“จริงของท่านยาย คนหน้าเหมือน แม้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก แต่ก็คงมี หลานคงคิดเตลิดไปเองเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยิ้มรับคำของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยิน แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง
เมื่อครู่ท่านยายหลบตานาง
สำหรับเจียงซื่อ อากัปกิริยาเช่นนี้อาจบ่งบอกถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ
เมื่อต้องเผชิญหน้าหลานสาว เหล่าฮูหยินที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายจะมีเรื่องใดติดค้างอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ
แม้เจียงซื่อจะไม่อยากสงสัยในตัวญาติผู้ใหญ่ที่นางรู้สึกใกล้ชิดด้วย แต่เพราะนางกล่าวกับท่านยายด้วยประโยคเดียวกันกับที่กล่าวกับบิดา แต่ปฏิกิริยาของทั้งคู่กับต่างกันโดยสิ้นเชิง
ท่านพ่อแสดงออกด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อว่าในพื้นปฐพีนี้จะมีผู้ใดหน้าเหมือนบุตรสาวของตัวเอง แต่ท่านยายกลับแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ
หากลองเปรียบเทียบกันดูแล้ว การตอบสนองของท่านพ่อดูสมเหตุสมผลมากกว่า
ตั้งแต่กลับออกมาจากจวนอี๋หนิงโหว เจียงซื่อก็ไม่พูดไม่จา ประหนึ่งว่ามีเรื่องในใจ
เจียงจั้นเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “น้องสี่ เจ้าดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่”
เจียงซื่อไม่คิดจะบอกเรื่องที่ยังไม่มีบทสรุปกับเจียงจั้น นางเพียงแต่ส่งยิ้ม “เปล่าหรอก”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเงียบไป”
“ข้าก็แค่เพลีย สงสัยคงเป็นเพราะการเดินทางเมื่อวาน”
เจียงจั้นรู้สึกผิด “เป็นเพราะข้าเองที่ทำให้น้องสี่ต้องเหนื่อย…”
เจียงซื่อกลอกตาใส่เจียงจั้น “พี่รองพูดอะไรเช่นนั้น จริงสิ ได้กราบทูลเรื่องที่มีคนลอบปองร้ายกับฝ่าบาทหรือยัง”
เจียงจั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ข้าวางแผนกับท่านอ๋องไว้แล้ว น้องสี่มิต้องกังวลไป ที่ผ่านมาเจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ใช้เวลาต่อจากนี้อยู่กับหลานสาวของข้าเถอะ”
วางแผนกันไว้แล้วอย่างนั้นหรือ
เจียงซื่อส่ายศีรษะพลางหัวเราะ
เอาเถิด เอาตามนั้นก็แล้วกัน แต่จากที่นางเห็น พี่รองคงถูกอาจิ่นหลอกมาแน่ๆ
เจียงจั้นส่งเจียงซื่อที่หน้าประตูจวนเยี่ยนอ๋อง แล้วจึงกลับไปที่จวนตงผิงปั๋ว
คนเฝ้าประตูรีบเปิดประตูให้เจียงซื่อ “พระชายา กลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วท่านอ๋องล่ะ” เจียงซื่อเอ่ยถาม
“ท่านอ๋องกำลังรับแขกอยู่ที่เรือนหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อชะงักฝีเท้าก่อนจะหันไปหาคนเฝ้าประตู
คนเฝ้าประตูค้อมหลังพลางหัวเราะ “ฉีอ๋อง หลู่อ๋อง สู่อ๋องและเซียงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อเลิกคิ้ว
นอกจากฉินอ๋องแล้ว องค์ชายคนอื่นๆ มาที่นี่กันหมด
นางเองก็มิใช่หญิงสาวบ้านไร่ไร้หัวนอนปลายเท้า ยามที่มีแขกเหรื่อมาเยือน นางที่มีตำแหน่งเป็นนายหญิงก็ควรออกไปทักทายตามมารยาท เจียงซื่อจึงเดินไปที่เรือนหน้า
บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูเห็นเจียงซื่อก็รีบเอ่ยรายงาน “ท่านอ๋อง พระชายาเสด็จเพคะ”
ในเรือนเงียบสงัดลงทันใด ทั้งหมดหันไปทางประตูเป็นตาเดียว
