ละอาย?
แน่นอน อวี้จิ่นไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด เขาเพียงจดจำชายตาเล็กเท่าเมล็ดถั่วและหน้าดุจคางคงไว้ในใจ จากนั้นเดินทางออกจากเผ่าอูเหมียว
และในบัดนี้ ชายตาเล็กเท่าเมล็ดถั่วและหน้าดุจคางคงผู้เป็นหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวได้รับรายงานว่าอวี้จิ่นเดินทางมาที่เผ่าอูเหมียว สีหน้าของเขาก็ดูมืดมนลง เขาตบลงไปที่โต๊ะกล่าวว่า “ให้ตายสิ!”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างคือผู้รู้ใจเขา เมื่อเห็นดังนั้นจึงเอ่ยโน้มน้าวว่า “ท่านหัวหน้าเผ่าอย่าได้โมโหไป ในเมื่อองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวนั่นกล้าเดินทางมา เราจะทำให้เขาไม่อาจเดินทางกลับไปได้!”
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “ถูกต้องแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าองค์ชายเจ็ดกลับไปยังต้าโจวแล้วจะเป็นดั่งราชสีห์กลับถ้ำ การที่ทำให้คนของเราต้องอับอายนับครั้งไม่ถ้วน จึงทำได้เพียงปล่อยวางลง คิดไม่ถึงเสียจริงว่าเขาอยู่ที่ต้าโจวดีๆ ไม่ชอบ กลับเดินทางมาที่หนานเจียงอีก”
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวไม่สามารถระงับความโกรธลงได้
สำหรับคำทำนายของบุตรมังกรคนที่เจ็ดนั้นเขาเองก็รู้ดี เพียงแต่น่าเสียดายที่รู้ช้าไปหน่อย ด้วยในตอนนั้นองค์ชายเจ็ดอยู่ในกองทัพทหารราชวงศ์ต้าโจว ทำให้ไร้หนทางจัดการ ต่อจากนั้นเขาก็เดินทางกลับไปยังราชวงศ์ต้าโจวยิ่งทำให้กระทำการลำบากกว่าเดิม
เนื่องจากเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับคำทำนายนั้น ลงมือหลายต่อหลายครั้งแล้วไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้ละความพยายาม แต่คิดไม่ถึงว่า สตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเล่าขานกันว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะปรากฏกายขึ้นในเทศกาลซินหั่ว อีกทั้งแสดงวิชาการสกัดหนอนกู่ออกมาต่อหน้าทุกคน
และประจวบพอดีกับช่วงเวลานี้ องค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งที่นี่
หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
คำทำนายของหัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งเผ่าอูเหมียวเป็นเรื่องจริง บุตรคนที่เจ็ดของมังกรเป็นผู้ที่นำรุ่งอรุณมาสู่เผ่าอูเหมียวอย่างแท้จริง
พวกเขาไม่อาจลงมือกับสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวได้ แต่สำหรับองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้นี้ซึ่งเดินทางมาเพียงแค่ม้าตัวหนึ่งกับหอกนั้น…ช่างลงมือง่ายยิ่งนัก!
หากจัดการผู้ที่นำพารุ่งอรุณมาให้เผ่าอูเหมียวให้ถึงแก่ชีวิตได้ แล้วเผ่าอูเหมียวจะเป็นเช่นไรหนอ
ไม่ว่าอย่างไร สำหรับเผ่าเสวี่ยเหมียว ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
เผ่าเสวี่ยเหมียวอดทนมานานนับสิบปี ไม่ใช่เพื่อจะรอดูความรุ่งเรืองของเผ่าอูเหมียวแต่อย่างใด
“จงไปจัดการ ต้องเอาชีวิตขององค์ชายเจ็ดมาให้ได้”
คนสนิทของเขาตอบรับว่า “รับทราบ”
และในบัดนี้ เจียงซื่อได้แปลงโฉมเป็นอาฮวา นางยืนอยู่ด้านหน้าของหัวหน้าผู้อาวุโส
“ท่านหัวหน้าผู้อาวุโส ข้าขอตัวก่อน”
หัวหน้าผู้อาวุโสมองไปทางเจียงซื่อด้วยแววตาลึกซึ้งอยู่เนิ่นนานโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เจียงซื่อเองก็ไม่ได้รีบร้อน นางรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยปากขึ้น
“ไปเถิด” ในที่สุด หัวหน้าผู้อาวุโสก็กล่าวออกมาเพียงแค่สองคำ ดูนางค่อนข้างจะผิดหวัง
จะไม่ให้นางผิดหวังได้อย่างไร เพราะเรื่องนี้แตกต่างจากที่นางคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
