จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อวันนี้เจ้าเจ็ดเข้าวังมาเพื่อเยี่ยมเสียนเฟย แล้วจะไปทำให้นางโกรธได้อย่างไร
แต่เมื่อคิดถึงวีรกรรมของอวี้จิ่นแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เริ่มไม่มั่นใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้เปราะบางเพียงใด เขาทราบดี เจ้าเจ็ดอาจจะพูดจายียวนกวนประสาทก็เป็นได้
เมื่อคิดตกเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นและหันไปกล่าวแก่หันหราน “ผู้บัญชาการหันคอยข้าสักครู่”
หันหรานไม่กล้าขัดข้อง อีกทั้งไม่อยากรู้ด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ความอยากรู้อยากเห็นทำลายคนไปตั้งเท่าไหร่ การที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่ทราบเรื่องที่อดีตไท่จื่อสวมเขาให้ฝ่าบาทก็ทำให้เขาไม่เป็นอันกินอันนอนอยู่หลายวัน เพราะหากฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยเขาก็อาจสั่งเก็บก็เป็นได้
เขาไม่อยากรับรู้เรื่องของฝ่าบาทเลยสักนิด
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งเก้าอี้คานหามไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน แต่จู่ๆ เจ้าแมวขาวที่มักจะไม่สนใจองค์จักรพรรดิกลับกระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้คานหามนั้นด้วย ราวกับว่าจะไปรอชมเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น
ตำหนักอวี้เฉวียนคึกคักขึ้นทันใด
แพทย์หลวงมาถึงก่อนจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่นาน และได้ข้อสรุปว่า อาการของเสียนเฟยกำเริบเพราะถูกทำให้โกรธจัด
นางในในตำหนักวิ่งพล่านกันให้ทั่ว ทั้งคอยป้อนน้ำ ลูบหลังและวิ่งไปหยิบผ้ามาซับ ทันทีที่มีเสียงตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จ” ทั้งหมดก็นิ่งค้างกลางอากาศราวกับต้องมนต์ เสียงอึกทึกก่อนหน้าเงียบสงัดทันใด
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้ามาก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ และหยุดที่เสียนเฟย
หากเทียบกับใบหน้าซีดเซียวที่เขาเห็นเมื่อเช้า สีหน้าของเสียนเฟยในตอนนี้คล้ำหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด อาการของนางแย่กว่าก่อนหน้านี้มากทีเดียว
เขาชำเลืองมองอวี้จิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
อวี้จิ่นถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นี่เสียนเฟยโมโหเพราะเจ้าเจ็ดจริงๆ งั้นหรือ
เจ้าเจ็ดนี่ต้องโง่ขนาดไหนถึงได้ยั่วโมโหมารดาบังเกิดเกล้าต่อหน้านางในมากมายเพียงนี้
อวี้จิ่นหลุบตาพลางกล่าวเอ่ยด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “เป็นความผิดของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ ลูกควรมาเยี่ยมเหนียงเหนียงตั้งแต่เมื่อวาน เพราะมัวแต่ยุ่งจึงมาเยี่ยมเหนียงเหนียงเอาวันนี้ เหนียงเหนียงเลยกริ้วพ่ะย่ะค่ะ…”
เสียนเฟยที่เริ่มคุ้นชินกับความเจ็บปวดได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเย้ยหยัน “ฝ่าบาทเสด็จมา เจ้าก็เลยแกล้งทำตัวเป็นลูกกตัญญูอย่างนั้นหรือ แสร้งพูดว่ายุ่งเลยมาเยี่ยมข้าวันนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ไม่งั้นเจ้าก็คงลืมไปแล้วว่ามีตำหนักอวี้เฉวียนอยู่ด้วย!”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ…”
น้ำเสียงของเสียนเฟยเย็นชากว่าเก่า “หามิได้? ต่อหน้าฝ่าบาท เจ้ายังไม่ยอมรับ ดูท่าแล้วการโป้ปดมดเท็จต่อหน้าฝ่าบาทคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเจ้า…”
