สีหน้าขององครักษ์จวนฉีอ๋องทั้งสองเปลี่ยนไปโดยพลัน ทั้งคู่วิ่งฉิวไปยังทิศทางที่เจียงซื่อชี้ไป
องครักษ์จวนเยี่ยนอ๋องเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งตามไป
อาหมานยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าเอวพลางร้องตะโกน “เจ้าโง่ทั้งสอง ยังไม่มาดูแลพระชายาอีก!”
จะตามไปดูทำไม ในเมื่อม้าพยศเป็นฝีมือของพระชายาฉีอ๋อง ให้นางตายๆ ไปก็ถูกต้องแล้ว
ส่วนนายหญิงก็คิดอะไรอยู่ไม่รู้ ในจวนมีองครักษ์เก่งกาจฉลาดปราดเปรื่องตั้งมากตั้งมาย ดันเลือกคนสมองทึบมาเสียอย่างนั้น หากเทียบกับหลงต้านแล้ว สองคนนี้รวมกันยังสู้ไม่ได้
เจียงซื่อมองไปที่อาหมานโดยที่ไม่ทราบเลยว่าสาวรับใช้กำลังคิดอะไร แต่แล้วจู่ๆ นางก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ที่นางเลือกองครักษ์ที่ทึ่มทื่อสักหน่อยเพื่อจะได้ไม่ขวางทางพระชายาฉีอ๋อง
องครักษ์ทั้งสองที่ได้ยินอาหมานเอ็ดดังนั้นก็ชะงักฝีเท้าทันใด
เจียงซื่อเผยท่าทีตื่นตระหนก พลางออกปากเร่งเร้า “พวกเจ้ารีบไปช่วยเร็วเข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าองครักษ์วิ่งห่างไปไกลแล้ว อาหมานก็บุ้ยปากไม่พอใจ “นายหญิง…”
เจียงซื่อเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราก็ไปดูกันเถอะ”
“นายหญิง ชุดของนายหญิงขาดวิ่นหมดเลยเจ้าค่ะ…”
เนื่องจากเจียงซื่อถอดชุดคลุมขนจิ้งจอกหิมะไว้บนรถม้า นางในขณะนี้จึงสวมเพียงชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เจียงซื่อก้มสำรวจอาภรณ์ของตัวเองแล้วพบว่าขาดจริง หนำซ้ำยังเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและทราย
“อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้ ไปดูกันก่อนเถอะ” เจียงซื่อก้าวเท้าเดินไปโดยมิได้ใส่ใจคำท้วงติงของอาหมาน
เมื่อเริ่มขยับตัว นางถึงได้รู้ว่าที่ขามีอาการเจ็บระบมซึ่งคาดว่าเกิดจากการกระโดดลงจากรถม้าเมื่อครู่
การเคลื่อนไหวของเจียงซื่อเชื่องช้าจนทำให้อาหมานตกใจ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปทันที “นายหญิง บาดเจ็บหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อทำหน้าจริงจัง “อย่าพูดมากหน่า เดินไปเถอะ”
เมื่อเห็นเจ้านายแสดงสีหน้าเคร่งขรึม อาหมานก็ไม่กล้าเอ่ยต่อ นางก้าวเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว นางก็จับเจียงซื่อขึ้นหลังและออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว
เจียงซื่อที่เกาะอยู่บนหลังอาหมานชะงักไปชั่วครู่ “อาหมาน เจ้า…”
หญิงรับใช้สับเท้าไวว่อง แต่ใบหน้าของนางก็ยังไม่เป็นสีแดง และไม่มีอาการหอบถี่ นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “นายหญิงวางใจได้เจ้าค่ะ”
ไม่เสียแรงที่กินหมั่นโถวมื้อละสองลูก
ครั้นหวนคิดถึงอาเฉี่ยวที่มักจะหยอกเย้าที่นางกินเยอะ อาหมานก็รู้สึกขันขึ้นมาทันที
ถ้ากินน้อยก็ไม่มีแรง แล้วช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานจะแบกหน้าหญิงหนีทันได้อย่างไร นายหญิงจะทำภารกิจใหญ่ทีไร เป็นต้องพานางมาด้วยทุกที เหตุใดพวกนางถึงคิดไม่ได้