เดิมทีนางทำใจแล้วว่าจะต้องทนทุกข์จากการผิดสัญญา จะรั้งพระชายาเยี่ยนอ๋องไว้ให้ได้ คาดไม่ถึงว่าบัดนี้ต้องมาเป็นกังวลใจ นางหวังเพียงว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะเดินทางกลับมาอีกในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์
เมื่อมองไปยังผมเผ้าสีหงอกขาวของหัวหน้าผู้อาวุโส เจียงซื่อก็ดูใจอ่อนเล็กน้อย นางย่อเข่าลงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวไปก่อน หากที่นี่มีเรื่องใด หัวหน้าผู้อาวุโสเพียงติดต่อข้าก็พอ”
ผู้ที่ส่งเจียงซื่อเดินทางออกไปจากค่าย แน่นอนว่ายังคงเป็นผู้อาวุโสฮวา
นางหยุดลงบริเวณที่ไร้ผู้คน ผู้อาวุโสฮวากำชับว่า “ท่านต้องรอให้เดินทางผ่านพ้นเขตหนานเจียงแล้วค่อยกลับคืนมาเป็นใบหน้าเดิม มิเช่นนั้นพบเข้ากับคนในชนเผ่าเข้าคงไม่เหมาะสม”
ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ว่าจะใช่อาซังหรือไม่ แต่ในเมื่อหัวหน้าผู้อาวุโสยอมรับแล้ว นางก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียว ท่าทางของผู้อาวุโสฮวาที่มีต่อเจียงซื่อจึงเปลี่ยนไปมาก
“ผู้อาวุโสฮวาวางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร”
หลังจากบอกลากับผู้อาวุโสฮวาแล้ว เจียงซื่อก็ได้เดินทางมาพักอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว มีอวี้จิ่นและคนอื่นๆ รอคอยนางอยู่ที่นั่น
จนกระทั่งเจียงซื่อเดินทางออกไปไกลแสนไกลแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งจึงได้ปรากฏกายขึ้น ติดตามนางไปอย่างเงียบๆ
เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง จึงไม่ได้ยินว่าพวกนางสนทนากันเรื่องใด แต่เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องที่มีอาฮวาสองคนนั้นเป็นมาเช่นไรกันแน่
อาฮวาผู้ที่ช่วยเขาเอาไว้ถูกแทนที่ด้วยอาฮวาผู้ดุดัน แล้วอาฮวาผู้ที่ช่วยเขาเอาไว้จะอยู่ในอันตรายหรือไม่
แม้นเด็กหนุ่มจะไม่เข้าใจถึงหลักการยิ่งใหญ่ที่ว่าบุญคุณแม้เพียงน้ำหยดก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร แต่ตอนนี้เขากำลังปฏิบัติตามหลักการนี้
ดูเหมือนว่าเจียงซื่อจะอดใจรอไม่ไหวอีกต่อไป นางเร่งฝีเท้าตรงไปยังโรงเตี๊ยม
“อาจิ่น ข้าเอง”
อวี้จิ่นที่ยืนรออยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปด้านใน
โดยมีเจียงซื่อเดินตามหลังเขา นางกระซิบถามอวี้จิ่นว่า “พี่รองของข้าอยู่ห้องใด”
“อยู่ทางนี้”
ห้องของเจียงจั้นถูกจัดไว้ข้างห้องหลงต้าน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านใน
อวี้จิ่นเดินตรงเข้าไปก่อน เขายิ้มขึ้นว่า “อาซื่อมาแล้ว”
เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก เขารอไม่ไหวและรีบเดินทางออกไปต้อนรับ
แต่กลับเห็นเป็นสตรีนางหนึ่งเดินตรงเข้ามา
เจียงจั้นตกตะลึงเบิกตากว้าง จากนั้นหันหลังวิ่งหนีทันที
เจียงซื่อกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่รอง ข้าเอง”
ตอนอยู่ในเผ่าอูเหมียว นางเคยพบพี่รองในหน้าตาของอาฮวามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เกรงว่าพี่รองจะหลุดกล่าวออกมา ดังนั้นนางจึงไม่ได้ทักทาย
ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดใด เมื่อพี่รองเห็นนางในหน้าตาของอาฮวาจึงได้ตกใจเพียงนี้
“น้อง น้องสี่?” เจียงจั้นดูเหมือนมีอะไรติดตรงลำคอ ท่าทางของเขายังคงงุนงง
“เหตุใดพี่รองจึงมีทีท่าเช่นนี้ อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือไม่” เจียงซื่อเดินตรงเข้าไปด้านหน้าแล้วกล่าวอย่างเป็นห่วง
เจียงจั้นถอยหลังออกไป เขาตอบด้วยท่าทีหวาดกลัวว่า “น้องสี่ เหตุใดเจ้าจึงหน้าตาเช่นนี้”
ฟังจากน้ำเสียง เป็นน้องสี่ของเขาไม่ผิดแน่ แต่เหตุใดน้องสี่จึงกลายมาเป็นอาฮวา
เจียงซื่อหัวเราะขึ้นว่า “ในเผ่าอูเหมียว มีสตรีนางหนึ่งมีนามว่าอาฮวา ข้าแปลงโฉมเป็นนางจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก”
เจียงจั้นหันหลังไปมองดูหลงต้าน
หลงต้านไม่ได้บอกกับตนเรื่องนี้!
