ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างแย่งกันกล่าวจนฟังไม่ได้ศัพท์ ราวกับหากไม่ได้พบสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็จะไม่ยอมหยุดลงเพียงเท่านี้
แน่นอนว่าหัวหน้าผู้อาวุโสไม่ยอมให้เจียงซื่อเดินทางออกมาพบผู้คนในยามนี้เป็นแน่
ถึงอย่างไรของปลอมก็ยังคงเป็นของปลอมอยู่วันยังค่ำ หากเผยพิรุธออกมาตอนนี้ คาดว่าเทศกาลซินหั่วในวันพรุ่งคงไม่อาจข้ามผ่านไปได้
สำหรับหัวหน้าผู้อาวุโสแล้วนั้น นางจำเป็นต้องปลอบขวัญคนในชนเผ่าเสียก่อน แล้วค่อยจัดการคนต่างเผ่า นี่คือหน้าที่อันสำคัญ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นค่อยว่ากันภายหลัง
“ผู้อาวุโสทั้งหลายวางใจเถิด ในเทศกาลซินหั่ว อาซังจะมาปรากฏกายให้เห็นเป็นแน่แท้” ไม่ว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะว่าอย่างไร แต่หัวหน้าผู้อาวุโสจะไม่สั่นคลอนอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสหน้ายาวคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างไม่พึงพอใจว่า “หัวหน้าผู้อาวุโส ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ออกจากการฝึกฝนแล้ว เหตุใดจึงไม่สามารถออกมาพบปะพวกเราได้ มีข้อขัดข้องประการใด”
หัวหน้าผู้อาวุโสมองไปทางผู้อาวุโสหน้ายาวผู้นั้นด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสอันคิดว่ามีข้อขัดข้องใดหรือ”
ในเผ่านี้ ผู้ที่มีทักษะแปลงโฉมอันเก่งกาจกว่าหัวหน้าผู้อาวุโส นั่นก็คือผู้อาวุโสอันท่านนี้นี่เอง
ผู้อาวุโสหน้ายาวผู้นั้นแววตาเป็นประกาย ถอนหายใจกล่าวว่า “หัวหน้าผู้อาวุโส หรือท่านไม่ได้ยินข่าวลือในช่วงนี้”
สายตาของทุกคนเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาดทันที
ข่าวลือนั้นพวกนางทุกคนล้วนได้ยินมา เพียงแต่ไม่มีใครนำมันมากล่าวอย่างโจ่งแจ้ง
“ข่าวลือ?” สีหน้าของหัวหน้าผู้อาวุโสดูเกร็งขึ้น
ผู้อาวุโสหน้ายาวกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถูกต้องแล้ว คนในเผ่าล้วนกล่าวกันว่า การที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ออกมาพบปะผู้ใดเป็นเวลาเนิ่นนานนี้ หาใช่เพราะเข้าฌานฝึกตน แต่เป็นเพราะได้เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว…”
“เหลวไหล!” หัวหน้าผู้อาวุโสตบโต๊ะเสียงดังสนั่น ก่อนจะกล่าวด้วยความโมโหว่า “ผู้อาวุโสอัน คนในเผ่านั้นโง่เขลา พวกเขาจะเชื่อคำกล่าวไร้สาระนั่นก็เป็นได้ แต่ท่าน ในฐานะผู้อาวุโสรุ่นที่หนึ่งในเผ่าของเรา เหตุใดยังหลงเชื่อคำไร้สาระเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสหน้ายาวผู้นั้นไม่ยอม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ออกมาพบพวกเราเล่า พวกเราทั้งหลายจะได้วางใจ”
หัวหน้าผู้อาวุโสหันหลังกลับไป กล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า “พวกท่านทั้งหลายจงกลับไปเถิด เทศกาลซินหั่วในวันพรุ่งนี้ทุกท่านจะได้พบกับอาซังเอง”
เมื่อทุกคนพบว่าหัวหน้าผู้อาวุโสมีความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น จึงทำได้เพียงพากันเดินทางจากไป
ผู้อาวุโสหน้ายาวเดินทางกลับไปด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง ผู้อาวุโสรุ่นที่สองซึ่งสนิทสนมกับนางจึงได้เอ่ยเตือนขึ้นว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้ากล่าวแล้วว่าเทศกาลซินหั่วในวันพรุ่งนี้อาซังจะมาปรากฏกายต่อพวกเรา ท่านเองก็อย่าได้มัวถกเถียงกับท่านหัวหน้าเลย ทุกอย่างจะกระจ่างแจ้งในวันพรุ่งนี้”
ผู้อาวุโสหน้ายาวสีหน้าไม่พึงพอใจ “ข้าเพียงเกรงว่าท่านหัวหน้าผู้อาวุโสจะกระทำแผนการบางอย่างเพื่อหลอกลวงคนในเผ่าเรา…เอาเถิด พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
วันต่อมา อากาศแจ่มใส
ชนเผ่าอูเหมียวเดินทางมาร่วมเทศกาลซินหั่วพร้อมด้วยอากาศอันสดใส ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความกังวลใจ
เทศกาลซินหั่วของปีนี้ดำเนินมาถึงอีกคราแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏกายขึ้นหรือไม่
หากว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ปรากฏกายขึ้นอีกละก็ ข่าวลือนั้นคาดว่าคงเป็นจริง