บ่าวรับใช้เลิกม่านที่ปักอย่างประณีตขึ้นเพื่อให้หญิงสาวร่างบางเดินเข้าไป
เจียงซื่อเพิ่งกลับมาจากการปลอมตัวเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ บุคลิกลักษณะแสนอ่อนโยนที่ถูกบ่มเพาะมาอย่างยาวนานมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มันถูกผสมผสานด้วยความแกล้วกล้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสตรีหนานเจียง ทำให้คนที่เห็นนางรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
และด้วยสาเหตุนี้ สายตาทุกคู่จึงไม่อาจละไปจากนางชั่วขณะ
อวี้จิ่นดึงหน้าพลางกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะส่งเสียงดังสนั่น
เสียงนั้นทำลายความเงียบไปจนสิ้น เหล่าท่านอ๋องกล่าวทักทายเจียงซื่อทีละคน
เจียงซื่อส่งยิ้มพลางถวายความเคารพก่อนจะหันไปกล่าวแก่อวี้จิ่น “ท่านอ๋อง เชิญสนทนากับท่านอ๋องตามสบาย หม่อมฉันจะไปจัดการที่เรือนหลัง”
“ไปเถอะ”
ขณะที่เจียงซื่ออยู่ในโถงรับแขก อวี้จิ่นแทบจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อนางออกไปแล้ว เขาก็ตบโต๊ะฉาดใหญ่ก่อนที่รอยยิ้มจะหายวับไป
หลู่อ๋องรีบถาม “น้องเจ็ด เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
ไม่มีเรื่องแล้วจู่ๆ ตบโต๊ะทำไมกัน หรือว่าเป็นสัญญาณให้เริ่มยกพวกตีกัน
เมื่อคิดตกเช่นนั้น หลู่อ๋องก็มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นทันใด
ตั้งแต่อดีตไท่จื่อจากไป พี่สี่ก็เอาแต่ทำตัวเหมือนคนโง่ไม่สนใจโลก ส่วนน้องหกก็ทำตัวเอื่อยเฉื่อย ไม่มีเรื่องสนุกๆ ให้ดู โชคดีที่น้องเจ็ดเป็นคนใส่ใจ ถึงได้หาโอกาสเพื่อการนี้
แต่จะให้ดีที่สุด เรื่องการทะเลาะกันคราวนี้ควรไปให้ถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ เจ้าคนพวกนี้จะได้ถูกลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋องกันให้หมด จะได้ไม่มีใครกล้ามาหัวเราะเยาะเขาอีก
สู่อ๋องดึงมุมปากเพราะท่าทีตื่นตัวของหลู่อ๋อง
นี่เจ้าห้ากำลังตั้งท่าจะทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ เหอะ อย่าแม้แต่จะคิด
ในตอนนี้ เขากับเจ้าสี่มีโอกาสได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนั้นมากที่สุด หากเขาเอาตัวลงไปเล่นด้วยก็คงโง่เง่าเต็มที
“น้องสะใภ้เจ็ดและน้องเจ็ดรักกันด้วยใจจริง ถึงขนาดพระโพธิสัตว์ยังเห็นใจ ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากรู้ว่าน้องสะใภ้เจ็ดบูชาพระโพธิสัตว์องค์ใด กลับไปข้าจะได้สร้างหอพระให้ภรรยาของข้ากราบไหว้บูชา”
สู่อ๋องกล่าวจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นพ้อง
อวี้จิ่นเก็บซ่อนอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเจ้าเชื่อเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ มันมีพลังวิเศษเพียงนั้นเชียวหรือ”
หลู่อ๋องลูบหน้าตัวเอง “น้องเจ็ด น้องสะใภ้เจ็ดไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังหรอกหรือ”
“เล่าเรื่องอะไร” อวี้จิ่นทำหน้าฉงนสนเท่ห์
แน่นอนว่าอาซื่อบอกเรื่องที่นางอ้างว่าเก็บตัวสวดมนต์อยู่แต่ในจวนกับเขาแล้ว เพียงแต่ว่าหากได้ฟังจากปากคนพวกนี้ว่าอาซื่อทุ่มเทเพื่อเขาเพียงใด เขาคงรู้สึกสุขใจกว่ามาก
อื้ม รอฟังจากปากเจ้าพวกนี้ดีกว่า
