เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินใจเช่นนั้น เขาก็ไม่อยากชักช้ายืดยาด “จะว่าไปแล้ว เมื่องานฉลองปีใหม่ สะใภ้เจ็ดก็มิได้เข้าวัง ข้ายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ…”
ฮองเฮาลอบดึงมุมปาก
พระชายาเยี่ยนอ๋องมิได้มาร่วมงานเลี้ยงรวมตัวของราชวงศ์ ฝ่าบาทในตอนนั้นยังออกปากชมนางอยู่เลย เหตุไฉนถึงเพิ่งมาไม่สบายพระทัยเอาตอนนี้… พระทัยขององค์จักรพรรดิล้ำลึกเสียยิ่งกว่าผืนสมุทร
“ฮองเฮา เจ้าว่าข้าควรส่งใครไปจึงจะเหมาะที่สุด”
เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสถาม แลดูเหมือนว่าฮองเฮาจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว
หากไม่มีเรื่อง ฝ่าบาทคงไม่เสด็จมาถึงตำหนักคุนหนิง เพราะส่งพานไห่ไปก็คงไม่เหมาะนัก
หากทบทวนดูจะรู้ว่านี่มิใช่เรื่องแปลก พระชายาเยี่ยนอ๋องป่าวประกาศว่าตนจะเฝ้าภาวนาสวดมนต์จนกว่าเยี่ยนอ๋องจะกลับมา ในระหว่างนี้นางจะไม่ออกมาพบหน้าผู้ใด แต่หากจู่ๆ ฮ่องเต้ก็ส่งขันทีคนสนิทไปที่จวนเยี่ยนอ๋องอาจทำให้เรื่องนี้กลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นๆ ก็เป็นได้
มีสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงไว้เสมอคือ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในวงศ์วานของกษัตริย์ เรื่องนั้นอาจต่างออกไป
ฮองเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสนอ “ให้ฝูชิงเป็นคนไปก็แล้วกันเพคะ”
“ฝูชิงงั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ทันคิดถึงธิดาสุดที่รักของตน
ฮองเฮาหัวเราะ “เพคะ ฝูชิงและพระชายาเยี่ยนอ๋องมีชะตาต้องกัน งานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่มิได้พบหน้า นางยังบ่นคิดถึงอยู่เลยเพคะ เด็กสาวออกไปสูดอากาศข้างนอกวัง และถือโอกาสเยี่ยมเยียนพี่สะใภ้คนสนิทคงไม่ให้ผู้ใดรู้สึกติดใจ ฝ่าบาท ทรงคิดเห็นเช่นไรเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังแล้วค่อยๆ พยักหน้าตาม “ที่ฮองเฮาว่ามาก็มีเหตุผล เช่นนั้นให้ฝูชิงไปเยี่ยมนางก็แล้วกัน พวกเราจะได้สบายใจ”
สบายใจเรื่องอะไร จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ระบุชัด แต่ทว่าฮองเฮารู้อยู่แก่ใจ
เมื่อพระชายาเยี่ยนอ๋องมิได้ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นเวลานานเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียวที่มีหน้าตาเหมือนพระชายาเยี่ยนอ๋องปรากฏตัวทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้อดแคลงใจไม่ได้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องและสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียวมีความเกี่ยวข้องกัน
แม้ความเคลือบแคลงสงสัยนี้แลดูห่างไกลความเป็นจริง แต่ถึงกระนั้นกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าต้องมาตามแก้ทีหลัง ฉะนั้นแล้วส่งคนไปตรวจสอบให้แน่ใจถึงจะวางใจได้
“ฝูชิงกลับมาจากตำหนักเสด็จแม่แล้วหรือยัง”
“น่าจะกลับมาแล้วเพคะ”
เดิมทีจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากแสดงออกว่าร้อนใจ แต่ในเมื่อฮองเฮาทราบทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องที่หยางเฟยสวมเขาให้เขา เขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังฮองเฮาอีกแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงกล่าวเร่ง “เช่นนั้นก็บอกให้ฝูชิงไปเดี๋ยวนี้เลยก็แล้วกัน”
ฮองเฮาชะงักเพียงชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า “เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปบอกฝูชิงเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทที่ไม่มีสิ่งใดจะเสีย นางจะพูดอะไรได้
เมื่อองค์หญิงฝูชิงได้รับคำสั่งให้ไปเยี่ยมจวนเยี่ยนอ๋อง นางก็ยินดีอย่างยิ่ง “ลูกออกไปหาพี่สะใภ้เจ็ดได้หรือเพคะ”
ฮองเฮาส่งยิ้มอ่อนโยน “ไปเถอะ มิได้พบหน้าสะใภ้เจ็ดมาตั้งนานแล้ว ข้าเองก็คิดถึงนางเหมือนกัน”
องค์หญิงฝูชิงกลอกตาไปด้านข้างพลางขอร้อง “เสด็จแม่ ลูกพาน้องสิบสี่ไปด้วยได้ไหมเพคะ”
เดิมทีองค์หญิงทั้งสองรู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่เพราะต้องไปอยู่กับไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิงด้วยกันเป็นประจำ นานวันเข้าก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
องค์หญิงฝูชิงเป็นคนจิตใจดี ส่วนองค์หญิงสิบสี่ก็เป็นคนวางตัวเหมาะสม ทั้งคู่มีอายุไล่เลี่ยกันจึงเข้ากันได้ดี
เมื่อองค์หญิงฝูชิงขอร้องเช่นนั้น ฮองเฮาก็ลังเลเล็กน้อย
“เสด็จแม่ อนุญาตเถิดนะเพคะ โอกาสที่ลูกจะได้ออกไปนอกวังมีน้อยนัก ส่วนโอกาสของน้องสิบสี่คงน้อยยิ่งกว่า…คิดเสียว่าให้นางไปเป็นเพื่อนลูกอย่างไรเพคะ”
ครั้นเห็นบุตรีหัวแก้วหัวแหวนร้องขอด้วยวาจาออดอ้อน ฮองเฮาก็พยักหน้ารับในที่สุด แต่มิวายเอ่ยกำชับ “เมื่อไปเยี่ยมสะใภ้เจ็ดแล้วก็รีบกลับวัง ห้ามไปก่อเรื่องที่ไหนเด็ดขาด”
“เสด็จแม่ ลูกอยากไปเที่ยวเล่นที่ตลาด…” แต่แล้วองค์หยิงฝูชิงกลับรู้สึกว่าตนเองกำลังขอมากเกินไป
ครั้นหวนคิดถึงเสด็จพ่อที่มีโอกาสได้ออกไปข้างนอกแค่ปีละครั้ง นางก็สำนึกได้ว่าตัวเองยังมีโอกาสออกจากวังมากกว่า ฉะนั้นการขอร้องเช่นนั้นช่างไม่รู้สำนึกเอาเสียเลย
ฮองเฮาจ้องมองแววตาของบุตรสาวโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองควรต้องรู้สึกเช่นไร
เจ้าฝูชิงเนี่ยน้าช่างเป็นเด็กเถรตรงเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือว่าแอบหนีไปก็ได้ ไม่เห็นต้องอนุญาตจากนาง
ฮองเฮาคิดเช่นนั้น ความสงสารที่มีต่อบุตรสาวก็ทวีมากกว่าก่อน “ไปเที่ยวที่ตลาดได้ แต่อย่าไปนานนักล่ะ…”
องค์หญิงฝูชิงรีบตอบรับด้วยความยินดี
แม้องค์หญิงทั้งสองจะออกจากวังโดยใช้รถม้าอย่างเรียบง่าย แต่ถึงกระนั้นก็มีเหล่าองครักษ์ติดตามไปไม่น้อย กองขบวนขององค์หญิงมุ่งหน้าไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง
ทันทีที่จี้หมัวมัวได้รับแจ้งว่าองค์หญิงทั้งสองมาเยี่ยมที่จวน ดวงตาของนางก็กลอกเป็นวงประหนึ่งว่ากำลังจะเป็นลมล้มพับไป
จะเป็นลมตอนนี้ไม่ได้!
นางออกแรงหยิกเข้าที่เนื้อของตัวเอง หัวใจเต้นกระตุกไม่เป็นจังหวะ ในวินาทีนั้นนางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
บ่าวรับใช้ที่เข้ามาแจ้งข่าวนี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “หมัวมัว ท่านต้องไปแจ้งพระชายามิใช่หรือ…”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!” จี้หมัวมัวตอบสั้น ทว่าในใจลนลานเกินบรรยาย
พระชายานะพระชายา พระนางกำลังจะพาจวนทั้งหลังไปลงเหวแล้วจริงๆ!
