศีรษะเห็นพ้อง “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
อาหมานกะพริบตาพลางถามด้วยความฉงน “นายหญิง แล้วเหตุใดนายหญิงถึงมาถวายธูปกับพระนางล่ะเจ้าคะ”
เจียงซื่อหัวเราะ “หากข้าไม่มาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านางวางแผนอะไร”
อาหมานได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “นายหญิงทำถูกต้อง พวกเรามาดูกันเถิดว่าพระนางวางแผนจะทำอะไร แล้วพวกเราค่อยกลับ!”
“ข้าก็ตั้งใจจะทำเช่นนั้น ดังนั้นเจ้าต้องมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นอย่าตื่นตระหนกเป็นอันขาด”
อาหมานพยักหน้า “วางใจได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะควบคุมสติให้ดี”
นางอยู่กับนายหญิงมานานหลายปี ทำอย่างกับนางไม่เคยพบเจอปัญหาอย่างนั้นแหละ
เจียงซื่อใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยกำชับ “เจ้าต้องรักษาชีวิตตัวเองให้รอด จำไว้ว่าข้าเตรียมการไว้พร้อมแล้ว ไม่มีทางตกหลุมพรางของนางอย่างแน่นอน”
อาหมานพยักหน้าแม้ไม่เข้าใจทั้งหมด “บ่าวรับทราบเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเฝ้ามองปฏิกิริยาของอาหมานและถอนหายใจในใจ
เมื่อชาติที่แล้วคนที่เสียชีวิตไปพร้อมกับนางก็คืออาหมาน นางจึงกลัวว่าหนนี้อาหมานจะตื่นตระหนกจนขาดสติ แต่ถึงอย่างไรในสายตาของนาง อาหมานก็เป็นบ่าวรับใช้ที่ดีที่สุด
เมื่อบ่าวรับใช้ยอมสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย ความบกพร่องทั้งหมดในตัวนางก็ไม่นับว่าเป็นความบกพร่องอีกต่อไป
นางดีใจที่ได้เห็นอาหมานไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาเช่นนี้
อาหมานนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนจะถามอย่างอดไม่ได้ “นายหญิงว่าพระชายาฉีอ๋องวางแผนจะทำเรื่องชั่วๆ อะไรหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อหัวเราะแผ่วเบา “ผู้ใดจะรู้ คงต้องรอให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นก่อน เราก็คอยดูต่อไปเถอะ”
อาหมานพยักหน้ารับและหันออกไปมองทิวทัศน์ด้านนอกอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาของนางจดจ่อไปที่รถม้าคันหน้า
รถม้าคันหน้าคือรถม้าจวนฉีอ๋อง คนที่นั่งอยู่ข้างในคือพระชายาฉีอ๋องและสาวรับใช้คนสนิท
อาหมานเอียงศีรษะพลางคิด ช่างปะไร หากพระชายาฉีอ๋องคิดจะทำร้ายนายหญิงจริง นางก็แค่ชิงลงมือกำจัดอีกฝ่ายไปก่อนก็สิ้นเรื่อง อย่างมากที่สุดก็แลกมาด้วยชีวิตของนาง แต่นางจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำร้ายนายหญิงเป็นอันขาด
ทันทีที่สาวรับใช้สังเกตเห็นคนขับรถม้าจวนเยี่ยนอ๋อง นางก็รีบลดม่านลงและหันไปรายงานเจียงซื่อ “นายหญิง คนรถวันนี้มิใช่เหล่าฉินเจ้าค่ะ!”
