ผู้อาวุโสฮวาชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะรีบตอบ “อาฮวาอยู่ในที่ๆ ปลอดภัย พระชายามิต้องกังวล”
เจียงซื่อส่งยิ้ม นางเข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสฮวากำลังจะสื่อ
ตอนนี้เจียงซื่อรู้แล้วว่ายายหลานสองคนนี้หนีรอดมาจากปฏิบัติการค้นหาของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินได้อย่างไร
เพราะนางมีวิชาแปลงกาย หลังจากผู้อาวุโสฮวาและหลานสาวหลุดออกมาจากที่คุมขัง ทั้งคู่ก็ไม่ต่างอะไรจากปลาที่ว่ายเข้าไปในมหาสมุทร การจะหาตัวพวกนางจึงกลายเป็นงานยากยิ่ง
ยิ่งรถม้าวิ่งห่างจากเมืองหลวงไปไกลขึ้น จำนวนรถม้าที่สัญจรสวนมาก็น้อยลงอย่างถนัดตา
เริ่มเข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว ฉะนั้นคนที่ออกไปทำงานอยู่ต่างแดนจึงทยอยเดินทางกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ส่วนคนที่เตรียมจะออกไปทำงานก็เลื่อนแผนการเดินทางออกไปเป็นหลังปีใหม่
วันฉลองขึ้นศักราชใหม่เป็นวันที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
เจียงซื่อในขณะนี้ก็ตั้งตารอจะได้เห็นหน้าผู้เป็นพี่ชาย เฝ้ารอวันที่จะได้พบกับอวี้จิ่น ครอบครัวจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
การเดินทางลงใต้ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่แล้วพายุหิมะก็ถาโถมเข้ามา
ลมหนาวโหมกระหน่ำประกอบกับกองหิมะที่สุมตัวหนาเกาะพื้นถนน ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก ความเร็วของรถลดลงวันต่อวัน
หลงต้านเดินมาข้างรถม้าและเคาะตัวรถ “นายหญิง หากเดินทางต่อไปเกรงว่าม้าจะไปต่อไม่ไหวขอรับ ผู้น้อยเห็นว่าข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม พวกเราหยุดพักที่นี่กันสักครู่ รับประทานอาหารรอให้พายุหิมะสงบลงก่อนค่อยเดินทางต่อดีไหมขอรับ”
ไม่นานนักเสียงของเจียงซื่อก็ดังขึ้นจากด้านใน “ได้”
รถม้าเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อมาถึงที่หน้าโรงเตี๊ยมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสถานที่แห่งนั้นคือวัดร้าง
วัดร้างแห่งนี้กว้างกว่าวัดซานสื่อที่ชานเมืองมาก และไม่ได้ซอมซ่อคร่ำคร่าเช่นวัดนั้น
เจียงซื่อลงจากรถม้า นางกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วจึงก้าวเข้าไป
คณะเดินทางครั้งนี้มีกันทั้งหมดสี่คน ซึ่งได้แก่เจียงซื่อ ผู้อาวุโสฮวา หลงต้าน และเหล่าฉินผู้เป็นสารถี
หลงต้านตรวจตราพื้นที่ด้านในก่อนจะเลือกที่ที่เหมาะสม เขาจัดวางเก้าอี้ตัวน้อยที่เตรียมมา และเชิญให้เจียงซื่อและผู้อาวุโสฮวานั่งคอย ส่วนตัวเองไปเก็บเศษไม้แห้งจากภายในวัดมากองรวมกันเพื่อก่อกองไฟ
ด้านนอกพายุหิมะยังไม่มีทีท่าจะเบาลง ในวัดมีเพียงเรียวแสงส่องสลัว ทันทีที่กองไฟถูกจุดติด ด้านในก็สว่างโร่
หลงต้านส่งยิ้มพลางบอก “ดูแล้วที่วัดร้างแห่งนี้คงเป็นที่กำบังพายุหิมะให้ผู้คนมากมาย เพราะยังมีไม้แห้งเหลืออยู่อีกมากเลยขอรับ”
“ดูเหมือนว่าหมู่นี้ข้าจะดวงสมพงศ์กับวัดร้างอย่างไรชอบกล” เจียงซื่อชำเลืองไปที่ผู้อาวุโสฮวา คลี่ยิ้มพลางเอ่ย
