ได้ยินมาว่าพอเผ่าหมิงล่มสลาย หมิงอ๋องก็หายสาปสูญไปด้วย
หมิงอ๋องคือผู้ใด หมิงอ๋องมีนามว่าอะไร ใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกแล้ว
ยามปกติตู๋กูซิงหลันก็เคยคลุกคลีกับภูติผีมาไม่น้อย นางเองก็รู้ว่า ผู้ที่ควบคุมดูแลปรโลกในตอนนี้ล้วนมาจากเผ่าสวรรค์
แต่ว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ดินแดนในปรโลกทั้งหมด สมควรจะเป็นเขตแดนของเผ่าหมิงสิ
ดังนั้นพอได้ยินคนเหล่านั้นเรียกท่านอาจารย์เป็นหมิงอ๋อง นางจึงต้องประหลาดใจขึ้นมา
นางเคยคาดเดาฐานะที่แท้จริงของอาจารย์เอาไว้….แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเคยเป็นถึงหมิงอ๋อง
ซื่อมั่วมิได้ปฏิเสธอะไร เขาผ่อนลมหายใจลง พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยตอบว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน อาจารย์ไม่ได้เป็นหมิงอ๋องมานานมากแล้ว”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง ปราศจากร่องรอยกังวลใดๆ
“ตอนนั้น……เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมคนเหล่านั้นถึงต้องการฆ่าท่าน?”
คนเหล่านั้นมิว่าใครก็แข็งแกร่งกว่าเยี่ยเฉิงทั้งนั้น พลังเทพของพวกเขา เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
เรื่องนี้พอคิดย้อนไป ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆเช่นกัน
หากว่าไม่ได้ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน ก็คงไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะลอบลงมืออย่างไรอีก
“ตอนนั้น….” พอซื่อมั่วคิดย้อนกลับไป สมองก็ปวดตุ๊บๆขึ้นมา
ขณะที่เขาพูด สายตาก็ทอดลงไปบบเรือนร่างของตู๋กูซิงหลัน
“ใดๆในโลกหล้า ทั้งความดี ความชั่ว มนุษย์และสัตว์ เกิดหรือตาย อำนาจ ตันหา ปรารถนาหรือความหวัง…..ต่างก่อให้เกิดเหตุและผลด้วยกันทั้งนั้น”
“อาจารย์ พวกเราพูดภาษาคนกันดีหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันฟังด้วยสีหน้ามึนงง อาจารย์เป็นพวกปราชญ์โบราณ ชอบพูดอะไรที่คนฟังไม่เข้าใจ
ซื่อมั่วมองดูนางอย่างลึกล้ำ “เพราะเพื่อหยกสรรพชีวิต”
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
ซื่อมั่วไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบนาง แต่กลับถามออกไปว่า “ในความคิดเห็นของเจ้า ชาวสวรรค์เหล่านั้นเป็นพวกมีเมตตาหรือว่าชั่วร้าย?”
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กล้ามางัดกับอาจารย์ ย่อมเป็นคนดีไม่ได้!”
หากเป็นเรื่องปกป้องพวกพ้อง ตู๋กูซิงหลันไม่เคยคำนึงถึงเหตุผลอยู่แล้ว
นางไม่มีทางคิดว่าอาจารย์ของตนเองเป็นผู้ร้ายไปได้เด็ดขาด
ซื่อมั่วถูกประโยคนี้ของนางชมจนอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว
“คนเราไหนเลยจะแบ่งเพียงแค่ว่ามีเมตตาหรือว่าโหดร้ายได้กัน”
“ท่านอาจารย์ย่อมต้องเป็นคนดี!”
