แม้เจียงซื่อจะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากของอวี้จิ่น หัวใจของนางเต้นรัว เมฆหมอกที่ก่อตัวหนาทึบค่อยๆ จางหายไป
นี่เป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม เพราะต่อให้ไปถึงเป้าหมายแล้วก็ใช่ว่าจะได้อยู่อย่างสุขสงบ แต่ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ถูกพาเข้ามาในสนามประลองครั้งนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งสองได้แต่ป้องกันและตั้งรับ รอให้คนอื่นๆ พุ่งเป้ามาก่อนถึงจะตอบโต้ หากเป็นเช่นนี้แล้ว สู้ก้าวเข้าไปอยู่ในจุดสูงสุด จุดที่ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับพวกเขาไม่ดีกว่าหรือ
เดิมทีการรอให้คนอื่นโจมตีก่อนไม่ใช่วิถีของเจียงซื่อ แม้แต่ชาติที่แล้ว นิสัยชอบเอาชนะได้พานางไปอยู่ในที่สูงส่งอย่างจวนอันกั๋วกง
แต่แน่นอนว่า การแข่งขันเพราะความมุทะลุได้มอบบทเรียนแสนสาหัสให้แก่นาง แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ถูกฝังเข้าไปในไขกระดูกก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะอย่างน้อยๆ เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้นางต้องสู้ เจียงซื่อก็ไม่มีท่าทีหวั่นเกรงไม่ว่าศัตรูตรงหน้าจะเป็นใคร
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อยังคงนิ่งงันไม่โต้ตอบ อวี้จิ่นก็เริ่มไม่มั่นใจ “อาซื่อ หรือว่าเจ้าไม่อยาก…”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ได้สวมมงกุฎหงส์ ข้าจะไม่อยากได้อย่างไร”
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็มิได้สนใจว่าหลังจากประสบความสำเร็จแล้วจะทำให้ขาดอิสระ สิ่งที่นางต้องทำตอนนี้คือบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ก่อน
ครั้นอวี้จิ่นเห็นว่าเจียงซื่อตอบจากใจจริง ชายหนุ่มก็ยิ้มร่า “ดี ข้าจะแย่งมงกุฎหงส์มาให้เจ้าให้ได้!”
เมื่อจบเรื่องจริงจัง สายตาของชายหนุ่มก็หรี่ลง แววตาที่มองมายังภรรยาร้อนรุ่มขึ้นทันใด
“อาซื่อ…”
“หื้ม?”
“ไปอาบน้ำนอนก่อนเลยเถอะ” เขาอดอยากปากแห้งมาตั้งสองเดือน รอช้าอยู่ไย!
“ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นเลย ให้มันน้อยๆ หน่อย”
อวี้จิ่นดึงเจียงซื่อเข้าไปประชิดตัว ท่าทีดุดันทะเยอทะยานเมื่อครู่หายไปนานแล้ว ชายหนุ่มซุกไซ้ใบหน้าลงที่ต้นคอของหญิงสาว “ข้าไม่สน ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว”
ใบหน้าของเจียงซื่อแดงระเรื่อแต่ไม่มีท่าทีของความเหนียมอาย นางเอ่ยแผ่วเบา “งั้น…ก็อย่าให้เกินเวลาข้าวเย็น…”
อดข้าวมื้อหนึ่งคงไม่เป็นไร แต่การที่ทั้งสองขลุกอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมา ใครต่างก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าเจียงซื่อจะประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป กว่าม่านโปร่งสีม่วงอ่อนรอบเตียงจะสงบลง ดวงจันทร์เสี้ยวก็ลอยเด่นเหนือยอดไม้เสียแล้ว
ร่างของเจียงซื่ออ่อนยวบ สายตาชำเลืองไปทางอวี้จิ่นพลางบ่น “ควบคุมตัวเองสักนิดไม่ได้เลยรึ ดีจริงๆ พวกอาเฉี่ยวต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่”
อวี้จิ่นตอบด้วยใบหน้าระรื่น “ไม่มีทาง”
“ไม่มีทางได้อย่างไร เจ้าอย่าคิดไปเองคนเดียวสิ”
“ข้าหมายความว่า พวกนางคงจะชินตั้งนานแล้ว…”
ที่เรือนห้อย[1] อาหมานที่กำลังเฝ้าเตากลืนน้ำลายอึกใหญ่ “อาเฉี่ยว ขาหมูนุ่มๆ ตุ๋นกับน้ำตาล หอมเหลือเกิน!”