ผู้อาวุโสฮวาส่งยิ้มกลับมาแต่ไม่ได้เกริ่นกล่าว
เหล่าฉินยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูพร้อมเงยหน้ามองฟ้า
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งขนห่านเกลื่อนกลนอยู่ทั่วฟ้าที่ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน
เหล่าฉินหันกลับมาพูดกับคนที่อยู่ในวัด “หิมะดูจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เลยขอรับ คาดว่าคงจะเดินทางต่อไม่ได้อีกสักพักขอรับ”
หลงต้านขมวดคิ้วมองเจียงซื่อ
สำหรับพวกเขาที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสมรภูมิรบมานานแรมปี ไม่ต้องพูดถึงการหลบลมหลบฝนในวัดร้าง เพราะต่อให้นอนเขลงอยู่กลางถิ่นทุรกันดารก็ยังไม่เป็นอะไร แต่ร่างกายอันสูงค่าของพระชายาจะมาอยู่ที่นี่คงไม่เหมาะนัก
ใบหน้าของเจียงซื่อยังคงนิ่งเรียบพร้อมเอ่ย “ถ้ายังไปไม่ได้ก็พักที่นี่ไปก่อน หากสุดท้ายเดินทางไม่ได้จริงๆ ก็ค้างที่นี่สักคืน”
แน่นอนว่าหากที่พักแรมยิ่งสบายก็ยิ่งดี แต่เมื่อออกมาอยู่ข้างนอก เรียบง่ายเข้าไว้จะดีกว่า
เมื่อเจียงซื่อกล่าวเช่นนั้น หลงต้านก็ไม่มีอะไรจะพูด เขาหอบหิ้วหม้อใบหนึ่งมาแขวนไว้บนกองไฟ แล้วจึงเทข้าวสารใส่ลงไปสำหรับต้มข้าวต้ม
เหล่าฉินจับกระต่ายป่าตัวหนึ่งมาเสียบไม้ย่างบนกองไฟ
กระต่ายป่าตัวนั้นกระโดดผ่านมาขณะที่เหล่าฉินกำลังบังคับรถม้า เขาเลยใช้แส้ม้าฟาดเข้าให้ และบัดนี้เจ้ากระต่ายป่าถูกนำมาแปรงสภาพเป็นอาหารอันโอชะ
ผู้อาวุโสฮวากำลังถูกตามล่า ส่วนเจียงซื่อในตอนนี้ก็ปลอมเป็นหลานสาวของนาง เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่สังเกตของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ทั้งสี่จึงหลีกเลี่ยงการพักแรมที่โรงเตี๊ยมระหว่างทาง
แม้คณะเดินทางกลุ่มนี้จะไม่เคยค้างแรมที่กลางป่า แต่อาหารแต่ละมื้อกลับไม่เคยขาด
กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยฟุ้ง
หลงต้านสูดจมูดฟุดฟิดพลางคลี่ยิ้ม “เหล่าฉิน ช่างมีฝีมือยิ่งนัก”
เหล่าฉินพลิกเนื้อกระต่ายครั้งแล้วครั้งเล่า “ทำมาหลายครั้งเริ่มคล่องแล้ว”
หลงต้านเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสนอกสนใจ “ดูไม่ออกเลยว่า เจ้าชอบย่างเนื้อ”
“อื้ม” เหล่าฉินพยักหน้า สายตายังคงจดจ้องไปที่เนื้อกระต่ายป่าที่ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองด้วยท่าทางขะมักเขม้น
“เหล่าฉิน เจ้าย่างเนื้ออะไรเก่งที่สุด ข้าจะบอกอะไรให้นะ ข้าน่ะ เก่งเรื่องกินเนื้อกวาง…” บรรยากาศอึมครึมในตอนเดินทางแปรเปลี่ยนเป็นบทสนทนาสนุกสนาน
ผู้อาวุโสฮวามองไปที่หลงต้านอย่างพินิจพิศจ้อง นางนึกฉงนในใจว่า ตัวเองได้ยินอะไรผิดไปหรือไม่
ถามคนอื่นว่าย่างเนื้ออะไรเก่งที่สุด ควรจะบอกว่าตัวเองย่างเนื้ออะไรเก่งที่สุดเหมือนกัน มาบอกว่าตัวเองกินเนื้อกวางเก่งที่สุดนี่ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
นางร่ำเรียนภาษาต้าโจวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อีกทั้งยังอาศัยอยู่ที่ต้าโจวมาตั้งนานหลายปี ไม่เคยคิดเลยว่าภาษาต้าโจวจะล้ำลึกถึงเพียงนี้…
ในตอนนั้น เหล่าฉินที่กำลังย่างเนื้ออย่างพิถีพิถันเอ่ยตอบ “ข้าย่างเนื้อหนูเก่งที่สุด”
เมื่อก่อนยากจนจึงจับหนูนามาย่างกินอยู่บ่อยๆ
“เนื้อหนูรึ” หลงต้านดึงมุมปาก สายตาที่จดจ้องไปที่เนื้อกระต่ายสีเหลืองทองผิดแปลกไปเล็กน้อย
เหล่าฉินกล่าวด้วยใบหน้าไม่สื่ออารมณ์ “สมัยนั้นข้านอนกลางดินกินกลางทราย แค่กินเนื้อหนูนาเคล้ากับสุราชั้นเลว มอมเมาให้ตัวเองหลับไป พอตื่นก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ท้องหิวเมื่อไหร่ก็จับหนูนามาย่างบ้าง นกกระจิบบ้าง พูดแล้วก็คิดถึงวันเก่า…”
“สุดยอด!” หลงต้านตอบรับโดยพลัน
เหล่าฉินจ้องมองไปที่ตาของหลงต้านพลางบอก “คิดแล้วก็ไม่อยากกลับไปเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”
คืนวันเก่าๆ เหล่านั้นเป็นเสมือนฝันร้ายของเหล่าฉิน เขาใช้ชีวิตเยี่ยงศพเดินได้มานานหลายปี หากจะให้กลับไปอีกคงไม่มีวัน เด็กอย่างหลงต้านที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในความธรรมดาจำเจกลับอิจฉาอดีตของเขา ไอ้เด็กนี่มันโง่หรือเปล่า
หลงต้านอ้าปากค้าง ไปต่อไม่ถูก
เหล่าฉินนี่พูดอะไรไม่ดูสถานการณ์เลย ช่วยต่อบทสนทนาให้มันลื่นไหลกว่านี้หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
เจียงซื่อฟังบทสนทนาของทั้งสองแล้วเกือบจะหลุดขำ
เดิมทีนางคิดว่าขาดอาหมานไปสักคน ช่วงเวลาที่เดินทางไปกับผู้อาวุโสฮวาคงน่าเบื่อน่าดู ไม่รู้เลยว่าหลงต้านและเหล่าฉินจะคุยอะไรสนุกๆ แบบนี้กับเขาเป็นด้วย
กลิ่นเนื้อย่างฟุ้งกระจายไปทั่ววัด พายุหิมะด้านนอกยังเทลงมาไม่ขาดสายจนไม่รู้เลยว่าฟ้ามืดตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อเห็นว่าเนื้อกำลังสุกได้ที่ เหล่าฉินก็ควักกริชสะอาดขึ้นมาเตรียมจะหันเนื้อ
ขณะที่คมแหลมของกริชเฉือนผ่านหนังด้านนอกสีเหลืองทอง น้ำมันจากสัตว์ก็หยดลงบนกองไฟทำให้เปลวเพลิงโหมขึ้น ในจังหวะนั้น เหล่าฉินชะงักไปเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน หลงต้านหุบยิ้มและเฉมองเข้าไปในวัด
ประตูไม้หลุดหายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ กรอบประตูว่างเปล่าไร้ที่กำบัง ลมเย็นเยือกโบกโบยพัดพาเกล็ดหิมะเข้ามา ธงพุทธแขวนยาวขาดวิ่นพัดกระพือไปตามแรงลม
หลงต้านจับดาบ และเดินไปกระซิบข้างเจียงซื่อ “นายหญิง มีคนมาขอรับ”
เจียงซื่อพอเดาได้จากปฏิกิริยาของหลงต้านและเหล่าฉิน นางพยักหน้าเล็กน้อยพลางบอก “อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเหมือนพวกเราที่หาที่หลบพายุหิมะ”
วัดร้างแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างทาง ในเมื่อพวกนางเข้ามาได้ คนอื่นๆ ก็เข้ามาได้เช่นกัน
บรรยากาศกลับสู่สภาวะปกติในช่วงเวลาสั้นๆ
“เหล่าฉิน เนื้อสุกรึยัง” หลงต้านยิ้มร่าพลางถาม
เหล่าฉินพลิกเนื้อกระต่ายอีกครั้งและเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง “ใกล้แล้ว”
ในทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นจากที่หน้าประตู