และหลู่อ๋องก็เล่าเรื่องที่เจียงซื่อเก็บตัวสวดมนต์ในจวนตามที่อวี้จิ่นคาดไว้ “น้องสะใภ้เจ็ดมิได้ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองข้ามปีเพราะนางต้องสวดภาวนาเพื่อน้องเจ็ด นอกจากนี้ยังมีคนเล่าอีกว่า…อานิสงส์ที่นางบำเพ็ญสวดภาวนาไม่เพียงแต่ทำให้น้องเจ็ดกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ใครต่างก็รู้ว่าตงผิงปั๋วซื่อจื่อที่ตายในสนามรบก็ฟื้นกลับมาเช่นกัน”
หากรู้แต่แรกว่าการอธิษฐานภาวนามีประโยชน์ถึงเพียงนี้ เขาคงสร้างหอพระให้ภรรยาตัวเองตั้งนานแล้ว ว่างเมื่อไหร่จะได้ให้นางไปนั่งท่องคัมภีร์ ไม่แน่เขาอาจจะได้ตำแหน่งชินอ๋องคืนมาในเร็ววันก็ได้
คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย
แม้เจียงจั้นจะเพิ่งกลับมาถึงวันนี้ แต่ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นเหล่าองค์ชายคงไม่มารวมตัวกันอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋อง
พวกเขาไม่มีเหตุผลใดให้ไปเยือนจวนตงผิงปั๋ว แต่การมาถามรายละเอียดจากเจ้าเจ็ดก็คงไม่ต่างกัน
หลู่อ๋องฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาส่งยิ้ม “หากมีแค่เรื่องเดียว ข้าก็คงไม่เชื่อ…”
ดวงตาของอวี้จิ่นขับประกาย “ห๊ะ ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือ”
เมื่อฉีอ๋องที่นั่งจิบชาอยู่เงียบๆ ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็คล้ำหม่นทันที
แล้วก็เป็นไปตามลางสังหรณ์ของฉีอ๋อง หลู่อ๋องชำเลืองมาที่เขาแวบหนึ่งก่อนจะกล่าว “เมื่อไม่นานมานี้ น้องสะใภ้เจ็ดกับพี่สะใภ้สี่ไปถวายธูปด้วยกันที่วัดไป๋อวิ๋น ระหว่างทางเกิดเหตุม้าพยศ น่าเห็นใจที่พี่สะใภ้สี่เกือบตกลงไปในหน้าผา กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ เหตุการณ์ร้ายแรงคราวนี้ก็ทำให้สภาพจิตใจของนางได้รับการกระทบกระเทือน จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถออกมาพบหน้าผู้ใดได้ เจ้าลองเดาซิว่าสุดท้ายเรื่องนี้จบลงอย่างไร”
ในขณะที่ฉีอ๋องยังคงหน้าบึ้ง อวี้จิ่นก็ค่อยๆ ถาม “จบลงอย่างไรหรือ”
หลู่อ๋องตบเข้าที่ต้นขาตัวเองเสียงดัง “น้องสะใภ้เจ็ดกลับไม่เป็นอะไรเลย หากมิใช่เพราะพระสงฆ์องค์เจ้าช่วยคุ้มครองแล้วจะเป็นอะไรไปได้”
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องกับจิ้นอ๋องและไท่จื่อ สู่อ๋องก็คิดมาตลอดว่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือฉีอ๋อง ฉะนั้นในเวลานี้จึงเป็นโอกาสเหยียบย่ำคู่แข่งให้จมดิน เขาจึงหัวเราะพลางกล่าวเสริม “ใครต่างก็บอกว่าเป็นเพราะศรัทธาอันแรงกล้าของน้องสะใภ้เจ็ด นางถวายเงินปัจจัยให้แก่วัดไป๋อวิ๋นถึงหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงในขณะที่พี่สะใภ้สี่ถวายเพียงสี่ร้อยตำลึง…”
ฉีอ๋องเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “น้องหก เจ้าเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วยหรือ”
สู่อ๋องทำหน้าจริงจัง “ข้าก็ต้องเชื่อสิ พี่ห้า พี่เชื่อหรือไม่”
หลู่อ๋องเกาศีรษะพลางตอบ “ก็แล้วแต่กรณี หากเป็นน้องสะใภ้เจ็ดสวดมนต์ขอพร ข้าคงเชื่อ แต่หากเป็นคนอื่น ข้าคงต้องดูอีกที”
เดิมทีเซียงอ๋องสนิทกับฉีอ๋อง แต่เมื่อได้ยินหลู่อ๋องกล่าวเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
ความจริงเขาก็เชื่ออยู่หน่อยๆ…
อวี้จิ่นยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ น้ำเสียงของเขามิได้แสดงออกว่ายินดีหรือยินร้าย “เหอะ นี่พี่สะใภ้สี่นัดคนของข้าไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ”