สำหรับเผ่าอูเหมียวแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแปลว่าถึงเวลาทำงาน พระอาทิตย์ตกแปลว่าถึงเวลาพักผ่อน ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
มีคนสัญจรไปมาภายในหมู่บ้านน้อยมาก ควันอาหารลอยพุ่งออกมาจากทุกครัวเรือน บ่งบอกว่าถึงเวลาทานอาหารค่ำแล้ว เมื่อบังเอิญพบเจอใครเข้า ก็ถูกผู้อาวุโสฮวารีบขอผ่านไปอย่างขอไปที
เจียงซื่อไม่พูดไม่จาเดินอยู่ข้างๆ ผู้อาวุโสฮวา สายตาสาดส่องไปทั่วทุกบริเวณ
ทั้งรู้สึกคุ้นเคย และแปลกตา
นางค่อยๆ ดูออกว่าผู้อาวุโสฮวาอยากจะพานางไปที่ไหน
ถ้าเดาไม่ผิด ผู้อาวุโสฮวาน่าจะพานางไปพบหัวหน้าผู้อาวุโส
เจียงซื่อผ่อนฝีเท้าลง
ผู้อาวุโสฮวารู้สึกได้ทันที กระซิบถามออกไป “เป็นอะไรไป”
เจียงซื่อสบตาเข้ากับผู้อาวุโสฮวา “ข้าอยากเจอพี่ชายข้าก่อน”
ผู้อาวุโสฮวาขมวดคิ้ว สีหน้าย่ำแย่ขึ้นมา
เจียงซื่อกลับหยุดเดินเอาดื้อๆ เอ่ยพูดอย่างแน่วแน่ “ขอเจอพี่ชายข้าก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
จะให้นางออกแรงโดยไม่ให้เจอพี่รองก่อน อีกฝ่ายอยากจะได้ประโยชน์แต่ไม่ลงทุนอะไรเลยงั้นหรือ
“อาฮวา…” ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสฮวาจะไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยาก จึงทำหน้าไม่ยอมออกมา
เจียงซื่อแสดงสีหน้าเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น
ตอนนี้พี่รองมีหรือไม่มีชีวิตอยู่ หรืออยู่ที่เผ่าอูเหมียวหรือไม่ นางสงสัยอยู่ในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะพี่รองเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดของนาง เกรงว่าแม้จะมีความเป็นไปได้เพียงนิดเดียว นางก็ยินยอมที่จะไปดู
พอมาถึงที่นี่แล้ว มันเก็บไว้ในใจไม่ได้อีกต่อไป นางจะจะต้องแน่ใจให้ได้ว่าพี่รองยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
เจียงซื่อแสดงท่าทียืนหยัดไม่ยอมแพ้ ผู้อาวุโสฮวาคิดอยากจะโน้มน้าวใจต่อ แต่ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามา “อาฮวา เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
มีสตรีผู้หนึ่งดูอายุใกล้เคียงกับอาฮวาเดินเข้ามา น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนนกขมิ้นที่ออกมาจากหุบเขา “ข้าไปหาเจ้ามา แต่ได้ยินมาว่าฮวาวั่วกลับมาแล้วพาเจ้าออกไปเดินเล่น…”
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ เคารพผู้อาวุโสฮวา พร้อมกับเรียกว่าผู้อาวุโสฮวา ทว่ากลับชำเลืองมองสิ่งของในมือผู้อาวุโสด้วยแววตาสงสัย พลางหรี่ตามองเจียงซื่อ
เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้สนิทกับอาฮวามาก
ระหว่างทางเจียงซื่อได้ยินเรื่องของอาฮวามาไม่น้อย รู้ว่าในเผ่าอาฮวามีคนสนิทอยู่สองสามคน และจำชื่อได้แล้ว พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนไหน แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปตามอำเภอใจ
ถึงแม้ว่าจะแปลงกายเป็นอาฮวา ใต้หล้าผืนนี้เกรงว่าแม่จะเป็นคนสนิทเพียงใดก็ยากที่จะพบเห็นความผิดปกติ แต่ว่าน้ำเสียงของทั้งสองไม่เหมือนกัน
การแปลงกาย สุดท้ายก็ทำได้เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก ทว่าเสียงพูดไม่อาจหลอกคนได้
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เจียงซื่อรู้สึกแปลกประหลาด ชาติภพที่แล้วนางมาที่เผ่าอูเหมียวสวมรอยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง ถึงแม้จะอ้างว่าฝึกบำเพ็ญตนจึงไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนในชนเผ่ามากนัก แต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทว่าเหล่าผู้อาวุโสรุ่นหนึ่ง รุ่นสองที่เห็นอาซังโตมากับตากลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
นางใช้ชีวิตอยู่ในฐานะอาซัง จึงมักจะกังวลว่าหลังจากถูกเปิดโปงจะไม่มีที่ซุกหัวนอน เช่นนั้นพูดให้น้อยถามให้น้อยจะดีกว่า
สุดท้ายได้แต่เก็บความงงงวยไว้ในในใจ จนกลายเป็นปริศนาที่แก้ไม่ได้
ทันใดนั้นเจียงซื่อก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ตอนนั้นอ่อนแอ
“อาฮวา ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรออกมาล่ะ” หญิงสาวรู้สึกกลัดกลุ้มในใจขึ้นมา
เจียงซื่อชี้ที่คอ ทำน้ำเสียงฟังดูแหบพร่าพูดไม่ชัด “รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย…”
ผู้อาวุโสฮวาพูดต่อ “พาอาฮวาออกไปกินบะหมี่มาชามหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะใส่เครื่องปรุงรสจัด จึงทำให้คอบวม อาหงเจ้ารีบกลับไปกินข้าวเถอะ รออาฮวาดีขึ้นแล้วจะให้นางไปเล่นกับเจ้า”
หญิงสาวเอามือปิดปากพลางหัวเราะออกมา กำไลเงินบนข้อมือกระทบกันเบาๆ เกิดเป็นเสียงไพเราะ
“อาฮวา ที่แท้เจ้าก็ตะกละตะกลามอีกแล้ว เจ้ากินอาหารอร่อยๆ ในเมืองต้าโจวเยอะเกินจนไม่ชอบอาหารที่เผ่าของพวกเราแล้วใช่ไหมล่ะ”
เจียงซื่อกำลังพิจารณาเตรียมจะพูดออกมาสองสามคำ หญิงสาวกลับโบกมือปัดเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ข้ารู้หรอกว่าเจ้าเจ็บคอ รอเจ้าอาการดีขึ้นข้าจะไปเล่นกับเจ้าแล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเดินจากไปไกลแล้ว ผู้อาวุโสฮวาก็โล่งอกล็กน้อย กระซิบเร่งเจียงซื่อออกไป “ไปเถอะ หากล่าช้าต่อไปอาจจะต้องเจอคนมากกว่านี้”
เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงกลับมาเป็นปกติ “นี่น่าจะเป็นเรื่องที่ฮวาวั่วควรกังวลสิ”
ผู้อาวุโสฮวาตะลึง มองใบหน้าที่คล้ายคลึงกับหลานสาว ทว่านิสัยกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ต้องยอมประนีประนอม
พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นสตรีที่รับมือด้วยได้ยากและเฉลียวฉลาดมาก
ขนาดมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างเผ่าอูเหมียว ไม่เพียงแต่ไม่เดินตามมาอย่างไม่มีทีท่ากระวนกระวาย กลับกันยังกล้าใช้อำนาจคุกคามนางอีก
ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่
ผู้อาวุโสฮวาเงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ ถอนหายใจออยู่ในใจ น้ำเสียงแสดงถึงความเหน็ดเหนื่อย “ก็ได้ เจ้าตามข้ามา”
เห็นทีคงไม่สำเร็จหากไม่ให้พระชายาเยี่ยนอ๋องไปเจอหน้าพี่ชาย
เมื่อเห็นผู้อาวุโสฮวาเปลี่ยนทิศทาง เจียงซื่อก็อมยิ้มมุมปากขึ้นมา
เรื่องบางเรื่องสามารถประนีประนอมได้ แต่เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องยืนหยัดแม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากก็ตาม
ทั้งสองเดินผ่านทางเล็กๆ ไป จนมาถึงหน้าบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง
ผู้อาวุโสฮวาหยุดลง เอ่ยกำชับเสียงเบา “ถ้าหากเจ้าอยากเจอพี่ชายนั้นย่อมได้ แต่จนกว่าเรื่องที่รับปากพวกเราไว้จะเสร็จสิ้นอย่าให้เขารู้ตัวตนของเจ้า ถ้าเจ้าตกลง ข้าก็จะพาเจ้าเข้าไปพบเขา”
เจียงซื่อพยักหน้ายอมรับ
เมื่อครู่พูดไปแล้วเรื่องที่ประนีประนอมได้ก็ควรประนีประนอม ไม่จำเป็นต้องเถียงให้มากความ
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อตอบตกลง ผู้อาวุโสฮวาถึงได้พานางไปเคาะประตูเรือน
เมื่อประตูเปิดออก หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้ายืนอยู่ด้านใน รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม
หญิงสาวเห็นผู้อาวุโสฮวาก็แสดงความเคารพออกมา
“เขาตื่นอยู่รึเปล่า” ผู้อาวุโสฮวาเอ่ยถาม
หญิงสาวเอ่ยตอบพลางตามผู้อาวุโสฮวาเดินเข้าไปข้างใน “กำลังนอนอยู่เจ้าค่ะ”
เจียงซื่อมองจ้องแผ่นหลังของหญิงสาวชุดฟ้า สายตาแน่นิ่ง
ชาติภพที่แล้วตอนที่นางอยู่ในเผ่าอูเหมียวคนที่สนิทที่สุดคนแรกก็คือหัวหน้าผู้อาวุโส รองลงมาคือหญิงสาวตรงหน้า
หญิงสาวนามว่าอาหลาน เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง
เจียงซื่อไม่ได้มีความรู้สึกดีกับอาหลานมากนัก
ตอนนั้นผู้ที่รู้ตัวตนของนางก็มีหัวหน้าผู้อาวุโสและอาหลานสองคน ด้วยเหตุนี้คำพูดคำจาของอาหลานที่พูดกับนางจึงค่อนข้างเย่อหยิ่ง
เกรงว่าในใจของอาหลานนางคงเป็นคนไร้ยางอายที่สวมรอยเป็นผู้อื่น และยึดครองตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์
ถ้าพี่รองพักรักษาตัวอยู่ที่นี่จริง เหตุใดคนที่ดูแลจะต้องเป็นอาหลาน
เจียงซื่อข่มความสงสัยในใจไว้พร้อมกับเร่งฝีเท้า
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง ผู้อาวุโสฮวาก็หยุดลง เอ่ยพูดกับอาหลานออกไป “เจ้าคอยดูอยู่ข้างนอก พวกเราจะเข้าไปก่อน”
อาหลานมองเจียงซื่อด้วยสายตาแปลกๆ จากนั้นก็พยักหน้าถอยไป
เจียงซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย
เท่าที่เห็นท่าทางอาหลานปฏิบัติต่อนาง เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่านางไม่ใช่อาฮวา
เมื่อเข้าไปในห้อง ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสฮวาจะรู้สึกได้ถึงความสงสัยของเจียงซื่อ จึงเอ่ยกระซิบออกไป “นางคืออาหลาน รู้ว่าเจ้าไม่ใช่อาฮวา ต่อไปตอนที่เจ้าต้องออกงานในตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ จะต้องร่วมมือกันกับนาง…”
ถ้าหากว่าเป็นไปได้ พวกนางก็ไม่อยากให้อาหลานรู้มาก แต่ว่าอาหลานเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของสตรีศักดิ์สิทธิ์ และเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่รู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
การตายของสตรีศักดิ์สิทธิ์สามารถปิดบังต่อคนในเผ่าจำนวนมากได้ แต่จะปิดบังบ่าวรับใช้คนสนิทได้อย่างไร
เจียงซื่อเดินตามผู้อาวุโสฮวาเข้าไปในห้องโถง แล้วหยุดลงตรงหน้าผ้าม่านจากผ้าฝ้ายหลากสี
“เข้าไปสิ เขาอยู่ข้างใน”
เจียงซื่อสูดหายใจเข้าเงียบๆ แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป
มีเตียงไม้ไผ่วางติดกับผนังห้อง บนเตียงมีฟูกนอนวางรองและคนห่มผ้าห่มคลุมอยู่ทั้งตัว
คนผู้นั้นนอนหันข้างออกมาพอดี ด้วยแสงจะตะเกียงน้ำมัน ทำให้เห็นหน้าได้อย่างชัดเจน
นั่นคือเจียงจั้น!