นางคุ้นเคยกับฝีมือของเหล่าฉินเป็นอย่างดี และรู้ว่าสามารถวางใจได้ แต่เมื่อเห็นว่าคนขับรถม้าในวันนี้ไม่ใช่เหล่าฉินจึงวิตกกังวลเล็กน้อย
ปฏิกิริยาของเจียงซื่อยังคงสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร ควรให้เหล่าฉินได้พักเสียบ้าง”
เหล่าฉินเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง หากเหล่าฉินมาด้วย พระชายาฉีอ๋องไม่มีโอกาสลงมือจะทำอย่างไร
อาหมานเบ้ปากพลางบ่นพึมพำ “นานๆ ทีนายหญิงจะออกมาข้างนอก เหล่าฉินก็พักอยู่ตลอดอยู่แล้ว”
แม้ปากของนางจะบ่นเพ้อเช่นนั้น ทว่านางมิได้เก็บมาใส่ใจ
ในมุมของนาง หากนายหญิงตัดสินใจแล้ว นางเชื่อว่านายหญิงมีเหตุผล การที่นางไม่เข้าใจในตอนนี้เป็นเพราะนางยังฉลาดไม่พอก็เท่านั้นเอง
ผ่านไปไม่นาน รถม้าก็แล่นออกจากเมืองหลวง หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนาน รถม้าก็หยุดลงในขณะที่ดวงอาทิตย์ลอยสูงเด่นอยู่กลางนภา
“นายหญิง ถึงวัดไป๋อวิ๋นแล้วเจ้าค่ะ” อาหมานกระโดดลงมาก่อน แล้วถึงจะพยุงเจียงซื่อลงจากรถม้า
เจียงซื่อเงยหน้ามองประตูวัด
หลังจากกลับมาเกิดใหม่ นี่คือครั้งที่สองที่นางมาเยือนวัดไป๋อวิ๋น
ครั้งก่อนนางมากับพี่ใหญ่ ซึ่งในตอนนั้นก็มีเรื่องระทึกขวัญเกิดขึ้นมากมาย และในครั้งนี้ก็คงมีเรื่องให้ตื่นเต้นไม่แพ้กัน…
เจียงซื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าไปหาพระชายาฉีอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้า
“น้องสะใภ้เจ็ด พวกเราเข้าไปข้างในกันเถิด”
พระจือเค่อที่ยืนรอท่าอยู่ที่หน้าประตูเห็นผู้มาเยือนทั้งสองก็รีบพนมมือทำความเคารพ “ขอเชิญผู้อุปถัมภ์ทั้งสองด้านใน”
เจียงซื่อเดินเข้าไปแล้วพบว่าในวัดไม่มีศาสนิกชนคนอื่น
พระชายาฉีอ๋องส่งยิ้มพลางอธิบาย “ข้าติดต่อที่วัดไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่มีคนคอยรบกวนน้องสะใภ้เจ็ด”
ใบหน้าของเจียงซื่อยังคงราบเรียบ “พี่สะใภ้เป็นห่วงหม่อมฉันเหลือเกิน อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้หรอกเพคะ พวกเรามาสวดภาวนาเพื่อเสด็จแม่ อย่าให้ต้องรบกวนคนหมู่มากเลยจะดีกว่า การที่วัดต้องต้อนรับพวกเราและต้องปฏิเสธเหล่าผู้แสวงบุญคนอื่นๆ หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก”
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการขับไล่ศาสนิกชนคนอื่นๆ ออกไปเพื่อที่จะสะดวกแก่การจัดการกับนาง แต่ถึงกระนั้นนางยังกล้าพูดเอาความดีเข้าตัว พระชายาฉีอ๋องคิดแผนการมาอย่างดี และหน้าของนางก็หนาเสียด้วย
พระชายาฉีอ๋องหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าเข้าใจว่าน้องสะใภ้เจ็ดชอบความสงบ คราวหน้าที่เรามาถวายธูป ข้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
เจียงซื่อมองพระชายาฉีอ๋องเหมือนจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านพี่สะใภ้สี่จะมาถวายธูปกับหม่อมฉันอีกหรือเพคะ”
เมื่อสบเข้ากับสายตาดำขลับลุ่มลึกของเจียงซื่อ ความเย็นเยือกก็ผุดขึ้นในใจพระชายาฉีอ๋อง
ขอเพียงแค่แผนการราบรื่น หลังจากวันนี้ พระชายาเยี่ยนอ๋องก็จะกลายเป็นซากศพ ซึ่งแน่นอนว่านางจะมากับคนตายได้อย่างไร
แต่คำถามของเจียงซื่อทำให้คนฟังขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล
“ท่านพี่สะใภ้สี่?” เจียงซื่อปั้นหน้าใสซื่อ ตั้งใจรอฟังคำตอบ
พระชายาฉีอ๋องพยายามซ่อนความรู้สึกเอาไว้พร้อมฝืนยิ้มจืดเจื่อน “ก็ต้องมาด้วยกันสิ”
ในใจพร่ำสวดภาวนา อมิตาภพุทธ ขอคุณพระคุณเจ้าอย่าได้ถือสาคำพูดของนางเลย…
เมื่อเห็นว่าพระชายาฉีอ๋องกำลังเก็บอาการสุดฤทธิ์ เจียงซื่อกลับยิ่งได้ใจ นางเดินตามพระจือเค่อเข้าไปจุดธูปไหว้พระในอุโบสถ
เมื่อเดินเข้าไปในโถงใหญ่แล้ว เจียงซื่อเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าพระพุทธรูป นางคุกเข่าลงบนฟูกกลม และสวดภาวนาด้วยความตั้งใจ
นางมิได้ภาวนาอ้อนวอนเพื่อเสียนเฟย แต่นางกำลังทำเพื่ออวี้จิ่นที่กำลังเดินทางไกล
นางอธิษฐานขอให้เขากลับมาอย่างปลอดภัยในเร็ววัน และนำร่างพี่ชายของนางกลับมาด้วย ดวงวิญญาณของเขาจะได้พักสงบเสียที
พระชายาฉีอ๋องแสดงความศรัทธาไม่ต่างกัน สิ่งที่นางขอมิได้เกี่ยวข้องกับเสียนเฟย นางรำพึงรำพันในใจ ขอพระพุทธองค์โปรดช่วยดลบันดาลให้ความปรารถนาของท่านอ๋องเป็นจริง ช่วยให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของลูกและท่านอ๋องรักใคร่กลมเกลียว และได้อยู่ครองคู่กันจนแก่จนเฒ่าด้วยเถิด…
พระชายาฉีอ๋องไม่กล้าขอพระอวยพรเรื่องแผนการทำร้ายเจียงซื่อ
เพราะถึงอย่างไรการฆ่าคนก็เป็นบาป พระพุทธองค์ไม่มีทางอวยพร ซึ่งในจุดนี้พระชายาฉีอ๋องเองก็ทราบดี
เมื่อถวายธูปแล้วโดยปกติศาสนิกชนจะถวายเงินปัจจัยตามกำลังศรัทธา
พระชายาฉีอ๋องชำเลืองมองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อแสร้งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ต้องถวายเงินปัจจัยด้วยใช่ไหมเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องประหลาดใจก่อนจะพยักหน้า
ก็ทราบอยู่แล้วยังต้องถามอีกหรือ
ที่นางชำเลืองมองไปที่เจียงซื่อเมื่อครู่เพราะกำลังลังเลว่าเจียงซื่อจะบริจาคเงินปัจจัยเป็นจำนวนเท่าไหร่
หากสองคนบริจาคในจำนวนไล่เลี่ยกันก็เป็นเรื่องดี หรือต่อให้เจียงซื่อบริจาคมากกว่านางเล็กน้อยก็มิใช่ปัญหาใหญ่ แต่หากจำนวนเงินแตกต่างกันมาก เกรงว่าอาจทำให้นางดูไม่ดี
เมื่อคิดตกเช่นนี้ พระชายาฉีอ๋องจึงตัดสินใจจะถวายก่อนเจียงซื่อ
เมื่อนางบริจาคไปก่อน สะใภ้เจียงก็ควรรู้ธรรมเนียมว่ายอดเงินที่ตัวเองจะต้องบริจาคไม่ควรมากไปกว่านาง หรือหากสุดท้าย นางทำเช่นนั้นจริง คนอื่นๆ ก็จะมองว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย
ความคิดผุดขึ้นในสมองพระชายาฉีอ๋องไม่ทันไร นางก็ได้ยินเสียงเจียงซื่อถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ข้าคิดว่าสมัยนี้จะไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วเสียอีก อาหมาน...”
อาหมานตอบรับในทันที นางหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา “พระอาจารย์ นี่คือปัจจัยที่พระชายานำมาบริจาคเจ้าค่ะ”
มันคือตั๋วเงินของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตั๋วเงินใบละสิบตำลึงมัดรวมเป็นปึกหนา จากความหนาของตั๋วเงินน่าจะมีมูลค่ารวมเกินกว่าพันตำลึง
พระชายาฉีอ๋องจดจ้องไปที่ปึกเงินในมือของสาวรับใช้ด้วยอาการหูอื้อตาลาย