ความรู้สึกขลาดกลัว หวาดหวั่น และตื่นตระหนก…ท่วมท้นอย่างไม่มีสาเหตุทันทีที่เห็นหน้าฉีอ๋อง ดวงตาของพระชายาฉีอ๋องแดงก่ำ นางอ้าปากขานเรียก “ท่านอ๋อง…”
ฉีอ๋องไม่มีท่าทีสงสารปรากฏให้เห็น
หากนางตรงหน้างามโสภา เขาคงจะใจอ่อน แต่เพราะเดิมทีหลี่ซื่อก็เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดา เมื่อมีรอยแผลขนาดใหญ่น่าพรั่นพรึงปรากฏอยู่บนหน้ายิ่งทำนางแลดูน่าเกลียดน่ากลัว หากฉีอ๋องจะรู้สึกสงสารก็แปลกเต็มที
“ออกไปก่อน” ฉีอ๋องหันไปกล่าวแก่บ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้คุกเข่า ก้มศีรษะแล้วจึงเดินออกไปพร้อมปิดประตู
ในขณะนั้น ทั้งห้องเหลือเพียงสองสามีภรรยา
พระชายาฉีอ๋องที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญมาหมาดๆ ไม่ทันสังเกตความเฉยเมยในสายตาของผู้เป็นสามี นางปล่อยถ้อยคำพรั่งพรู “ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าจะไม่ได้พบหน้าท่านอ๋องแล้วเสียอีก…”
วินาทีที่ร่างของนางห้อยร่องแร่งอยู่ที่ขอบหน้าผา นางรู้สึกอยากจะย้อนเวลากลับไปเริ่มใหม่
สายลมหนาวเหน็บหวีดหวิวอยู่ข้างหู มันพัดโชยร่างของนางให้แกว่งไหวไปมา นางพร้อมจะหล่นลงไปทุกชั่วขณะ ความกลัวเอ่อล้นแทบขาดใจ ในวินาทีนั้นนางสำนึกผิดแล้ว
ท่านอ๋องไม่ได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แล้วจะอย่างไร นางไม่ได้เป็นฮองเฮาแล้วถึงตายหรืออย่างไร
การเป็นพระชายาอ๋องไปวันๆ แต่สามารถใช้ชีวิตตามแต่ใจนึกอย่างพระชายาเยี่ยนอ๋องและพระชายาหลู่อ๋องยังดีเสียกว่า นางไม่ต้องส่งหญิงอื่นขึ้นเตียงท่านอ๋องคนแล้วคนเล่าอย่างเช่นที่ผ่านมา และนางจะได้ซื้อเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกหิมะตามความต้องการของตัวเอง
หลายปีที่ผ่านมานี้ นางมัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับเป้าหมายที่อยู่ไกลแสนไกล นางต้องจ่ายราคาตั้งเท่าไหร่ อีกทั้งยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนให้คนเหยียบย่ำมาแล้วกี่หน
ในวินาทีที่ชีวิตคั่นอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย นางถึงได้เข้าใจว่า นางควรจะละทิ้งความโลภโมโทสันทั้งปวง และเปรมปรีดิ์กับลมหายใจที่นางมี
ในชีวิตที่ผ่านมา พระชายาฉีอ๋องไม่เคยคิดถึงชีวิตอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ นางเพิ่งจะสำนึกได้ว่า สถานะของนางในตอนนี้ถือว่าดีมากแล้ว เพราะเป็นสถานะที่สตรีไม่น้อยต่างฝันถึง
ฉีอ๋องนิ่งเงียบเนิ่นนานจนทำให้พระชายาฉีอ๋องเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
“ท่านอ๋อง…”
ฉีอ๋องหันไปมองแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องของเจ้าถูกเปิดโปงหมดแล้ว”
“เรื่องของหม่อมฉัน?”