อาหมานนึกภูมิใจในตัวเอง ในขณะที่เท้ายังไม่ลดความเร็ว ไม่นานก็วิ่งไปถึงที่ที่เหล่าองครักษ์ยืนอยู่
ในขณะนั้นทุกคนมาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าผา
เจียงซื่อเฝ้ามององครักษ์จวนฉีอ๋องที่กำลังช่วยกันดึงพระชายาฉีอ๋องขึ้นมาด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ
ขณะที่นางกำลังตามมา นางก็คาดเอาไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
เมื่อชาติที่แล้วนางก็มิได้ตกลงไปในหน้าผาตั้งแต่ทีแรก กิ่งไม้นั้นยังคงเติบโตงอกงามอยู่ที่เก่า
สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ คนที่วิ่งมาถึงหน้าผาเป็นคนแรกในชาติที่แล้วคือพระชายาฉีอ๋อง จุดจบที่รอนางอยู่เบื้องหน้าจึงมีเพียงความตาย แต่ในวันนี้คนที่วิ่งมาถึงหน้าผาเป็นกลุ่มแรกคือองครักษ์จวนฉีอ๋อง นางจึงถูกช่วยขึ้นมาได้สำเร็จ
นางรู้สึกผิดหวังหรือไม่
เจียงซื่อไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่กลับเป็นความสงบนิ่ง นางมองพระชายาฉีอ๋องที่สลบอยู่ในอ้อมแขนขององครักษ์แล้วรู้สึกเวทนา
ในตอนนี้ การมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย หากนางโชคดีพอที่จะยังมีชีวิตรอด ในไม่ช้านางก็จะเข้าใจคำกล่าวนี้
“พระชายาฉีอ๋องเป็นเช่นไรบ้าง” เจียงซื่อส่งสัญญาณให้อาหมานวางนางลงก่อนจะเดินเข้าไปหาช้าๆ
องครักษ์ที่อุ้มพระชายาฉีอ๋องไว้ในอ้อมแขนมองไปที่รอยแผลข่วนลึกทั้งสองรอยบนแก้มขวาของพระชายาฉีอ๋องด้วยใบหน้าพรั่นพรึง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น “พระชายา พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”
บ่าวรับใช้ของพระชายาฉีอ๋องวิ่งตามมาทีหลัง ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า นางก็ยกมือขึ้นอุดปากทันใด สายตาจดจ้องไปที่ใบหน้าของผู้เป็นนาย
พระพักตร์ของพระชายา…
เจียงซื่อยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเองเบาๆ และพบว่ายังคงเนียนละเอียดเหมือนเก่า
นางจำได้ว่าเมื่อชาติที่แล้วในขณะที่ร่างของนางห้อยร่องแร่งอยู่ที่หน้าผา นางก็รู้สึกเจ็บแสบที่ข้างแก้ม นางในตอนนั้นคงกระแทกเข้ากับขอบหินแหลมเหมือนพระชายาฉีอ๋องในตอนนี้
แต่ทว่านางในตอนนั้นมิได้ติดอยู่กับความรู้สึกเจ็บปวด นางขอแค่ได้มีชีวิตรอดก็เท่านั้น
“พระชายา พระชายาฟื้นเถิดเพคะ!” หญิงรับใช้กล่าวร้องสุดเสียง
พระชายาฉีอ๋องยังคงนอนนิ่งในอ้อมแขนองครักษ์
ผอจื่ออีกสี่คนเพิ่งวิ่งตามมาถึง เมื่อเห็นสภาพของเจ้านายก็ส่งเสียงเอ็ดอึง
“เงียบให้หมด” เจียงซื่อแผดเสียงเย็นชา
สรรพสิ่งนิ่งค้างกลางอากาศ ทุกสายตามองมาที่นาง
เจียงซื่อก้าวมาด้านหน้าพร้อมกับอาหมาน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “เหตุการณ์ม้าพยศยากที่จะพูดว่าเป็นฝีมือคนหรืออุบัติเหตุ ขอให้หมัวมัวทั้งสองสลับกันแบกพระชายาฉีอ๋องกลับไปยังถนน และให้องครักษ์จวนละหนึ่งคนเฝ้ายามอยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือก็กลับไปกลับพวกข้า นอกจากนี้…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็เว้นวรรคชั่วครู่ นางหันไปหาคนขับรถที่ยืนตัวแข็งทื่อห่างออกไปไม่ไกล “คุมตัวเขาไปส่งที่ศาลาว่าการพระนคร!”