อาเฉี่ยวที่นั่งอยู่ข้างๆ อาหมานสูดจมูกพลางพยักหน้า “อื้ม หอมจริงๆ”
อาหมานเปิดฝาขึ้นและใช้ตะเกียบอันหนึ่งจิ้มเข้าไป ตะเกียบทิ่มทะลุหนังใสๆ ที่กำลังสั่นเข้าไปถึงเนื้อด้านใน
นางปิดฝาหม้อคืนที่เก่า เลียริมฝีปากพลางถามสหายคนสนิท “ข้าว่านายหญิงกับท่านอ๋องคงไม่ตื่นบรรทมจนถึงพรุ่งนี้เช้า เจ้าว่าไหม”
อาเฉี่ยวพยักหน้าอีกครั้ง “ข้าก็คิดอย่างนั้น”
สาวรับใช้หันมาสบตากันก่อนที่อาหมานจะเอ่ยขึ้นว่า “งั้น…พวกเราก็กินกันเลยเถอะ”
“อื้อ” อาเฉี่ยวผงกหัวแรงๆ
สาวรับใช้สองคนนั่งกินขาหมูตุ๋นอยู่ในเรือนห้อยอย่างเอร็ดอร่อย ในเมื่อนายทั้งสองทำตัวไม่อายฟ้าอายดินเยี่ยงนี้…แค่กๆ พวกนางชินเสียแล้ว ผู้ใดสนกันเล่า
อวี้จิ่นตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความหิว
ชายหนุ่มนอนมองม่านโปร่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปปลุกคนข้างๆ
เจียงซื่อที่ถูกปลุกลืมตามองอวี้จิ่น นางเอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงีย “มีอะไรรึ”
แม้ภรรยาจะอยู่ในอาการง่วงเหงาหาวนอน แต่อวี้จิ่นก็มิได้รู้สึกผิด “อาซื่อ เจ้าหิวรึเปล่า”
เจียงซื่อกลอกตาไปมา ความง่วงหายไปสิ้น หญิงสาวเอ่ยตอบอย่างจนใจ “เดิมทีข้าก็คิดว่าจะทนให้ถึงมื้อเช้า แต่เมื่อโดนเจ้าปลุกเช่นนี้ ข้าก็หิวล่ะสิ”
ไม่ได้กินข้าวเย็นหนำซ้ำยังใช้แรงไปตั้งเยอะ ใครบ้างไม่หิว
“ไม่รู้ว่าเมื่อเย็นมีอะไรอร่อยๆ บ้าง”
เจียงซื่อที่ถูกคนหิวปลุกขึ้นมากลางดึกให้หิวเป็นเพื่อนบ่นกระปอดกระแปด “ข้าสั่งให้อาเฉี่ยวทำขาหมูตุ๋นน้ำตาล”
“ขา ขาหมูตุ๋นน้ำตาล?” น้ำเสียงของอวี้จิ่นเปลี่ยนไปโดยพลัน
เจียงซื่อพยักหน้ารับ “อื้อขาหมูนั่นเพิ่งให้คนไปซื้อมาเมื่อเช้า ข้ากำชับว่าต้องเป็นขาหน้าเท่านั้น เพราะมีเนื้อใหม่ๆ มากกว่า เวลาเอาไปตุ๋นแล้วจะส่งกลิ่นหอมเย้ายวน”
“งั้น…ตอนนี้ก็มีขาหมูตุ๋นอยู่ในห้องครัวใหญ่ล่ะสิ”
“ไม่ได้อยู่ในครัวใหญ่ ตอนที่มันใกล้สุก อาเฉี่ยวย้ายมาไว้ที่เตาในครัวเล็กที่เรือนห้อย พอใกล้หายร้อนก็ให้ค่อยนำไปตั้งเตาจุดไฟ พวกเราจะได้เข้าไปกินได้ตลอด”
อวี้จิ่นกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมแววตาเป็นประกาย “เจ้าคอยอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าจะไปดูที่เรือนห้อย”
ชายหนุ่มสวมอาภรณ์พลางเอ่ยว่า “มิน่าล่ะ ข้าว่าข้าได้กลิ่นขาหมู ตอนแรกก็คิดว่าหลอนไปเอง”
อย่างไรเสีย เรื่องกินและเรื่องกามก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ นานแล้วกว่าเขาจะได้นอนเคียงคู่กับภรรยา กลิ่นขาหมูตุ๋นที่ลอยมาเป็นพักๆ ทำให้เขาอดคิดไม่ว่าตัวเองคงห่างนารีมานานเกินไป ทำให้ตอนที่กอดเจียงซื่อถึงได้กลิ่นหมูตุ๋น
และด้วยเหตุนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรอาซื่อก็ต้องมาก่อนหมูตุ๋น แต่เหตุใดถึงมีอาการหลอนเช่นนั้น
ที่แท้เขาก็ไม่ได้หลอนไปเอง มันคือกลิ่นขาหมูตุ๋นน้ำตาลจริงๆ!