“เรื่องที่เจ้าทำบางอย่างกับรถม้าเพื่อปองร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋อง”
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในทันที “ท่านอ๋องกำลังตรัสเรื่องอะไรหรือเพคะ”
“เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว หลี่ซื่อ ต่อไปนี้เจ้าต้องอยู่แต่ในเรือนโยวเจี้ยน ไม่มีสิทธิ์ได้พบหน้าใครอีกแล้ว” ฉีอ๋องไม่อยากอยู่ในเรือนที่ไม่มีแม้กระทั่งที่ทำความร้อนนานๆ ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันหลังกลับไป
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง…” พระชายาฉีอ๋องรีบตามไปโดยไม่ได้สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายของตัวเอง นางจับแขนเสื้อของฉีอ๋องไว้แน่น “พูดมาให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉีอ๋องหันหลังกลับมาหานาง และอธิบายเรื่องทั้งหมดโดยสรุป ต่อหน้าพระชายาที่กำลังหวาดกลัว ท่าทางของชายหนุ่มกลับเย็นชา “ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ เจ้าคงไม่มีทางได้กลับตัวอีกแล้ว ทำตัวให้มันดีๆ อย่าได้สร้างปัญหาอีกเลย”
ในขณะที่พระชายาฉีอ๋องจ้องมองชายหนุ่มผู้แสนเย็นชา นางรู้สึกเหมือนกับว่าร่างของนางถูกโยนทิ้งลงมาจากฟากฟ้า “ท่านอ๋อง นี่หม่อมฉันกำลังฝันอยู่หรือเพคะ”
“เจ้าส่องกระจกดูเอาเถิด แล้วจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ฝันไป” ฉีอ๋องเอ่ยเนิบนาบ
ฉีอ๋องกลับรู้สึกโกรธผู้เป็นภรรยา
เขาไม่เคยเห็นสตรีคนไหนโง่เง่าตกหลุมพรางที่ตนเองเป็นคนสร้าง มิหนำซ้ำยังเกือบลากเขาไปติดร่างแหด้วย
เมื่อพระชายาฉีอ๋องได้ยินเช่นนั้น นางก็รีบหันซ้ายหันขวาก่อนจะถลาตัวไปหาโต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่ในมุมห้อง
ทันทีที่นางเห็นเงาสะท้อนใบหน้าอัปลักษณ์ในกระจกหลิงฮวา หญิงสาวก็กรีดร้องเสียงหลง “ไม่ ไม่…”
เมื่อเห็นชายาของตัวเองแผดเสียงคลุ้มคลั่ง ฉีอ๋องยิ่งหมดความอดทน ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับออกไป
เขาเอื้อมมือไปดึงประตู แต่กลับถูกพระชายารั้งตัวเอาไว้
“ท่านอ๋อง ท่านทราบดี ท่านทราบดีว่าทุกสิ่งที่หม่อมฉันทำ ก็เพื่อตัวท่านเอง!”
ฉีอ๋องเงียบงัน
พระชายาฉีอ๋องยิ่งสิ้นหวัง นางกู่ร้องโดยไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว “ความจริงหม่อมฉันไม่มีความคิดที่จะทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่เสด็จแม่เป็นคนสั่งให้หม่อมฉันทำ…”
“หุบปาก!” ฉีอ๋องหันกลับมาตวาดหญิงสาว
พระชายาฉีอ๋องเงียบกริบ สายตาของผู้เป็นสามีดุดันประหนึ่งว่าจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้นๆ
“หลี่ซื่อ มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังลากเสด็จแม่เข้ามาด้วย เจ้าคิดจะทำอะไร”
พระชายาฉีอ๋องส่ายหัว “ท่านอ๋อง ท่านทราบดีว่าเสด็จแม่สั่งให้หม่อมฉันทำ…”
ฉีอ๋องเย้ยหยัน “หลี่ซื่อ เจ้าคิดให้ดี ต่อให้นี่จะเป็นคำสั่งของเสด็จแม่แล้วจะอย่างไร เจ้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อนำตัวเสด็จแม่ไปขังอย่างนั้นหรือ”
พระชายาฉีอ๋องนิ่งค้าง สติของนางไม่อยู่กับตัวอีกแล้ว
มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย นางไม่ต้องการให้เสด็จแม่ถูกลงโทษ แต่เพราะอะไรท่านอ๋องถึงได้ปฏิบัติกับนางเช่นนี้
“เอาเถอะ เจ้าก็ใช้ชีวิตสุขสงบอยู่ที่นี่เสียเถิด อาหารการกินของเจ้า ข้าจะสั่งให้คนดูแลอย่างดี…”
