ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าผิวของนางกำลังถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น
“อาจารย์….” ดาบยักษ์ในมือของนางปักจมลึกลงไปในโคลนข้างเท้า นางมองดูซื่อมั่วด้วยสีหน้าเป็นกังวล
แต่ก็เห็นเพียงสีหน้าที่ซีดขาวของเขา ร่างกายของเขาดูแล้วเหมือนจะผ่ายผอมกว่าในยามปกติลงไปมาก
ช่วงนี้ อาจารย์มักจะพักอยู่ในบ้านพักของนาง ทุกๆวันเวลาเดิมจะส่งอาหารบำรุงต่างๆมาให้ นางกลับไม่ได้สังเกตเลยว่า…..อาจารย์ผ่ายผอมลงไปกว่าแต่ก่อน
ผอมลงมากขนาดนี้
นางเองก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ถึงขนาดนี้มานานมากแล้ว ดวงตาดอกท้อสำรวจดูเขาอย่างละเอียดลออตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คิดจะหาตำแหน่งที่เขาบาดเจ็บออกมา
ซื่อมั่วยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาอุ้มพิณเอาไว้ในมือเดียว ปลายนิ้วที่เรียวยาวไล้ผ่านสายพิณ เกิดเป็นเสียงสะท้อนที่สงบนิ่งออกมา
น้ำเสียงนุ่มนวลที่ดังออกมาเบาๆจากพิณโบราณ เลื่อนไหลออกไปสู่ภายนอกเรือน
ทำให้เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ในป่าทึบดับลงในทันที
นิ้วมือของเขาฉีกเป็นแผลแล้ว เลือดไหลอาบลงไปบนตัวพิณ ทำให้พิณตัวนี้เพิ่มพูนกลิ่นอายสังหารขึ้นมาอย่างหนีไม่พ้น
ผ่านไปอีกพักใหญ่เลือดถึงได้หยุดไหล ใบหน้าของเขาซีดขาว มือประคองพิณเอาไว้ ผลักลูกศิษย์ออกไป เดินกลับไปยังห้องด้วยตนเอง
ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะกล้าวางใจ นางรีบติดตามไปที่ห้อง
ทำเหมือนยามที่เป็นเด็กเล็กๆอีกครั้ง นางเดินตามก้นซื่อมั่วมาติดๆ ราวกับกลัวว่าจะทำตนเองหลงทาง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ นางกลัวว่าเขาจะหายไปมากกว่า
ซื่อมั่วเข้าไปในห้อง วางพิณลง ล้างมือจนสะอาดต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน จากนั้นค่อยเดินเข้าไปที่ฉากกั้นลมเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน
เขาถอดชุดแบบตะวันตกสีม่วงทิ้ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีม่วง ผมทรงเสยไปด้านหลังถูกฝนจนยุบตัวลงมา คืนสู่ทรงเดิมตามธรรมชาติ
กลายเป็นเช่นเดียวกับจีเฉวียน ทรงผมของเขาใช้เวทย์กำบังตา พอเวทย์นั้นสลายไป ก็กลายเป็นเส้นผมยาวสลวยลงมา
เส้นผมที่เปียกชื้น เลื่อนไหลไปด้านหลัง พอประกอบกับดวงหน้าที่ซีดขาว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนคนงามที่ป่วยไข้
แม้จะเป็นกลางฤดูร้อน แต่เมื่ออยู่ในห้องของเขา ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกหนาวจนสะท้านขึ้นมา
นางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กในห้องอย่างว่าง่าย พอเห็นอาจารย์เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเรียบร้อย ก็ใจลอย
ไปชั่วขณะหนึ่ง
อาจารย์มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับจีเฉวียน…..เช่นโรคบ้าความสะอาดเกินใครเทียบ
พึ่งจะออกศึกมาแท้ๆ สิ่งแรกที่คิดกลับไม่ใช่เรื่องจัดการกับบาดแผล แต่ว่าเป็นเปลี่ยนเสื้อผ้า……