เพียงพวกเขาจินตนาการถึงเรื่องที่อาจเป็นไปได้นี้ ในใจของคนธรรมดาเหล่านี้จึงรู้สึกได้ถึงความกลัว
หากว่าไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ ก็จะขาดผู้นำเผ่าอูเหมียวกว่าสิบเผ่าย่อย จะให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสบายใจได้อย่างไร
ประตูค่ายถูกเปิดออก คนจากชนเผ่าย่อยทั้งสิบกว่าเผ่าก็ได้เดินทางมา
แต่ละเผ่าย่อยมากสุดจำนวนสิบกว่าคน น้อยสุดก็เพียงไม่กี่คน พวกเขาจะเข้าร่วมพิธีซินหั่วซึ่งนำโดยหัวหน้าผู้อาวุโสอูเหมียว นางเป็นตัวแทนแบ่งเชื้อไฟใหม่ให้แก่เผ่าย่อยต่างๆ
นี่เป็นโอกาสเดียวในแต่ละปี ที่พวกเขาจะได้เข้าไปด้านในค่ายของเผ่าอูเหมียว
เผ่าอูเหมียวมีหนอนพิษกู่นานาชนิด มีโรคต่างๆ มากมาย เมื่อเข้าไปด้านในจะต้องนำถุงหอมซึ่งชาวอูเหมียวแจกจ่ายให้ตรงประตูเท่านั้น จึงสามารถวางใจได้ว่าจะไม่ถูกพิษกู่และอื่นๆ
ถุงหอมนี้มีผลเพียงครึ่งวันเท่านั้น ซึ่งเพียงพอกับระยะเวลาของคนเผ่าอื่นที่เดินทางเข้ามาทำพิธี
กลุ่มคนเดินตรงเข้ามา เครื่องแต่งกายของพวกเขาทั้งหลายแตกต่างกัน มีทั้งชายหญิง คนชราและเด็ก หากพิจารณาดูให้ดี จะพบว่าคนเหล่านี้เว้นระยะห่างจากคนชุดเขียวเล็กน้อย
บรรดาผู้ที่สวมใส่ชุดสีเขียวเหล่านั้นใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ แม้แต่ชายหนุ่มเพียงคนเดียวของพวกเขาก็สีหน้าแข็งทื่อ หาได้มีความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนในวัยเดียวกัน
โดยหัวหน้าผู้อาวุโสอูเหมียวเป็นผู้นำในการต้อนรับคนเหล่านี้
ชายวัยกลางคนซึ่งสวมใส่ชุดยาวสีขาวคนหนึ่งกระตุกสีหน้ายิ้มขึ้นอย่างไม่จริงใจว่า “หัวหน้าผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าในวันนี้ผู้ใดเป็นคนจุดไฟใหม่กัน ยังคงเป็นท่านที่ลงมือจุดด้วยตนเองเช่นปีก่อนๆ อีกงั้นหรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสเหลือบมองไปทางชายผู้นั้นแล้วตอบเบาๆ ว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสอูเหมียว การที่ข้าลงมือกระทำเองย่อมแสดงให้เห็นถึงความเคร่งครัด หรือท่านอาวุโสเสวี่ยรังเกียจ?”
ชายผู้นั้นยิ้มตอบว่า “หัวหน้าผู้อาวุโสกล่าวตลกเกินไปเสียแล้ว ข้าจะรังเกียจได้อย่างไรเล่า เพียงแต่ก่อนหน้านี้ผู้ที่เป็นตัวแทนในการจุดเชื้อไฟใหม่คือสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่หลายปีมานี้กลับเป็นท่านที่ทำพิธี จึงดูแปลกไปก็เท่านั้น”
คนจากเผ่าต่างๆ ส่งสายตากันไปมา ต่างมีความคิดเห็นเป็นของตนเองในใจ
เผ่าอูเหมียวและเผ่าเสวี่ยเหมียว แม้มองผิวเผินจะไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ส่วนลึกนั้นทั้งสองต่างไม่ถูกกันมาเนิ่นนาน
เดิมทีเผ่าอูเหมียวและเผ่าเสวี่ยเหมียวคือเผ่าเดียวกัน ต่อมาเกิดข้อบาดหมางกันเล็กน้อยจึงได้แยกออกไปกลายเป็นสองเผ่า อำนาจของเผ่าเสวี่ยเหมียวค่อนข้างอ่อนแอ ในสายตาของเผ่าอื่นๆ พวกเขามองว่าเสวี่ยเหมียวดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยเผ่าอูเหมียว แต่สำหรับคนเผ่าเสวี่ยเหมียวแล้วนั้นหาได้เป็นเยี่ยงนี้
โดยเฉพาะเมื่อตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นก่อนได้ว่างลง สตรีศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นนี้ก็ไม่ได้เผยโฉมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทำให้เสวี่ยเหมียวอยากจะเคลื่อนไหวเต็มทน
หัวหน้าผู้อาวุโสจิบน้ำชาอึกหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน “เรื่องในเผ่าของข้า ไม่จำเป็นต้องให้หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวมาเป็นกังวลใจไป”
เมื่อสิ้นเสียงลง เสียงแตรก็ดังขึ้นกังวานไปทั่วค่าย ทุกคนกลับคืนสู่ความสงบ บัดนี้มีเพียงเสียงแตรเท่านั้นที่ดังก้องอย่างไพเราะ
เสียงแตรยังคงถูกเป่าออกมาไม่หยุดลง สตรีชุดดำผมยาวดำขลับนางหนึ่งก็ได้ย่างกรายออกมาอย่างช้าๆ ก้าวขึ้นยังบันไดสูงทีละขั้นๆ
สถานที่แห่งนั้นสงบลงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถูกทำลายด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจของชนเผ่าอูเหมียว
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ สตรีศักดิ์สิทธิ์จริงด้วย!”