ปกติแล้วหากทั้งสองอยู่ด้วยกัน จะไม่มีสาวรับมาใช้มานอนเฝ้า อวี้จิ่นรีบสวมรองเท้าเดินออกไปที่เรือนห้อย
แต่ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าปึงปังก็เดินกลับมา
เจียงซื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แสงกลางดึกสาดส่องให้เห็นใบหน้าหล่อเหล่าที่กำลังขมวดมุ่น
ในยามปกติ เสียงฝีเท้าของอวี้จิ่นจะเบาสบายกว่าในตอนนี้ ดูแล้วคงมีเรื่องให้ไม่พอใจ
อวี้จิ่นภายใต้ใบหน้าหมองหม่นเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง “ขาหมูตุ๋นน้ำตาลหมดแล้ว!”
มีเพียงแต่ฟ้าเท่านั้นที่ทราบว่าเขาเจ็บปวดเช่นไร ความรู้สึกของคนที่ตื่นกลางดึกเพราะความหิว และได้รู้ว่าข้างห้องมีขาหมูตุ๋นชิ้นโตรออยู่ จึงรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ แต่กลับต้องพบกับคราบน้ำตาลไหม้ติดก้นหม้อ
หากจะให้พูดด้วยความสัตย์จริง เขาคิดว่าจะหิ้วหม้อไปทุบหัวคนกินให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เช่นนั้นก็นอนเถิด รอฟ้าสว่างแล้วค่อยกินก็แล้วกัน” เจียงซื่อปลอบใจ
นางเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังหิวโซแต่ถูกแย่งอาหารไป
อวี้จิ่นทำได้เพียงค่อยๆ ถอดรองเท้าและขึ้นไปบนเตียง เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มกาย
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ชายหนุ่มก็พลิกตัวหันมา มือข้างหนึ่งลูบอยู่ที่คางอย่างครุ่นคิด “อาซื่อ”
เจียงซื่อที่ใกล้จะเคลิ้มลืมตาขึ้นมอง
“เจ้าว่าขาหมูตุ๋นน้ำตาลนั่นถูกเอ้อร์หนิวกินไปหรือเปล่า”
เจียงซื่อลังเลชั่วอึดใจ ในหัวชั่งใจระหว่างสาวรับใช้ใหญ่กับเจ้าสุนัข แล้วสุดท้ายก็เลือก “ก็เป็นได้ เพราะเอ้อร์หนิวชอบกินขาหมู”
สาวรับใช้ทั้งสองคงทนทัณฑ์ทรมานจากอาจิ่นไม่ไหว แต่อย่างน้อยเอ้อร์หนิวก็ยังวิ่งหนีเอาตัวรอดได้
ภายใต้เงาสลัว ใบหน้าถมึงทึงเปล่งวาจาปริภาษสาปส่ง “ไอ้เจ้าสุนัขเวร!”
แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อจากนั้น ทันทีที่ฟ้าสว่าง อวี้จิ่นรีบกระเด้งตัวออกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาก่อนจะไปคิดบัญชีกับเอ้อร์หนิว
ช่วงรุ่งสร่างในอวี้เหอย่วนมีเงาร่างของชายแข็งแรงกำลังวิ่งไล่เจ้าสุนัขตัวใหญ่กันจ้าละหวั่น
อาหมานที่กำลังถือถาดมองตาปริบๆ “ท่านอ๋องวิ่งไล่เอ้อร์หนิวทำไมกัน”
อาเฉี่ยวส่ายหัว “จะรู้หรือ เอ้อร์หนิวคงไปก่อเรื่องไว้”
เอ้อร์หนิวเห่าด้วยความคับข้องใจ
เช้าๆ อย่างนี้ เจ้านายเป็นบ้าอะไรเนี่ย
[1] เรือนห้อย คือ เรือนเล็กๆ ตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาของเรือนหลัก