ทั้งคู่เดินออกมาจากเขตวังหลวง เจียงจั้นชะงักฝีเท้าพลางหันไปกระซิบถามอวี้จิ่น “เหตุใดถึงไม่กราบทูลฝ่าบาทเรื่องที่มีคนลอบยิงธนูใส่ข้า”
อวี้จิ่นเหม่อมองไปที่กำแพงสีชาดที่ถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์พลางกล่าวแผ่วเบา “มิต้องรีบร้อน คราวหน้าเข้าวังค่อยกราบทูล”
กว่าจะได้กลับบ้าน เขาต้องห่างจากบุตรสาวและภรรยาสุดที่รักมาตั้งนาน ฉะนั้นวันนี้ขอให้เขาได้กลับถึงจวนก่อน หากกราบทูลฝ่าบาทวันนี้คงมีเรื่องยุ่งตามมาอีกมาก และเกรงว่าจะทำให้เสียเวลาอีกตามเคย
เจียงจั้นมองไปที่ใบหน้าครุ่นคิดของอวี้จิ่นแล้วจึงลงความเห็นในใจว่า ท่านอ๋องคงกำลังวางแผนอยู่เป็นแน่ เขาจึงเลิกซักไซ้
เมื่อเดินมาถึงปากทาง อวี้จิ่นที่กำลังจูงม้าเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากลับจวนก่อนก็แล้วกัน ไว้ข้าจะพาอาซื่อกลับไปเยี่ยมจวนปั๋ววันหลัง”
เมื่อข่าว ‘ตายแล้วฟื้น’ ของเจียงจั้นแพร่ออกไป ต่อให้ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่ผู้ใดก็ตามที่รู้จักครอบครัวของเขาก็ควรไปเยี่ยมเยียนถามไถ่
เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยทันควัน “ให้ข้ากลับจวนอ๋องไปกับเจ้าเถอะ ข้ากำลังอยากเจอหน้าหลานสาวอยู่พอดี”
อวี้จิ่นเหม็นหน้าชายผู้นี้เกินจะกล่าว แต่ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
ช่วยไม่ได้ ก็ในเมื่อลุงอยากเจอหลานสาว แล้วจะไปห้ามได้อย่างไร
ทั้งสองควบม้าเร็วรี่กลับไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง
วินาทีที่เท้าเหยียบหน้าประตูจวนอ๋อง เสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้นจากหน้าประตูใหญ่ “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว…”
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่จี้หมัวมัวออกมาทำธุระหน้าเรือนพอดี นางส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นพร้อมสับเท้าวิ่งหายไป
เจียงจั้นที่เห็นดังนั้นรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาหันไปทางอวี้จิ่นพลางกล่าว “ท่านอ๋องคงเป็นขวัญใจของบ่าวรับใช้ในจวนสิท่า”
อวี้จิ่นลูบคางพร้อมดวงตาเป็นประกาย “ก็ใช่น่ะสิ ข้าชินกับการเป็นขวัญใจของผู้คนเสียแล้ว”
เมื่อครู่คนที่ส่งเสียงเอะอะและวิ่งหายไปคือจี้หมัวมัวงั้นรึ
เหตุใดออกจากจวนคราวนี้ จี้หมัวมัวที่แสนจะเคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้วถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
เมื่อคิดดังนั้น ฝีเท้าของอวี้จิ่นก็เร่งความเร็วขึ้น
จี้หมัวมัวรีบวิ่งเร็วรี่จนชนเข้ากับจั่งสื่อที่รี่ออกมาเพราะได้ยินคำกล่าวของคนเฝ้าประตู
จั่งสื่อดึงหน้าขมึงทึงพร้อมกล่าวตำหนิ “จี้หมัวมัว ต่อให้ท่านอ๋องเสด็จกลับมา เจ้าก็ควรเก็บอาการหน่อย อายุอานามเท่านี้แล้วทำตัวเป็นสาวรับใช้วัยขบเผาะไปได้…”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร!” จี้หมัวมัวผลักจั่งสื่อจนพ้นทางก่อนจะวิ่งหายวับไป
ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจั่งสื่อจะได้สติ เขาก็ถอนหายใจ “นับวันจวนอ๋องยิ่งแย่ลง นับวันโลกนี้ยิ่งแย่ลง!”
จี้หมัวมัวกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คงติดนิสัยจากพระชายาแน่นอน!