องค์หญิงเสด็จมาถึงที่เช่นนี้ ไม่ให้เข้าพบคงไม่ได้ แต่พระชายาก็ไม่อยู่ที่จวน แล้วทีนี้จะทำอย่างไร
จี้หมัวมัวร้อนใจจนเหงื่อกาฬแตกโซกเต็มหน้าผาก
ในตอนนั้น นางนึกโมโหตัวเองที่เลือกปิดบังเรื่องพระชายาจากจั่งสื่อ
การบอกเรื่องนี้แก่จั่งสื่อจะช่วยอะไรได้อย่างนั้นหรือ
เปล่าเลย เพียงแต่ถ้าคนรู้เรื่องเพิ่มอีกคน ตอนนี้ก็คงมีคนช่วยกันร้อนใจ
“หมัวมัว เป็นอะไรไปหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
จี้หมัวมัวหลุดจากภวังค์ นางปรับสีหน้าให้เข้าที่ “เชิญองค์หญิงทั้งสองไปคอยที่ห้องบุปผาก่อนก็แล้วกัน ส่วนข้าจะไปกราบทูลพระชายา”
หมู่นี้ไม่ว่ามีเรื่องใด จี้หมัวมัวจะเป็นคนไปแจ้งพระชายาเองเสมอ ฉะนั้นแล้วบ่าวรับใช้จึงมิได้ติดใจในส่วนนี้ นางรีบไปจัดแจงตามคำสั่ง
จี้หมัวมัววิ่งพรวดไปที่อวี้เหอย่วนด้วยความเร็วจนลมหายใจไม่สอดประสานเป็นจังหวะอย่างที่ควร
อาหมานเห็นเช่นนั้นก็กลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “จี้หมัวมัว ท่านมีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ…”
“องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่มาเยี่ยมพระชายา!” จี้หมัวมัวรีบกล่าวทั้งที่หายใจยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ
รอยยิ้มของอาหมานหายวับไปในพริบตา นางถามเสียงสูง “ใครมานะ!”
จี้หมัวมัวกระทืบเท้าพลางบอก “องค์หญิงฝูชิงกับองค์หญิงสิบสี่! องค์หญิงฝูชิงคือพระธิดาในฮ่องเต้และฮองเฮา เสด็จมาเยี่ยมพระชายาถึงที่ จะปฏิเสธการเข้าเยี่ยมคงไม่ได้ ทีนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
ครั้นเห็นอาหมานและอาเฉี่ยวหันมามองตากับปริบๆ จี้หมัวมัวก็ได้แต่กลอกตามองบน นางยกมือกุมอกพลางบอก “พระชายาสร้างเรื่อง ส่วนพวกเจ้าก็บ้าจี้เออออตามไปด้วย เป็นอย่างไรล่ะ ทีนี้ความซวยถึงได้มาเยือนถึงหน้าประตู!”
อาหมานเริ่มมีน้ำโห นางสบถ “วันมงคลขึ้นปีใหม่ มาพูดความซงความซวยเนี่ยนะ ปากหมัวมัวจะพูดอะไรมงคลๆ ไม่ได้เลยรึ”
เพราะเห็นแก่การที่จี้หมัวมัวอุตส่าห์ร่วมหัวจมท้ายไปกับพวกนาง มิฉะนั้นนางคงซัดจี้หมัวมัวจนร้องไห้โฮไปแล้ว
อาเฉี่ยวกลับดูสงบนิ่งยิ่งกว่า นางเพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบ “จี้หมัวมัวมิต้องร้อนใจไป ท่านไปแจ้งองค์หญิงทั้งสองว่าพระชายากำลังสวดภาวนาเพื่อท่านอ๋อง เหนียงเหนียงได้ปฏิญาณไว้ว่า ตราบใดที่ท่านอ๋องยังไม่เสด็จกลับมา พระนางก็จะไม่ก้าวออกจากประตูหอพระแม้แต่ก้าวเดียว หากองค์หญิงทั้งสองต้องการพบพระพักตร์พระชายาก็ต้องรบกวนให้เสด็จไปที่หอพระ”
เท้าของจี้หมัวมัวยังคงฝังรากอยู่ที่เก่า “หากองค์หญิงทั้งสองต้องการเสด็จไปจริงจะทำอย่างไร”
สีหน้าของอาเฉี่ยวยังคงนิ่งเรียบ “เช่นนั้นก็รบกวนหมัวมัวนำทางองค์หญิงทั้งสองไปที่นั่น ส่วนข้าและอาหมานจะคอยอยู่ที่นั่น”
จี้หมัวมัวอ้าปากค้าง ในใจของนางยังคงว้าวุ่น
พาไปแล้วอย่างไรต่อ หากไปแล้วไม่เจอพระชายาจะให้ทำอย่างไร
หญิงรับใช้สองคนนี้เล่นตลกอะไรกัน
“จี้หมัวมัวรีบไปเถอะ ปล่อยให้องค์หญิงคอยนานจะไม่ดี จวนของเราอาจถูกตำหนิเอาได้” อาเฉี่ยวออกปากเร่ง
จี้หมัวมัวในตอนนี้คล้ายกับถูกโยนขึ้นเตาย่างที่กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง นางทำได้เพียงกลั้นใจเดินกลับไปที่ห้องบุปผา
ครั้นองค์หญิงฝูชิงได้ยินว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่ที่หอพระ นางก็กล่าวด้วยความเกรงใจ “จริงอยู่ที่ท่านพี่สะใภ้เจ็ดกำลังสวดภาวนา พวกเรามิควรเข้าไปรบกวน แต่เพราะข้าคิดถึงนางยิ่งนัก ฉะนั้นข้าขอถือวิสาสะหน่อยก็แล้วกัน”