ตู๋กูซิงหลันจะอย่างไรย่อมต้องยืนอยู่ฝั่งอาจารย์ของตนเองอยู่แล้ว
ในที่สุดใบหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดพันปีของซื่อมั่ว ก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มขึ้นมา มุมปากของเขาขยับน้อยๆ
เขายิ้มแล้ว ทั้งยังหัวเราะน้อยๆ
“ศิษย์ที่ดี” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลลงไปอีกหลายส่วน ในดวงตาคล้ายมีประกายแสงเทียนที่งดงามผุดขึ้น
พอเขาหัวเราะออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องตื่นตะลึงแล้ว
หลายปีมานี้นางได้เห็นอาจารย์หัวเราะน้อยมาก ขนาดใช้สิบนิ้วนับได้เลย
ครั้งก่อนที่ได้เห็นนั้น….มันกี่ปีมาแล้วนะ?
เหมือนจะลืมไปแล้ว
ในชั่วขณะนั้น นางพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นช้าลงไปมาก
ในตอนนั้น นางถึงกับอดไม่ได้ที่จะตำหนิตนเอง
นางเป็นสตรีเจ้าชู้จริงๆหรือไม่?
ทั้งๆที่มีเสี่ยวเฉวียนเฉวียนอยู่แล้ว แต่ยังจะถูกรูปโฉมที่งดงามของอาจารย์…..ล่อลวงได้อีก?
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ถามคำถามนี้กับบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของตนเองในใจอย่างเงียบๆ
ไม่…..นางไม่ใช่สตรีเจ้าชู้
หากว่านางเจ้าชู้จริง ก็คงเป็นเพราะได้รับถ่ายทอดสิ่งนี้มาจากบิดาคนงาม
ไม่ ไม่ ไม่ …..ข้าย่อมไม่ใช่สตรีเจ้าชู้เสเพลอย่างแน่นอน…..ในใจของข้ามีแต่เพียงเสี่ยวเฉวียนเฉวียนเท่านั้น นางพยายามตอกย้ำกับตนเองอย่างเข้มแข็ง
กับอาจารย์ มีแต่ความรักใคร่ผูกพันฉันท์บุตรและบิดาต่างหาก
……………………….
เยี่ยจ้านที่ติดอยู่ในหุบเหวที่มืดมิดอดที่จะจามออกมาเสียงดังไม่ได้
ใครกล้านินทาเขา? นินทาอย่างหนักหนาเลยใช่หรือไม่?
พวกที่เกลียดชังเขาถึงขั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สมควรจะเป็นพวกเทพหน้าเหม็นพวกนั้นมิใช่หรือ?
ในมือของเยี่ยจ้าน ประคองลูกแก้วสีอ่อนจางลูกหนึ่งเอาไว้ เขาดึงซื่อมั่วมายังโลกนี้ แล้วยังฝืนใช้มันส่งพวกเขากลับไปโลกโน้น จนตนเองสูญเสียพลังไปจำนวนมาก
แม้แต่ลูกแก้วลูกนี้ก็ถูกใช้งานหนักเกินไป จนเกิดรอยร้าวขึ้น
ตอนนี้เขาจึงไม่อาจดึงทั้งหมดกลับมาด้วยพละกำลังของตนเองเพียงคนเดียวได้
เช่นนี้ก็ดีอยู่เหมือนกัน ….โลกโน้นปลอดภัยกว่าโลกนี้ ขอเพียงชาวสวรรค์พวกนั้นไม่สามารถแกะรอยติดตามซื่อมั่วจนพบละก็…..โลกโน้นก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
…………………………
ภายในห้อง สายตาของซื่อมั่วยังคงทอดมองอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน พอมองดูดวงตาดอกท้อทั้งสองของนาง หัวใจที่เย็นชามาเนิ่นนานเพิ่มพูนความอบอุ่นขึ้นมา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ค่อยได้ยินซื่อมั่วเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ที่หยกสรรพชีวิตก่อกำเนิดขึ้นมาก็จุดประกายความโลภของฝ่ายต่างๆขึ้นมา เจ้าเคยได้ครอบครองมัน ย่อมรู้ดีว่ามันแข็งแกร่งเพียงไร”
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน ตัวนางใน‘ชาติก่อน’สามารถกล่าวได้ว่าคือผู้ถือครองหยกสรรพชีวิต …..แต่ว่าทำไมถึงได้มา นางก็ไม่อาจบอกได้ชัดเจนเช่นกัน
อาจารย์บอกว่าตอนที่นางเกิดมาก็มีของเล่นชิ้นนี้มาด้วยอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้นางย่อมเชื่อ แต่ว่าตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นทำต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง
เพราะจริงๆแล้วแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้ทั้งหมด
“เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ตอนที่อาจารย์ต้องกลับมาจุติใหม่อีกครั้ง….” ซื่อมั่วเล่าอย่างช้าๆ “วันนั้น…..พวกชาวสวรรค์ก็ถือโอกาสบุกลงมาที่เผ่าหมิง และแย่งชิงหยกสรรพชีวิตไป”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของซื่อมั่วจะสงบราบเรียบ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาว
ท่านอาจารย์จะต้อง….เกลียดชังและเคียดแค้นคนเหล่านั้นอย่างยิ่ง
“พวกเทพก็ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ด้วยหรือ?” ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจ นางได้พบพวกเทพมาไม่มากนัก ที่ใกล้ชิดหน่อยก็มีแต่ชือหลีที่ค่อนข้างซื่อตรงและใสซื่อ ดังนั้นจึงไม่เคยมีอคติใดๆกับพวกเทพมาก่อน
ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่เป็นฝ่ายดีหรือเป็นฝ่ายชั่วตลอดกาล ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้มีการตัดสินใจที่แตกต่าง
“พวกเขาเป็นพวกสูงส่งอยู่แล้ว ทำไมถึงยังต้องทำเรื่องเช่นนี้อีกด้วย?” ตู๋กูซิงหลันถามออกไป
“ผู้มั่งมีไม่แหนงหน่ายเงินทองว่ามากเกิน ผู้ครองอำนาจไม่รังเกียจอำนาจที่เพิ่มพูน ฉันใดฉันนั้น” น้ำเสียงของซื่อมั่วยิ่งทียิ่งเย็นชา “พวกชาวสวรรค์มิได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าเข้าใจ”
“นับตั้งแต่บรรพกาลมาในหกภพภูมิ ชาวสวรรค์ถือเป็นผู้ดูแลชีวิต เผ่าหมิงเป็นผู้ควบคุมความตาย เป็นสองเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหกภพภูมิ”
“เดิมทีสองเผ่ารักษาสมดุลของความสงบเสมอกันมานานหลายหมื่นปี กระทั่งเมื่ออดีตเง็กเซียนฮ่องเต้ลงจากตำแหน่ง เง็กเซียนฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ความสงบสุขนี้ก็ถูกทำลายลง”
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยได้ยินเรื่องของชาวสวรรค์มาก่อน ดังนั้นยามที่ซื่อมั่วเอ่ยออกมา นางจึงไม่กล้าพูดแทรก
เพราะขนาดชือหลีที่เป็นเทพแห่งสายน้ำ ก็ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพวกชาวสวรรค์แม้แต่นิดเดียว นางจึงไม่เคยมีโอกาสได้รับรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน
“มนุษย์ทั่วไปฝึกฝนเพื่อเป็นเซียน เซียนฝึกฝนเพื่อเป็นเทพ ในบรรดาเทพต่างๆในโลกหล้า ชาวสวรรค์นับว่ามีศักดิ์ศรีสูงส่งที่สุด นับตั้งแต่ที่พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาก็เป็นเทพ ทั้งยังถูกกำหนดให้คงอยู่ได้ชั่วนิจนิรันดร์”
“ตอนนั้นเมื่อพวกชาวสวรรค์สามารถแย่งชิงหยกสรรพชีวิตได้สำเร็จ สองเผ่าก็เกิดสงครามขนาดใหญ่ การฆ่าฟันในสงครามครั้งนั้นกระทบถึงโลกมนุษย์จนมีผู้คนล้มตายกลายเป็นภูติผีไปนับพันนับหมื่นชีวิต คลื่นวิญญาณผู้ตายล้นทะลักในแดนปรโลกจนกลายเป็นภัยพิบัติ แม้อาจารย์จะทุ่มเทพลังไปชำระล้างวิญญาณนับพันนับหมื่น แต่ก็เพราะกระทำได้ไม่สมบูรณ์ทำให้ปรโลกสูญเสียสมดุลจนล่มสลาย …..แดนนรกผุดปีศาจร้ายขึ้นมามากมาย อาจารย์เองก็ได้รับผลสะท้อนจากการกระทำของตนเอง …… สิบยมราช ห้าแม่ทัพใหญ่ในยมโลกล้วนแตกสานซ่านกระเซ็นไปยังมิติต่างๆ…..เผ่าหมิงดับสูญ”
ตู๋กูซิงหลัน “….” เอ๋ มีแต่นางเพียงคนเดียวหรือที่รู้สึกว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่คำว่าการชำระวิญญาณ ‘กระทำได้ไม่สมบูรณ์’?
ตอนนั้นอาจารย์ทำการชำระล้างไม่สมบูณณ์แบบใดจนทำให้ปรโลกถึงขั้นล่มสลาย? จะช่วยบอกให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?
เห็นอาจารย์เกลียดชังพวกชาวสวรรค์ถึงเพียงนั้น นางยังเข้าใจว่า เป็นเพราะเผ่าหมิงถูกชาวสวรรค์ทำลายจนดับสูญ
แต่แล้วเขากลับบอกว่าเป็นเพราะ เขาทำการชำระล้างได้ไม่สมบูรณ์ถึงได้ล่มสลาย?
ยามนี้สายตาของตู๋กูซิงหลันที่มองดูอาจารย์ของตนเองจึงเปี่ยมไปด้วยความสับสนงุนงง
พอซื่อมั่วเห็นสายตาของตู๋กูซิงหลัน สีหน้าก็ยิ่งราบเรียบเฉยชา “ตลอดเวลาที่อาจารย์เป็นหมิงอ๋อง ล้วนเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ สุขุมและระเอียดรอบคอบอยู่ตลอด”
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ถกเถียงอยู่ในใจ ก็ใช่นะสิ แค่ท่านเผลอไผลขึ้นมาก็ทำเอาเผ่าหมิงพังพินาศแล้ว!
วิญญาณทมิฬได้แต่กรอกตาอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่กล้ามองออกไปตรงๆ
ท่านอาจารย์เองก็ซื่อตรงเกินไปแล้วมั้ง?
ท่านทำยมโลกถล่มก็ถล่มไปเถอะ …. ทำไมจะต้องพูดความจริงออกมาตามนั้นด้วย? ไม่รู้จักโยนความผิดเหล่านั้นให้กับพวกชาวสวรรค์บ้างหรือไร?
“สรุปแล้ว หลังจากที่เผ่าหมิงล่มสลาย ตลอดหลายปีมานี้อาจารย์จึงได้พยายามช่วยเหลือสรรพชีวิตในใต้หล้า โปรดสัตว์ช่วยเหลือเหล่าวิญญาณทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ถือเป็นการชดเชยให้กับชีวิตที่ต้องสูญเสียไปในครั้งนั้น”
ประโยคนี้ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องเห็นด้วย อาจารย์ย่อมเป็นคนดีที่สุด ใครอื่นไหนเลยจะมาแทนที่ได้
ขนาดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด เขายังเร่งร้อนไปช่วยเหลือ
ครั้งก่อนเพื่อช่วยชีวิตผู้คนในเมืองเมืองหนึ่ง เขาต้องรับบาดเจ็บหนักถึงขนาดต้องไปเข้าฌานที่ธารน้ำพุเหลืองระยะหนึ่ง
ทั้งๆที่ทำความดีแต่กลับไม่ได้ทิ้งนามเอาไว้ให้ใครรู้
เพียงเพราะแค่ต้องการชดเชยความผิดหรือ?