เมื่อต่อว่าบุตรชายมาถึงตรงนี้ เสียนเฟยกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไป นางจึงหันไปหาจิ่งหมิงฮ่องเต้
ท่าทางของจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนไป เขาเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ข้าไม่ได้พูด”
เสียนเฟย “…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำสีหน้าจริงจัง “อ้ายเฟยเข้าใจผิดแล้ว ที่เจ้าเจ็ดมาที่วังวันนี้ เขาตั้งใจมาเยี่ยมเจ้าเอง ตั้งแต่ข้ากลับไปจากตำหนักอวี้เฉวียนก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าเจ็ดเลย”
เขาก็อยากพูดบ้างเหมือนกัน แต่เสียนเฟยเล่นด่าลูกไม่เว้นช่องไฟให้เขาพูดบ้างเลย
เสียนเฟยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวอย่างจนใจ “อ้ายเฟยคิดว่าข้าหลอกให้เจ้าดีใจอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันมิบังอาจคิดเช่นนั้นเพคะ” สีหน้าขาวซีดของเสียนเฟยตัดสลับไปมากับสีแดงระเรื่อ
เจ้าเจ็ดไม่ได้มาที่ตำหนักอวี้เฉวียนเพราะว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างนั้นหรือ
นางชำเลืองไปทางอวี้จิ่นซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อวี้จิ่นมองมาที่นาง
ทั้งคู่สบตากัน เสียนเฟยเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยในแววตาของอีกฝ่าย
ความรู้สึกคับแค้นก่อตัวเป็นความโกรธเกรี้ยว นางปราดนิ้วไปที่อวี้จิ่น “ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าลูกอกตัญญูคนนี้พูดกับหม่อมฉันว่าอย่างไร”
“เขาพูดอะไรรึ” ท่าทีของเสียนเฟยในตอนนี้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจ
เสียนเฟยในความทรงจำที่ผ่านมาคือสตรีที่สุดแสนสุขุมนุ่มลึก เขาไม่เคยได้ยินนางขึ้นเสียงเลยสักครั้ง แต่เหตุใดนางในตอนนี้ถึงได้ดูเหมือนมนุษย์ป้าด่ากราด
เสียนเฟยรับรู้ได้ถึงสายตาที่แปลกไปของฮ่องเต้ นางจึงรีบปรับอารมณ์ให้เข้าที่ พลางเอ่ยเย็นเยียบ “เขาบอกว่า ระหว่างเขาและหม่อมฉันไม่มีสายสัมพันธ์ใดหลงเหลืออยู่แล้ว ตั้งแต่นี้เขาไม่ถือว่าหม่อมฉันคือมารดาผู้ให้กำเนิดอีกแล้วเพคะ!”
ทันทีที่ประโยคนี้ลั่นออกไป ทุกคนก็หันไปมองอวี้จิ่นด้วยสีหน้าตกใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาจ้องเขม็งไปที่อวี้จิ่นพลางกล่าว “เจ้าเจ็ด เจ้าพูดประโยคนี้จริงๆ รึ”
อวี้จิ่นสะบัดชายเสื้อรีบคุกเข่าลง “ลูกไม่เคยกล่าวเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาที่เบิกกว้างเป็นเท่าตัวของเสียนเฟยจดจ้องไปที่อวี้จิ่น นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ตัวดี จนบัดนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ”
อวี้จิ่นมองไปที่เสียนเฟยด้วยความสงสัย พลางคิดในใจว่า ทำไมเขาต้องยอมรับ เขามิใช่คนโง่เสียหน่อย
อวี้จิ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบหลุบตามองเงาสะท้อนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เสด็จพ่อ ลูกทำให้เหนียงเหนียงไม่พอพระทัยก็จริง แต่ลูกไม่มีทางเอ่ยวาจาร้ายกาจต่อผู้เป็นมารดา ลูกมิใช่คนเสียสติเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เผลอพยักหน้าตาม
ก็จริง เจ้าเจ็ดเป็นคนมีไหวพริบ ต่อให้จะคิดเช่นนั้นจริงก็คงไม่มีทางพูดออกมาจริงไหม
เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า เสียนเฟยก็แทบกระอักเลือด ริมฝีปากของนางสั่นระริก “ฝ่าบาท เด็กคนนี้กำลังโป้ปดนะเพคะ หม่อมฉันอยู่กับพระองค์มาตั้งนานหลายปี พระองค์จะทรงเชื่อคนปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้หรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับคิ้ว ทว่ามิได้เกริ่นกล่าว