แต่ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย อุปนิสัยก็เย็นชา เวลาไม่พูดไม่จาสีหน้าก็เหมือนจะแขวนคำว่า ‘ข้าไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครมาหาเรื่อง ออกไปห่างๆ’ เอาไว้อยู่เสมอ
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นซื่อมั่วโยนเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งมาให้นาง
“เปียกปอนจนตัวเหม็น ไปเปลี่ยนซะ”
ตู๋กูซิงหลันยกเสื้อผ้าในมือขึ้นดู มุมปากก็เหยไปเล็กน้อย “อาจารย์…..เสื้อผ้าชุดนี้เป็นของท่าน”
ใช้แล้ว ซื่อมั่วส่งชุดหลวมกว้างที่สะอาดมากตัวหนึ่งให้นาง บนตัวเสื้อยังมีกลิ่นของไอแดด
“อาจารย์ซักสะอาดแล้ว” ซื่อมั่วกล่าวอย่างไม่มีเรื่องใดน่าแปลกใจ ทั้งยังเสริมไปอีกประโยค “ซักด้วยมือ”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
เมื่อครู่นางออกแรงไปมากพอสมควร น้ำฝนชโลมเปียกบาดแผล ทำให้เหนียวตัวจนรู้สึกอึดอัดไม่สบายอยู่บ้าง
ดังนั้นจึงไปที่ฉากบังลมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่ว่าซื่อมั่วเพียงให้เสื้อเชิ้ตมาตัวเดียวเท่านั้น…..ไม่มีอย่างอื่น
ยังดีที่เสื้อเชิ้ตตัวนี้ตัวใหญ่…..พอนางสวมลงไปพอยาวพอจะปิดต้นขาได้พอดี
แต่ว่ากระดุมเสื้อหลุดไปสองเม็ด เผยให้เห็นไหปลาร้าและบ่าที่ขาวกระจ่าง
เมื่อนางเดินออกมาอย่างกระบิดกระบวน ก็เห็นว่าในห้องติดเตาถ่านเอาไว้แล้ว อากาศอบอุ่นขึ้นมา
ซื่อมั่วนั่งบนเบาะนุ่ม ด้วยดวงตาสะลึมสะลือ
พอตู๋กูซิงหลันเดินออกมา ก็มองดูนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองด้านนอกอย่างรวดเร็ว
สาวน้อยสวมใส่เสื้อเชิ้ต…..ดูแล้วมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
เส้นผมที่เปียกชื้นระอยู่บนบ่า ม้วนเป็นวง ทั้งยังมีหยดน้ำเกาะพราว
เสื้อเชิ้ตที่ขาวสะอาดดุจหิมะซับละอองน้ำบนเสื้อผมจนเปียกเป็นรอยชื้น ทำให้สามารถมองเห็นผิวพรรณที่นวลเนียนราวเนื้อหยกได้จางๆ
สองขาเรียวยาวและตรงดุจพู่กัน ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา
“อาจารย์ ท่านดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่บ้างแล้ว สีหน้าค่อยมีสีเลือดอยู่บ้าง” ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเล็กๆ มองดูซื่อมั่ว
นางวางดาบยักษ์ที่เมื่อครู่ถือติดเข้ามาด้วยลงข้างหน้าตัวเอง
วิญญาณทมิฬไม่กล้าพูดอะไรออกไป…. เพราะเมื่อครู่ตอนที่อาจารย์และหลันหลันต่อสู้อยู่นั้น มันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย
เพียงรู้สึกอยากระบายความคิดจนทนไม่ไหวอยู่บ้าง …..ท่านอาจารย์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ที่ไหนกัน….
ที่จริงแล้วเป็นเพราะ….เห็นเจ้าสวมใส่แบบนี้แล้วมันเซ็กซี่เกินไป จนเลือดลมพุ่งพล่านจนทนไม่ไหวต่างหากเล่า!
นี่มันชัดเจนเลยว่า…..อาจารย์ที่มีนิสัยแบบบุรุษขี้หวง…..อยากจะเห็นหลันหลันสวมใส่เสื้อเชิ้ตของตนเองต่างหากมิใช่หรือ?
แถมยังจงใจดึงกระดุมเสื้อตรงปกทิ้งไปอีก?
มันเคยได้ยินมาว่า มีบุรุษบางคน….มีรสนิยมแปลกๆบางอย่าง อยากเห็นคนที่ตนเองชอบ สวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง
เช่นนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจเหมือนได้ครอบครอง
อืม…..อาจารย์จะต้องเป็นคนประเภทนี้เป็นแน่!
“อาจารย์ไม่เป็นอะไร” ซื่อมั่วปิดตาลง แสงไฟจากเตาในห้องอาบลงบนร่างของเขา เพิ่มพูนความอบอุ่นอ่อนโยน
ถ่านบนเตาไฟลั่นดังเปรี๊ยะๆ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าด้านนอกมีแต่ความสงบเงียบ
น้ำเสียงพึ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเขากระแอมเบาๆ พอในลำคอได้รสหวานก็รีบกล้ำกลืนลงไปในทันที
วิญญาณทมิฬที่ดูอยู่ด้านข้างรู้สึกปวดใจแทน
เนื่องเพราะร่างแบ่งภาคยืดระยะกลับคืนออกไป…..ร่างกายของซื่อมั่ว จึงต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน …..ดังนั้นตอนที่คนพวกนั้นอยู่ๆก็บุกเข้าประตูมา เขาจึงไม่อาจกำจัดพวกมันได้ตั้งแต่แรก
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะประโยคเดียวของศิษย์รัก: ข้าไม่อยากให้เขาตาย
อืม เทพเจ้าผู้นี้ยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่าสีหน้าซีดจนย่ำแย่ ผู้อื่นคงมองไม่ออกเลยสักนิดว่าเขาบาดเจ็บ
“อาจารย์ ข้าเป็นศิษย์ของท่าน ถือว่าเป็นบุตรสาวของท่านครึ่งหนึ่ง ท่านบาดเจ็บอยู่ชัดๆ แล้วยังจะปิดบังข้าอีก?”
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่ นางย่อมดูออกว่าเขาไม่ปกติ
แค่คำว่าบุตรสาวครึ่งหนึ่ง ถึงกับทำให้ขนตาของซื่อมั่วสั่นสะท้าน
ท่านั่งของเขาแข็งทื่อขึ้นมา แผ่นหลังเหยียดตรงเป็นพู่กัน ลืมตาขึ้นมามองนางอีกครั้ง
“แล้วถ้าหากว่าอาจารย์ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นบุตรสาวมาก่อนละ?” เขาเอ่ยออกไป ในดวงตาสะท้อนแต่ภาพของนางเพียงผู้เดียว
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็ยกสองมือขึ้นมาประกบใบหน้า “อาจารย์ ท่านใจร้ายมาก….เช็ดอึเช็ดฉี่ให้มาตั้งหลายปี …..แล้วจะมาบอกว่าไม่รู้สึกผูกพันกับศิษย์เลยได้อย่างไร?”
ซื่อมั่ว “…..”
เขาไม่รู้ควรจะบอกว่าศิษย์ผู้นี้ฉลาดหรือว่า งี่เง่าดี
ริมผีปากของเขาขยับน้อยๆ คำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้ว ถูกกลืนกลับลงไป
เปลี่ยนใหม่เป็นว่า “อาจารย์ไม่ขอถกเถียงเรื่องที่ไม่เป็นสาระกับเจ้าอีก”
เขานั่งขัดสมาธิ สงบจิตใจลง ทรวงอกกระเพื่อมน้อยๆ ทั่งหมดล้วนเป็นเพราะโมโหเจ้าลูกศิษย์ตัวแสบผู้นี้
“อาจารย์…. พวกคนเมื่อครู่ เป็นพวกเทพหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระกับเขาอีก นางถามออกไปตรงๆอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “พวกเขาเรียกท่านว่า…หมิงอ๋อง”
จะมากจะน้อยนางก็คลุกคลีอยู่ในวงการคุณไสยมานานปี
ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องของเผ่าหมิงมาบ้าง
คล้ายจะได้ยินมาว่าเผ่านี้จะล่มสลายไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว
แต่ว่าล่มสลายไปเพราะอะไร นางก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด
…………………………………