นางคิดๆดูแล้ว ในใจก็ยังเกิดข้อสงสัย “อาจารย์ ถ้าเช่นนั้นทำไมชาวสวรรค์ถึงยังต้องการตามล่าสังหารท่านอีก?”
ซื่อมั่วครุ่นคิดอย่างจริงจัง ค่อยให้คำตอบที่นางไม่อาจถกเถียงได้ว่า “บางทีอาจเป็นเพราะว่าอาจารย์แข็งแกร่งเกินไป จนพวกเขากลัว”
ใช่สิ ท่านไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังหล่อเหลาอีกด้วย
สมแล้วที่เป็นร่างหลักของฮ่องเต้สุนัข เรื่องความมั่นใจในตนเอง เหมือนกับจีเฉวียนอย่างไรอย่างนั้น
“ดังนั้นเงาแสงเมื่อครู่นั่น ก็คือพวกชาวสวรรค์ใช่หรือไม่?”
ซื่อมั่วมิได้ปฏิเสธ
“พวกเขาค้นพบร่องรอยของอาจารย์ได้อย่างไร ดูท่าคงจะไม่ยอมปลดปล่อยท่านไปง่ายๆอย่างแน่นอน” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็มองดูใบหน้าที่ซีดขาวของซื่อมั่วไปด้วย ในใจของนางยิ่งเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวล
“อาการบาดเจ็บของอาจารย์ในครั้งก่อนยังไม่ทันหายดี ตอนนี้ก็มาบาดเจ็บซ้ำอีก ไม่ว่าอย่างไรไม่ควรลงมือปะทะอีกแล้ว”
พอซื่อมั่วได้ยิน ตอนแรกเขาก็คิดจะปลอบประโลมนางว่าเขาไม่เป็นอะไร
แต่ว่าเจ้าวิญญาณทมิฬกลับรีบขยับก้นลุกขึ้นมากระซิบเสียงเบาที่ข้างหูว่า “อาจารย์ ต้องอ่อนแอ ป้อแป้ ท่านยิ่งบาดเจ็บอ่อนแอ หลันหลันก็จะยิ่งห่วงใยท่าน”
ท่านอาจารย์จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากนั่นลงไป เปลี่ยนเป็นปรือตามองดูนาง “ศิษย์เอ๋ย เจ้ามีแผนการเช่นไร?”
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาถามเช่นนี้ ก็ชะงักไปครู่หนึ่งท่านอาจารย์แข็งแกร่งกว่านางมากมาย นางแทบจะช่วยอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ
นางมองดูดาบยักษ์ข้างกายแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจะปกป้องท่านสุดชีวิต”
“ศิษย์โง่เอ๋ย” สายตาของซื่อมั่ว มีแต่ยามที่มองดูนางเท่านั้นจึงจะแสดงความอบอุ่นอ่อนโยนจางๆออกมา
เขาไหนเลยจะต้องการให้นางเอาชีวิตมาปกป้องตนเอง….มีแต่จะปกป้องนางด้วยชีวิตทั้งหมดของเขาต่างหาก
จากนั้นเขาก็เอ่ยว่า “ช่วงนี้ ขอเพียงเจ้ามาคอยดูแลอาจารย์บ่อยๆ อาจารย์ก็พอใจมากแล้ว”
วิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆต้องหงุดหงิดมากแล้ว ท่านอาจารย์ทำไมถึงได้ไม่พัฒนาเลย?
ท่านควรจะพูดว่า….มาอยู่ข้างกายอาจารย์ คอยดูแลอาหารการกินให้อาจารย์ต่างหาก!
นี่เรียกว่าอะไร หอสูงริมน้ำได้รับแสงจันทร์ก่อน อย่าได้เปิดโอกาสให้หลันหลันกับฮ่องเต้สุนัขอยู่ด้วยกันตามลำพัง เก็บคนเอาไว้ที่ข้างกายตนเอง เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ?
………………………….