ตู๋กูซิงหลันมั่นใจกับความคิดในใจของตนเองอย่างยิ่ง
แต่ยามที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับซื่อมั่วนั้น กลับเห็นแสงในดวงตาทั้งสองของซื่อมั่ว หม่นหมองลงไป
“อาจารย์มิได้โง่ แต่ว่าเจ้ากลับแกล้งทำเป็นโง่” ซื่อมั่วเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรถึงเรื่องนี้อีก
ลูกศิษย์ของตนเอง เขาเลี้ยงดูมากับมือ เขาย่อมรู้ดีว่า นางชาญฉลาดหลักแหลมเพียงไหน มิว่าเรื่องใดเพียงเอ่ยออกมาก็เข้าใจ เขาพูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ศิษย์ไม่มีทางจะไม่รู้อีก
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาหลับตาลง ภายใต้แสงเทียน ขนตาทอทาบจนเป็นเงาเข้ม
ในใจของนางก็พลันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
อาจารย์…..อาจารย์สีหน้าของท่านซีดขาว ยามที่ร่างกายอ่อนล้าเช่นนี้ดูแล้วยิ่งดูน่าดึงดูดยิ่งกว่ายามปกติเสียอีก
นางรีบหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว เปิดหัวข้อใหม่ว่า “อาจารย์ ต่อไปท่านมีแผนการเช่นไร?”
พวกชาวสวรรค์ติดตามมาเพื่อสังหารอาจารย์ ย่อมไม่มีทางยอมวางมือโดย
ง่าย
พวกนางก็ไม่นั่งรออยู่เฉยๆเช่นนี้ ปล่อยให้ศัตรูบุกเข้าประตูมาตัดหัวคนมิใช่หรือ?
“ ส่งเจ้ากลับไปโลกโน้น” ซื่อมั่วกล่าวอย่างเรียบเฉย โลกนี้ไม่ปลอดภัย หากรั้งนางไว้ที่นี่ก็อันตรายยิ่งกว่าอยู่ที่โน่น
“รอให้เส้นทางข้ามมิติของธารน้ำพุเหลืองเปิดออก ก็จะส่งเจ้ากลับไปในทันที”
ครั้งก่อนที่เขาไปที่ธารน้ำพุเหลือง ก็ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการเข้าฌาน คนอย่างซื่ิอมั่วมิว่ากระทำเรื่องใดล้วนมีจุดมุ่งหมาย
ก็เหมือนกับการเดิมหมาก ทันทีที่วางหมากนี้ลงไปก็คาดเดาออกแล้วว่าอีกหลายตาให้หลังสมควรจะเดินเช่นไรบ้าง
“แล้วท่านอาจารย์ล่ะ? จะไปด้วยกันไหม?” ประเด็นหลักของตู๋กูซิงหลันอยู่ที่ตัวเขาจะทำเช่นไร ไม่ใช่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร
“อาจารย์ย่อมมีแผนการสำหรับตนเอง” ซื่อมั่วไม่ได้บอกกับนาง เพียงล้วงเอาหยกสีดำราวน้ำหมึกขนาดครึ่งกำปั้นออกมา ส่งให้กับนาง
“เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าได้ทำหายอีก”
“นี่มัน….หยกสรรพชีวิต?” ตู๋กูซิงหลันยื่นสองมือไปรับหยกชิ้นนั้นมา ก่อนหน้านี้นางเคยมีหยกสรรพชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้แตกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลกโบราณ คิดไม่ถึงว่า อาจารย์จะยังมีหยกนี้เก็บเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
หยกชิ้นนั้นทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือของนางก็ซึมหายเข้าไปในดวงจิตของนาง ผนึกตัวฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณของนางในทันที
หยกสรรพชีวิตครึ่งชิ้นนี้ ที่จริงก่อนหน้านี้ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลกใบอื่นๆ แต่ว่าซื่อมั่วใช้ความเพียรพยายามรวบรวมพวกมันแต่ละชิ้นกลับมา
กว่าจะได้มาเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นเขาไม่คิดจะบอกนางแม้แต่น้อย
เขานั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่ม สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบา นั่งอยู่กับตู๋กูซิงหลันเช่นนี้ตลอดทั้งคืน
……………………
พอนางกลับไปที่สวนกุหลาบ ก็ไม่เห็นจีเฉวียนแม้แต่เงาแล้ว
ถึงแม้จะตามหาจนรอบสวนไปรอบหนึ่ง ก็ไม่เจอคนแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันตามหาเสินฟางจนเจอ เสินฟางกุมสร้อยหินเอาไว้ในฝ่ามือ ตอบว่า “เมื่อคืนนี้ฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้น ติดตามคุณหนูออกไปด้วยกันนิ คงไม่ได้ถูกสุนัขป่าคาบไปกินแล้วหรอกนะ?”
“เฮ่อ ช่วงนี้หุบเขาปีศาจยิ่งไม่ค่อยสงบอยู่ด้วย มักมีพวกสุนัขป่าออกมามากมาย พวกมันชอบกินเนื้อบุรุษหนุ่มเป็นพิเศษ”
หากนับตามอายุ จีเฉวียนก็เพียงแค่ยี่สิบห้าเท่านั้น หากว่ามาเปรียบเทียบกับเขาและซื่อมั่ว ก็ต้องเรียกว่าเป็นหนุ่มน้อยที่อ่อนนุ่มจนไม่รู้จะนุ่มยังไงแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง จีเฉวียนใช่คนที่จะถูกสุนัขป่าคาบไปกินได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ?
เสินฟางค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เป็นปีศาจจิ้งจอก ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน พลังปีศาจช่างรุนแรงนัก”
ตู๋กูซิงหลัน “…….” หุบเขาปีศาจเป็นถิ่นของนางและอาจารย์ แล้วจะมีปีศาจอาละวาดได้หรือ? ช่วงนี้นางก็รู้สึกอยู่บ้างว่าหุบเขาปีศาจไม่ค่อยสงบ แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ภูติผีปีศาจก็กล้าออกอาละวาดด้วย?
“ตอนที่คุณหนูสัมผัสได้ว่าใต้เท้าซื่อมั่วมีอันตราย ก็รีบร้อนออกไปโดยไม่มีลังเล จนลืมไปว่าที่ข้างหลังยังมีฮ่องเต้ชาวมนุษย์อยู่อีกผู้หนึ่ง ….ตอนนั้น เกรงว่าท่านคงไม่ได้นึกถึงเขาแม้แต่น้อยใช่หรือไม่?” เสินฟางชอบจี้ใจดำผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
เขายืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าเงาร่างเหมือนจะล่องลอยอยู่ในอากาศ
ดวงตาที่ปราศจากลูกตาสีขาวนั้นจดจ้องไปที่นาง แววตาที่คมกริบคล้ายจะมองลึกเข้าไปถึงวิญญาณของนางอย่างไรอย่างนั้น “คุณหนูชื่นชอบฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะมีเหตุผลอื่น….”
เงียบไปครู่หนึ่ง เสินฟางถึงได้เอ่ยต่อไปว่า “มิใช่เป็นเพราะว่าเขาคือร่างแบ่งภาคของใต้เท้าซื่อมั่ว ท่านถึงได้ชอบเขาหรอกหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันคิดจะเถียง เสินฟางก็ชิงสกัดคำพูดของนาง “เมื่ออยู่ตรงหน้าข้า คุณหนูอย่าได้ยกคำพูดที่ว่าพวกเขามิใช่คนเดียวกันขึ้นมาอีก”
“คุณหนู ท่านชอบฮ่องเต้ผู้นั้นที่ใดกัน?”
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาถามจนตกตะลึงไปแล้ว
จริงด้วย….นางชอบจีเฉวียนเพราะอะไร?
นางเองก็บอกไม่ถูก
“ดูเถอะ ขนาดท่านเองยังบอกไม่ได้เลย” เสินฟางส่ายศีรษะ “เช่นนั้นก็ให้ข้าบอกท่านเถอะ ที่คุณหนูชอบฮ่องเต้ผู้นั้น ก็เป็นเพราะยามที่ท่านอยู่ในโลกโบราณ ท่านค้นพบว่าเขาและอาจารย์ของท่านใต้เท้าซื่อมั่วมีส่วนเกี่ยวข้องกัน”
“ท่านชอบเขาก็เพราะใต้เท้าซื่อมั่วเป็นเหตุ ไม่ใช่เพราะว่าเขาคือฮ่องเต้ของต้าโจว หรือชอบเพราะเขาคือจีเฉวียน”
“พูดถึงที่สุดแล้ว ที่จริงแล้วคนที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจท่าน คนที่ท่านผูกพันมากที่สุดก็คืออาจารย์ของท่าน ไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้นั้น”
ดวงตาดอกท้อของตู๋กูซิงหลันหรี่ลง จับจ้องไปที่เขา “เจ้าไม่ใช่ข้า เจ้าจะมาเข้าใจอะไร?”