หลงต้านถูกจ้องมองจนทำตัวไม่ถูก
เขาก็ไม่รู้ว่าพระชายาอ๋องเข้าไปในเผ่าอูเหมียวแล้วทำเรื่องใดบ้าง แน่นอนว่าเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสุ่มสี่สุ่มห้า
“แล้ว แล้วแม่นางอาฮวาที่คอยดูแลข้า…”
เจียงซื่อกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า “นั่นคืออาฮวาตัวจริง แต่ครั้งแรกที่พี่รองพบกับอาฮวา นั่นคือข้า”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเจียงจั้นสั่นคลอนเล็กน้อย เขากล่าวออกมาทีละคำว่า “ครั้งแรกคือน้องสี่?”
เจียงซื่อพยักหน้ากลอกตามองเขา “พี่รองรังเกียจว่าชื่ออาฮวาไม่น่าฟังเท่าอาหลานไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดต่อมาจึงเรียกให้อาฮวาไปรับใช้เล่า”
เจียงจั้นกล่าวออกมาอย่างสิ้นหวังว่า “ในตอนนั้นคาดว่าข้าคงเจ็บปวดที่บาดแผลจนสับสนไปเอง”
เสียงหัวเราะดังสนั่นออกมา
เจียงซื่อมองไปที่ต้นเสียง
หลงต้านเก็บเสียงหัวเราะแล้วทำท่าทางเคร่งขรึมทันใด
เจียงจั้นเดือดดาลยิ่งนัก เขาอย่างจะฆ่าเจ้าหลงต้านให้ตายไปเสียจริง
เขาช่างโง่จริง หลงต้านเอ่ยถามว่าเขาหนีออกมาได้อย่างไร เขากลับบอกไปว่าเขาหว่านเสน่ห์ทำให้แม่นางที่ดูแลตนอยู่นั้นหลงใหล
เจียงจั้นอยากจะตบหน้าตนเองเหลือเกิน
ไม่คุยโวมันจะตายหรือไรกัน แล้วอย่างไรเล่าครั้งนี้ ถูกจับได้เสียแล้ว…
“พี่รองหนีออกมาจากเผ่าอูเหมียวได้อย่างไร” แม้เจียงซื่อจะรู้สึกว่าปฏิกิริยาของเจียงจั้นดูแปลกไป แต่มีคำถามมากมายเหลือเกินที่อยากถาม ดังนั้นนางจึงไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
เจียงจั้นเล่าเรื่องที่ตนเดินทางออกมาจากเผ่าอูเหมียวให้ฟังอย่างละเอียด
เจียงซื่อมองไปทางหลงต้านและเหล่าฉิน กล่าวว่า “ผู้ที่รู้สึกได้ว่ามีอาฮวาสองคน ข้าพอจะเดาได้แล้วว่าคือผู้ใด”
หลงต้านเอ่ยแทรกขึ้นว่า “เป็นเจ้าเด็กหนุ่มที่ช่วยไว้ระหว่างทางใช่หรือไม่”
เจียงซื่อพยักหน้า “น่าจะเป็นเขา”
“ระหว่างทาง พวกเจ้ายังได้ช่วยเด็กเอาไว้ด้วยหรือ” อวี้จิ่นเอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
หลงต้านยิ้มตอบ “ที่จริงก็ไม่เด็กแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นชายหนุ่มอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี เขาเป็นผู้เคลื่อนย้ายศพ”
อวี้จิ่นมองไปทางเจียงซื่อแล้วตอบรับเบาๆ
มีทั้งหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว แล้วยังมีเด็กหนุ่มหามศพ อาซื่อของเขาไม่ธรรมดาจริงเชียว
เจียงซื่อหยิกอวี้จิ่นเบาๆ ให้เขาเก็บความหึงหวงไร้สาระนั่นเอาไว้บ้าง “พี่รอง เล่าเรื่องของพี่ที่ประสบมาให้เราฟังเถิด ท่านพ่อคิดว่าพี่ตายไปแล้วเสียอีก เขาเสียใจยิ่งนัก”
สีหน้าของเจียงจั้นเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็น เขาหุบยิ้มลงทันใด