คนขับรถม้าตกตะลึง
เขาไม่เข้าใจความคิดของพระชายาเยี่ยนอ๋องเลยสักนิด ต่อให้เขามีความผิด แต่เหตุไฉนถึงส่งตัวเขาไปที่ศาลาว่าการพระนคร
แม้คำสั่งของเจียงซื่อจะลั่นออกไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นองครักษ์จวนฉีอ๋องยังคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม มีเพียงองครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋องสองนายที่พุ่งปราดเข้าไปหาคนขับรถม้าด้วยท่าทีแข็งกร้าว
พวกเขาเข้าใจแล้ว อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพระชายาในวันนี้อาจจะเป็นฝีมือของคนรถก็เป็นได้!
โชคดีที่เป็นพระชายาฉีอ๋อง หากคนที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นคือพระชายาของพวกเขา ท่านอ๋องกลับมาจากทางใต้เมื่อไหร่ พวกเขาก็เตรียมตัวถูกถลกหนังได้เลย
คนรถคล้ายกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เขากลับหลังหันแล้ววิ่งหนี
“อย่าคิดว่าจะหนี!” อาหมานที่เตรียมตัวพร้อมขว้างก้อนหินใส่ศีรษะของคนขับรถ
คนขับรถตาเหลือกก่อนจะล้มพับลงไปกอง
อาหมานกระโดดเด้งดีใจ “หึ้ย เข้าเป้า!”
นางรู้ดีว่าองครักษ์เอื่อยเฉื่อยสองคนนี้ไว้ใจไม่ได้ ยังคงเป็นอาหมานของนางที่รู้งาน
องครักษ์นายหนึ่งค้อมเอวก้มลงไปดูว่าคนรถยังหายใจอยู่หรือไม่
อาหมานเห็นรูปการณ์เช่นนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง นางหันขวับไปหาเจียงซื่อพลางบอก “เหนียงเหนียง บ่าวคงไม่ได้ขว้างหินจนทำคนตายหรอกใช่ไหมเพคะ”
แต่ในเมื่อนายหญิงบอกว่าเป็นฝีมือของคนรถ ถ้านางขว้างหินแล้วเขาตายก็คงไม่เป็นไร!
“ยังไม่ตายพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ตะโกนบอก
อาหมานเผยสีหน้าตื่นเต้นเพียงชั่วแวบเดียวก่อนจะดึงหน้าเคร่งขรึมดังเดิม “ยังไม่ตายแล้วทำไมไม่รีบพาตัวไปเล่า ไม่ได้ยินที่พระชายาตรัสสั่งหรืออย่างไร เอาตัวไปส่งที่ศาลาว่าการพระนคร”
สาวรับใช้เอ่ยจบแล้วก็แบกเจียงซื่อขึ้นหลังพลางถาม “เหนียงเหนียง พวกเราจะกลับจวนดีหรือไปที่ศาลาว่าการพระนครดีเพคะ”
เจียงซื่อมองไปที่พระชายาฉีอ๋องที่อาการหนักสาหัสก่อนจะตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ให้คนหนึ่งไปที่ศาลาว่าการพระนครแล้วแจ้งความกับใต้เท้าเจิน”
“เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนนะเพคะ…”
“ไม่ ไปที่วังหลวง”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ทั้งหมดก็ชะงักนิ่งไปโดยเฉพาะบ่าวรับใช้จากจวนฉีอ๋อง ทั้งบรรดาผอจื่อและเหล่าองครักษ์
ทว่าเจียงซื่อไม่ได้ใส่ใจ นางเอ่ยเสียงขรึม “พระชายาฉีอ๋องต้องได้รับการรักษา พวกเจ้าอย่ารีรออยู่อีกเลย รีบไปเถิด”
ในเมื่อพระชายาฉีอ๋องยังไม่ตาย นางก็มีของกำนัลชิ้นใหญ่จะมอบให้
คราวนี้จะแจ้งความที่ศาลาว่าการพระนครอย่างเดียวคงมิได้ นางจะต้องไปกราบทูลเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทรงทราบ
องครักษ์จากจวนเยี่ยนอ๋องคนหนึ่งและองครักษ์จากจวนฉีอ๋องอีกคนหนึ่งอยู่เฝ้ายามในที่เกิดเหตุ ส่วนคนอื่นๆ ก็ตามกลับไปที่เมืองหลวง
ฝ่ายเจียงซื่อไม่รอช้า นางตรงไปที่วังหลวงทันที
……
ฉีอ๋องที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องตำราได้ทราบข่าวจากผอจื่อนางหนึ่ง
“ท่านอ๋อง แย่แล้วเพคะ เกิดเรื่องกับพระชายาแล้วเพคะ!”