จากมุมมองของเสินฟาง นางเป็นสตรีหลายใจอย่างไม่มีข้อสงสัย
แต่ว่าน่าเสียดายที่นางกลับไม่เคยรู้ตัว
“เพราะข้าได้เฝ้าดูการทรยศรักของพวกมนุษย์มากว่าพันปี ข้าเห็นความรัก ความแค้น ความเจ็บปวดของผู้คนในใต้หลามาจนชินชา จนสามารถมองหัวใจของพวกเขาออก แต่ว่าผู้ที่ทั้งรักของใหม่เสียดายของเก่าอย่างคุณหนู กลับพึ่งจะได้เคยพบเป็นครั้งแรก”
น้ำเสียงของเสินฟางแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แต่ละคำๆเหมือนกับเสียงของวิญญาณที่สามารถทะลวงเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้คน
ราวกับว่าเมื่ออยู่ตรงหน้าเขา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถซุกซ่อนความในใจใดใดของตนเองได้อีก
“จนถึงวันนี้คุณหนูก็ยังไม่อาจอ่านใจของตนเองออก หรือบางที่อาจบอกได้ว่า …ท่านชอบพวกเขาทั้งคู่ ตามองในชาม ใจคิดไปถึงในหม้อ ใช่หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ใช่เป็นเพราะว่า ยามปกตินางใกล้ชิดท่านอาจารย์มากเกินไป จึงทำให้คนผู้นี้เข้าใจผิดไปหรือไม่?
นางเองก็คร้านที่จะอธิบายอะไรให้เขาฟัง เขาบอกว่านางคือสตรีเจ้าชู้ เช่นนั้นก็ใช่เถอะ
เพราะถึงอย่างไรตอนอยู่ที่แคว้นเหยียน วังหลังของนางก็ยังมีพวกหนุ่มน้อยหน้ามนตั้งมากมายรอคอยให้นางกลับไปอยู่นี่
“คุณหนู โปรดฟังเอ่อ…..ข้าสักคำ คนที่แต่แรกก็ไม่สมควรจะคงอยู่ในโลกนี้อยู่แล้วนั้น ปล่อยเขาไปเถอะ” ยากนั้นที่เสินฟางจะพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความอดทน
“ที่ท่านกลับมายังโลกปัจจุบันใบนี้ย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อมีความรัก ใต้หล้ากำลังวุ่นวาย ท่านสมควรเคียงบ่าเคียงไหล่กับใต้เท้าซื่อมั่ว บนบ่านั้น แบกรับชีวิตของผู้คนเอาไว้นับพันนับหมื่น…..”
“เสินฟาง อย่าได้ลืมว่าก่อนหน้านี้ เจ้าเองก็เกือบจะสังหารผู้คนหมดสิ้นทั้งเมือง ตอนนี้กลับมาพูดดีเรื่องคุณค่าของชีวิตกับข้าหรือ?” ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยเข้าใจเสินฟางเท่าใดนัก
เขาคือหนึ่งในสิบพญายมราช นับๆดูแล้วก็ต้องถือว่าเป็นลูกน้องเก่าแก่ของอาจารย์
แต่ว่าก่อนหน้านี้กลับไม่เคยเห็นเขาให้ความเคารพอาจารย์เป็นพิเศษสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้ พวกนางต่างก็เคยเป็น ‘คู่แค้นสังหาร’ ของกันและกัน แต่ว่าตอนนี้กลับกลายเป็น ‘นายบ่าว’แล้วยังมาถกเถียงกันเรื่องสรรพชีวิตในใต้หล้า ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าใต้หล้านี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความอัศจรรย์จริงๆ
“ตอนนั้น…..” น้ำเสียงของเสินฟางเข้มข้นขึ้นมา “เป็นเพียงเหตุบังเอิญ”
‘อุบัติเหตุ’ ในตอนนั้น ทำเอาเขาคุ้มคลั่งจนไล่ล่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน เขาถูกกลิ่นอายของวิญญาณคับแค้นทั้งหลายเล่นงานจนเส้นผมยาวสลวยบนศีรษะไร้ซึ่งประกายอีกต่อไป
เป็นเช่นนี้จริง….ตอนนั้นหากว่ามิได้เป็นเพราะตู๋กูซิงหลัน เกรงว่าเขาคงจะทำลายชีวิตผู้คนทั้งเมืองไปตั้งแต่แรกแล้ว
……………………………