พระชายาฉีอ๋องไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป นางแผดเสียงดังลั่น “ท่านอ๋อง หม่อมฉันทำเพื่อท่านมาตั้งหลายปี แต่นี่หรือคือสิ่งที่ท่านตอบแทนหม่อมฉัน”
ฉีอ๋องขมวดคิ้วและกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หลี่ซื่อ การที่เจ้าถูกกักบริเวณเช่นนี้เป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
พระชายาฉีอ๋องสั่นหัว “ต้องไม่ใช่แบบนี้ ต้องไม่ใช่แบบนี้…”
ฉีอ๋องเสียดเย้ยอย่างอดไม่ได้ “เจ้าจะโวยวายอะไร เจ้าจะให้ข้าขัดคำสั่งของเสด็จพ่อ แล้วปล่อยให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งนายหญิงของจวนฉีอ๋องต่อไปงั้นหรือ”
พระชายาฉีอ๋องน้ำตาไหลพราก นางหัวเราะด้วยความสมเพช “ท่านอ๋องไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย เรื่องที่หม่อมฉันพ่ายแพ้ให้กับพระชายาเยี่ยนอ๋อง หม่อมฉันยอมรับได้ เรื่องที่ถูกเปิดโปงจนถูกเสด็จพ่อสั่งกักบริเวณ หม่อมฉันก็ยอมรับได้ เพียงแต่ท่านควรจะทำดีกับหม่อมฉันสักหน่อยไหมเพคะ พูดกับหม่อมฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสักหน่อยก็ยังดี…”
นางร้องไห้อย่างขมขื่น ภาพของชายตรงหน้ามัวซัวเนื่องจากม่านน้ำตาบดบัง แม้นางทั้งสิ้นหวังและปวดร้าว แต่ส่วนลึกในใจยังคงกอบกุมความหวังอันริบหรี่เอาไว้
กอดนางสักครั้ง ปลอบใจนางสักคำ ต่อให้หลังจากวันนี้นางจะไม่มีตัวตนในสายตาของเขา นางก็จะทำใจยอมรับให้ได้
แต่แล้วความหวังก็ดับสูญโดยสมบูรณ์
คำตัดพ้อของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มเย็นชามากกว่าเก่า “หลี่ซื่อ เจ้าไม่ต้องพูดแล้วว่าเจ้าทำเพื่อข้า เจ้าทำเพื่อมงกุฎหงส์มิใช่หรือ”
พระชายาฉีอ๋องชะงักงัน ใบหน้าของนางซีดเซียวขาดเลือด
ฉีอ๋องจ้องหน้านางอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “เจ้าเลิกโวยวายเสียเถิด นอกจากบ่าวรับใช้สองสามคนนี้ จะไม่มีใครมาเหยียบที่เรือนโยวเจี้ยนอีก หรือต่อให้เจ้าพูดจาเลอะเทอะ เรื่องนั้นก็จะไม่มีทางเล็ดลอดออกไปอย่างแน่นอน อยู่อย่างสงบ ชีวิตเจ้าอาจจะยืนยาวพอที่จะได้เห็นย่วนเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือนก็เป็นได้”
ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที นางเอ่ยเสียงหลง “ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้เอาย่วนเจี่ยเอ๋อร์มาข่มขู่ข้านะ”
น้ำเสียงของฉีอ๋องยังคงเย็นชา “ข้าไม่ได้เอาย่วนเจี่ยเอ๋อร์มาขู่เจ้า ข้าแค่เตือนสติเจ้าเท่านั้น เจ้าก็ลองคิดดูก็แล้วกัน เพราะต่อให้เจ้าก่อเรื่องก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไร ข้าไปล่ะ อีกหน่อยหากไม่มีเรื่องจำเป็น ข้าก็จะไม่มาเหยียบที่นี่อีก”
ครั้นฉีอ๋องกล่าวจบ เขาก็แกะมือพระชายาฉีอ๋องออก หันไปดึงประตูแล้วเดินออกไป
เสียงปิดประตูดึงสติของนางกลับมา นางวิ่งเข้าไปดึงประตูบานนั้น แต่กลับพบว่าประตูถูกลงกลอนจากด้านนอก
“เปิดประตู เปิดประตู…”
ฉีอ๋องที่เดินออกไปถึงลานหน้าเรือนยังคงได้ยินเสียงร้องเรียกแทบขาดใจ แต่เขาไม่ได้หันหลังกลับ ฝีเท้ายังคงความเร็วเท่าเดิม
……
เรื่องม้าพยศระหว่างทางกลับมาจากถวายธูปของพระชายาฉีอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
ว่าอย่างไรนะ พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่เป็นอะไรเลย แต่พระชายาฉีอ๋องที่เกือบตกลงไปในหน้าผากลายเป็นคนวิกลจริตอย่างนั้นหรือ
โดยสารอยู่ในรถม้าคันเดียวกันแท้ๆ แต่เหตุใดถึงได้ต่างกันถึงเพียงนี้
เมื่อผู้คนทราบจำนวนเงินถวายปัจจัยที่พระชายาทั้งสองบริจาค รายได้ของวัดไป๋อวิ๋นก็พุ่งทะลุเพดานหลายเท่า