อวี้จิ่นเดินเข้ามาใกล้ชายชราเคราสีเงินที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “จั่งสื่อบ่นอะไรอยู่หรือ โลกแย่ลงแล้วเหตุใดถึงต้องลากจวนอ๋องเข้าไปเอี่ยวด้วยเล่า”
จั่งสื่อที่ถูกต้อนกลอกตาแต่ไม่กล้าพูดสิ่งที่คิด
ท่านอ๋องจะมาทำหน้าดุดันใส่เขาทำไม ในเมื่อก่อนหน้านี้มันเคยดี ที่เขาบ่นก็เพราะตอนนี้จวนอ๋องกำลังจะแย่ลงอย่างไรล่ะ!
จี้หมัวมัวรีบวิ่งมาที่อวี้เหอย่วน ใจของนางกำลังร้อนเป็นไฟ
จั่งสื่อตัวดียังมีหน้ามาสอนนาง นางต้องทนรับแรงกดดันตั้งเท่าไหร่ เขาเคยรับรู้ด้วยหรือ เป็นเพราะนางกลัวว่าหากตาแก่นั่นรู้ความจริงทั้งหมดจะรับไม่ไหวจนเป็นลมลาโลกไปเสียก่อน นางถึงได้อดทนรับเรื่องนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่าตาแก่นั่นกลับมาตำหนินางเสียอย่างนั้น
ที่บอกว่านางไม่เก็บอาการ นางก็อุตส่าห์ไม่ถือสาหาความ แต่เขายังมาพูดเรื่องอายุของนางอีก
ถุ้ย อีตาแก่หน้าย่นขนาดทับยุง ยุงยังตาย ยังมีหน้ามาพูดว่านางอายุมาก!
จี้หมัวมัววิ่งมาพร้อมกับความรู้สึกคับแค้น ใบหน้าของนางแดงก่ำ และลมหายใจก็ติดขัดไม่เป็นจังหวะ นางเอ่ยเสียงแหลม “อาหมาน อาเฉี่ยว ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”
อาหมานและอาเฉี่ยวหันมาสบตากันก่อนจะหันกลับไปมองจี้หมัวมัวที่วิ่งมาจนผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ภาพตรงหน้าทำให้ทั้งคู่รู้สึกผิดเล็กน้อย
ในจวนอ๋องมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้คือ อาเฉี่ยว อาหมาน และหงเสี้ยน ซึ่งทั้งหมดเป็นคนรับใช้คนสนิทของเจียงซื่อ แต่มีเพียงจี้หมัวมัวคนเดียวที่ยังไม่ทราบว่าเจียงซื่อกลับมาแล้ว
ฉะนั้นเมื่อเห็นจี้หมัวมัวตื่นเต้นจนออกนอกหน้า สาวรับใช้ทั้งสองก็เข้าใจความรู้สึกของนาง สาเหตุที่จี้หมัวมัวตื่นเต้นเป็นเพราะนางคิดว่า ในที่สุดพระชายาที่แอบหนีออกไปกลับมาเสียที นางจะได้ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว นางมิได้ตื่นเต้นดีใจเพราะเยี่ยนอ๋องอย่างที่ปากว่า
อันที่จริง พระชายากลับมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพียงแต่พวกนางไม่ได้แจ้งให้จี้หมัวมัวทราบก็เท่านั้น…
เมื่อเห็นสาวรับใช้ทั้งสองไร้การตอบสนอง จี้หมัวมัวจึงเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”
อาเฉี่ยวรีบแสดงสีหน้ายินดี “ท่านอ๋องกลับมาแล้วรึ ดีจริงๆ ข้าจะรีบไปกราบทูลพระชายา!”