หากบอกว่าเสียนเฟยปั้นน้ำเป็นตัว เขาอาจจะเชื่อ เพราะเมื่อครู่เสียนเฟยก็เชื่อหัวเด็ดตีนขาดเลยว่าเขาสั่งให้เจ้าเจ็ดมาหา ดูท่าระหว่างแม่ลูกคู่นี้คงมีเรื่องเข้าใจผิดมากมายทีเดียว
พวกสตรีเนี่ยนะ คิดเล็กคิดน้อย เมื่อเข้าใจผิดก็มักจะเข้าใจผิดอยู่อย่างนั้น ของแบบนี้เขาทราบดี เพราะวังหลังมีสตรีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน
แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเสียนเฟยกล่าวโทษบุตรชายต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ
ต้าโจวยึดความกตัญญูเป็นหลักในการปกครองแผ่นดิน ครอบครัวของกษัตริย์ก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ราษฎร ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจละเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่นที่กำลังคุกเข่าอีกครั้งพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเจ็ด วันนี้เจ้าทำอะไรให้หมู่เฟยของเจ้าโกรธเคืองเพียงนี้”
เสียนเฟยได้ยินยิ่งรู้สึกไม่ถูกใจ นางเย้ยหยัน “ฝ่าบาทอย่าตรัสเช่นนั้นเลยจะดีกว่า เยี่ยนอ๋องมิได้เห็นหม่อมฉันเป็นหมู่เฟยเพคะ”
คราวนี้อวี้จิ่นเงยหน้าพร้อมสีหน้าน้อยอกน้อยใจ แววตาของชายหนุ่มใสซื่อบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าน้ำแร่ “เสด็จพ่อ ลูกมิได้กล่าวเช่นนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ไม่เชื่อก็ถามจากนางในก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงหน้าบึ้งตึง เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ห้อง “ในพวกเจ้ามีใครได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องกล่าวเช่นนั้น”
บ่าวรับใช้คุกเข่าลงก่อนจะมองหน้ากันและกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเป็นร่องลึก
พานไห่ส่งเสียงตำหนิ “หูหนวกรึ ฝ่าบาทตรัสถามพวกเจ้า!”
นางในคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น “กราบทูลฝ่าบาท บ่าว…บ่าวไม่ได้ยินเพคะ…”
คนอื่นๆ ทยอยยอมรับว่าตนไม่ได้ยินเยี่ยนอ๋องกล่าวเช่นนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปทางเสียนเฟย
เสียนเฟยในตอนนี้ริมฝีปากสั่นระริกแต่ไม่พูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
บัดนี้ นางรู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใด
“เยี่ยนอ๋องอ้างว่ามีธุระจะสนทนากับหม่อมฉัน จึงขอให้หม่อมฉันสั่งให้นางในออกไปจากห้อง เขาพูดประโยคนั้นในขณะที่อยู่กับหม่อมฉันสองคนเพคะ” เสียนเฟยพยายามควบคุมอารมณ์โกรธ เสียงของนางแหลมสูงเล็กน้อย “ฝ่าบาท ทรงคิดว่าหม่อมฉันปั้นเรื่องป้ายสีโอรสของตัวเองหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่นด้วยท่าทีลังเล
อวี้จิ่นแสร้งทำตัวเป็นเหยื่อพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ลูกมีเรื่องส่วนตัวจะสนทนากับเหนียงเหนียงจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ลูกอยากสนทนากับเหนียงเหนียงเรื่องที่พี่ชายของภรรยาประสบเคราะห์กรรมคราวนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่า…เอาเถิด เหนียงเหนียงตรัสเช่นไร ก็เอาตามนั้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะยอมรับผิดทั้งหมด”
ในเมื่อมีแค่เขาและเสียนเฟยเท่านั้นที่ทราบ ไม่ว่าผู้ใครจะพูดอะไรคงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเสด็จพ่อทรงเชื่อใคร
ยังไม่ชัดอีกหรือว่าเขาควรเชื่อใครระหว่างพระสนมที่กำลังโกรธเกรี้ยวกับโอรสที่กำลังทุกข์ตรม