ตุ้บ! มีใครบางคนเริ่มคุกเข่าลง จากนั้นพวกเขาทั้งหลายนับไม่ถ้วนก็ได้คุกเข่าลงไปตามๆ กันแล้วคารวะสตรีชุดดำผู้นั้น
คนจากเผ่าอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมา หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
สตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวยังมีชีวิตอยู่?
สายตาอันดุเดือดของเขาจับจ้องไปยังสตรีชุดดำผู้นั้น เมื่อเทียบกับสตรีผู้ใบหน้าอ่อนเยาว์ในสามปีก่อนแล้ว สตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แต่เป็นคนเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
วินาทีนี้ หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
ตรงกันข้ามกับเผ่าอื่นๆ ชนเผ่าอูเหมียวราวกับได้รับพลัง พวกเขาพากันกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ
เจียงซื่อเดินขึ้นไปบนแท่นสูงท่ามกลางผู้คนนับหมื่น นางทำการสักการะทวยเทพเทวาอย่างไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสที่กระสับกระส่ายวางใจลงไม่น้อย
“จุดไฟ!” หัวหน้าผู้อาวุโสตะโกนออกมา
ในมือของเจียงซื่อถือคบเพลิงเอาไว้แล้วเริ่มทำการจุดไฟ
ท่อนไม้ที่ผ่านกระบวนการพิเศษ ในไม่ช้าแสงสว่างจากไฟก็เจิดจ้าเป็นประกาย
ผู้คน ณ ที่นั้นได้พากันส่งเสียงทั้งโห่ร้องยินดีและปรบมือดังสนั่น พวกเขาเริ่มย่างกายร่ายรำตามทำนอง
เจียงซื่อซึ่งอยู่ด้านบนแท่นส่งสายตามองไปทางหัวหน้าผู้อาวุโส พบว่าหัวหน้าผู้อาวุโสพยักหน้าเล็กน้อยมาทางนางแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
สายตาของนางมองไปรอบด้านทั้งสี่ทิศ และสายตาคู่นั้นได้หยุดอยู่ที่บริเวณหนึ่งชั่วครู่
ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสชุดเขียวดูคุ้นตายิ่งนัก
เจียงซื่อจำชายหนุ่มผู้นั้นได้ในทันที เขาคืออวิ๋นชวน เด็กหนุ่มเคลื่อนย้ายศพที่พวกนางได้ช่วยเอาไว้เมื่อตอนเดินทางมายังทิศใต้นั่นเอง
แม้จะบังเอิญพบเข้ากับชายหนุ่มผู้เคลื่อนย้ายศพ ในใจของเจียงซื่อก็ไม่ได้ตื่นเต้นแต่อย่างใด นางเดินลงมาจากแท่นช้าๆ ตรงเข้าไปทางหัวหน้าผู้อาวุโส
ท่ามกลางสายตาของผู้คนในเผ่าทั้งหลายที่กำลังเต้นรำ พวกเขายังคงส่งสายตาจับจ้องมาที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่ได้พบมาเนิ่นนาน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับวางภาระหนักอึ้งที่แบกรับมานานลงไป ทำให้พวกเขาร่ายรำได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น
สถานการณ์ดูครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่มีตำแหน่งเริ่มเข้าไปเริงระบำกับฝูงชน รวมถึงเผ่าอื่นๆ
เรื่องการร้องเพลงร่ายรำนั้นถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของพวกเขาทั้งหลาย และนี่เป็นวิธีการบ่งบอกถึงความดีใจของพวกเขา
อวิ๋นชวน ชายหนุ่มผู้แบกศพก็ได้ตรงเข้ามายังฝูงชนที่กำลังร่ายรำอยู่เช่นกัน
ทว่าเขาไม่ได้เดินตรงเข้าไปเพื่อเต้นรำ แต่เพราะพบใบหน้าหนึ่งอันคุ้นเคย