อาหมานแสดงละครได้ไม่เก่งเท่าอาเฉี่ยว นางจึงถามว่า “ท่านอ๋องกลับมาคนเดียวงั้นหรือ”
“เปล่า…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จี้หมัวมัวก็ชะงักไปชั่วครู่ “ไม่ได้กลับมาคนเดียว มีอีกคนกลับมากับท่านอ๋อง…”
อายุของเขาน่าจะไล่เลี่ยกับท่านอ๋อง หน้าตาหล่อเหลาน้อยกว่าท่านอ๋องนิดหน่อย อีกทั้งยังสามารถเดินคู่กับท่านอ๋องได้ ว่าแต่พ่อหนุ่มนั่นมาจากไหน จะว่าไปแล้วหน้าตาก็ดูคุ้นๆ…หน้าคุ้นๆ งั้นหรือ
ทันทีที่จี้หมัวมัวฉุกคิดขึ้นได้ ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดทันใด ร่างกายทั้งร่างเริ่มสั่นสะท้าน
อาหมานที่เห็นดังนั้นก็ตกใจไม่น้อย นางรีบเข้าไปพยุงจี้หมัวมัว “จี้หมัวมัว เป็นอะไรไปรึ”
ริมฝีปากของนางซีดเซียว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นไหวแทบจะไม่เป็นคำ “คุณ คุณชายรองเจียง…”
ในขณะนั้นเจียงซื่อก็เดินออกมาพอดี นางคว้าข้อมือของจี้หมัวมัวพลางถามอย่างกระตือรือร้น “เจ้าว่าอะไรนะ”
เสียงของจี้หมัวมัวขาดห้วงไป แววตาตื่นตะลึงจดจ้องไปที่ใบหน้าของเจียงซื่อ
เจียงซื่อรอให้จี้หมัวมัวบอกเรื่องพี่ชายของตนเสียก่อน นางจะได้เล่นละครตามน้ำ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จี้หมัวมัวใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด”
“พระ พระชายา?” จี้หมัวมัวชี้ไปที่เจียงซื่อ “พระองค์…”
เจียงซื่อส่งยิ้มให้จี้หมัวมัว “ข้าทำไมรึ”
จี้หมัวมัวพลันได้สติ ยิ้มร่าขนาดนี้ เป็นพระชายาไม่ผิดแน่ ไม่มีทางเป็นพี่สาวที่แสนอ่อนโยนของพระนางอย่างแน่นอน
“เมื่อครู่หมัวมัวลนลานเรื่องอะไรหรือ”
จี้หมัวมัวเก็บความสงสัยเรื่องเจียงซื่อเอาไว้ก่อน นางรีบเล่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า “ท่านอ๋องพาคุณชายรองเจียงกลับมาด้วยเพคะ…”
เจียงซื่อพรวดพราดออกไปจากอวี้เหอย่วน
จี้หมัวมัวคว้าตัวอาเฉี่ยวที่เดินอยู่หลังสุดมาถาม “อาเฉี่ยว นี่มันอะไรกัน”
อาเฉี่ยวกะพริบตา “หมัวมัวถามเรื่องอะไรรึ”
จี้หมัวมัวลดเสียงพลางถาม “พระชายากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ต้ากูไหน่ไนแซ่เจียงยังปลอมเป็นพระนางอยู่เลยมิใช่หรือ”
อาเฉี่ยวขมวดคิ้ว “หมัวมัวพูดอะไร พระชายาก็สวดมนต์ให้ท่านอ๋องอยู่ในหอพระมาโดยตลอด”
สายตาของจี้หมัวมัวมองตามอาเฉี่ยวที่รีบเดินหนีไป ส่วนตัวนางได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก
บัดนี้นางตรัสรู้ทุกสิ่งแล้ว สาวรับใช้ข้างกายของพระชายาต่างหากที่ฉลาด ส่วนนางเป็นคนโง่…
“อาซื่อ ข้ากลับมาแล้ว” อวี้จิ่นเห็นเจียงซื่อเดินรี่ออกมาก็รีบเข้าไปกอด
เจียงจั้นกลอกตายกใหญ่
เขาอุตส่าห์ ‘ตายแล้วฟื้น’ กลับมา น้องสี่ควรจะดีใจโผเข้ากอดเขาต่างหาก แสดงแบบนี้ไม่สมจริงเอาเสียเลย
เจียงจั้นเฝ้ามองทั้งคู่กอดกันก่อนจะกระแอมกระไอ
เจียงซื่อดันอวี้จิ่นออกไปก่อนจะถลาตัวไปหาเจียงจั้น “พี่รอง ดีเหลือเกินที่พี่ไม่เป็นอะไร…”
นางยังเดินมาไม่ถึงเจียงจั้นก็ถูกอวี้จิ่นรั้งตัวไว้ก่อน
“อาซื่อ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน เราเข้าไปคุยข้างในกันดีกว่า” อวี้จิ่นหัวเราะคิกคักพลางจูงเจียงซื่อเข้าไปด้านใน แต่ทว่าในใจกลับยิ้มเยาะ
เจียงจั้นนี่หน้าไม่อายเข้าไปทุกที ได้คืบจะเอาศอก หมายจะใช้โอกาสนี้กอดภรรยาของเขาล่ะสิ
ในขณะที่อวี้ชีกำลังรำพึงรำพัน เงาดำก็พุ่งพรวดออกมาหาเจียงซื่อ