ตอนที่ 10 มอบของขวัญ
เยียนอวิ๋นเกอสูญเสียมีดสั้นที่ทุ่มทุนผลิตขึ้นมา เจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง
นางถือโอกาสก่อเรื่อง
เยียนโส่วจ้านถูกนางก่อกวนจนหมดหนทาง ใช้เงินยี่สิบตำลึงทอง หนึ่งร้อยตำลึงเงินทดแทนนาง
สมัยเงินทองมีมูลค่ามาก
หากไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวย ไม่มีโอกาสได้สัมผัสอักษรกับเงินทอง
เฉินฮูหยินรู้เรื่องนี้จึงขุ่นเคืองยิ่งนัก
“ไม่รู้ว่าท่านโหวกว่างหนิงคิดอย่างไร ตามใจเยียนอวิ๋นเกอเพียงนี้ อีกทั้งยังให้เงินทองแก่นาง ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
คุณหนูสาม เยียนอวิ๋นจือบ่น “ลูกโตขนาดนี้ ยังไม่เคยได้รับรางวัลเป็นเงินทองจากท่านพ่อ เยียนอวิ๋นเกอเป็นแค่หญิงใบ้ เหตุใดนางจึงพิเศษในสายตาท่านพ่อ”
เฉินฮูหยินส่งเสียงไม่พอใจ
“อาจเป็นเพราะท่านพ่อเจ้ารู้สึกติดหนี้เยียนอวิ๋นเกอ ดังนั้นจึงตามใจนางเป็นพิเศษ”
“ติดหนี้หรือ” เยียนอวิ๋นจือสงสัย
เฉินฮูหยินเพียงแค่พูดว่า “ตอนเด็กเยียนอวิ๋นเกอพูดได้”
เยียนอวิ๋นจือสงสัยอย่างมาก “นางกลายเป็นคนใบ้ได้อย่างไร ท่านแม่บอกลูกได้หรือไม่”
เฉินฮูหยินทำหน้าบึง “เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้เรื่องนี้! เจ้าจำไว้เพียงแค่อย่าได้ไปหาเรื่องเยียนอวิ๋นเกอ”
เยียนอวิ๋นจือทำหน้าไม่พอใจ โกรธเคืองอย่างมาก
แต่นางก็ไม่กล้าไปหาเรื่องเยียนอวิ๋นเกอจริงๆ
ประสบการณ์นับครั้งไม่ถ้วนสอนให้นางรู้ว่า นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยียนอวิ๋นเกอ
…
เยียนอวิ๋นเกอได้เงินทองมา ล้วนมอบให้พี่รองเยียนอวิ๋นถง
พี่น้องสองคนร่วมกันดำเนินการค้าขายวัว แพะ ม้า
ซื้อวัว แพะ ม้าจากที่ราบทุ่งมาขายยังที่ราบลุ่ม มีกำไรอย่างมาก
คนที่เดินทางค้าขายในเส้นทางนี้ล้วนเป็นองครักษ์เก่าแก่จากตำหนักบูรพาที่ติดตามเซียวฮูหยินออกเรือนมา จงรักภักดีเชื่อถือได้
เยียนอวิ๋นถงถือเงินทอง พูดด้วยรอยยิ้ม “น้องสี่มีหนทางเสียจริง ทั้งจวนมีแต่เจ้าสามารถหลอกเงินมาจากท่านพ่อได้ หากเป็นพวกข้าเกรงว่าคงถูกท่านพ่อตีขาหักแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยี ดีใจอย่างมาก
เยียนอวิ๋นถงพูดอีก “ครานี้ข้าวางแผนเดินทางไปด้วยตนเอง พร้อมทั้งหาช่างตีเหล็กชราที่เจอคราก่อน นำมีดสั้นที่สามารถตัดเหล็กดุจตัดโคลนกลับมาให้น้องสี่อีกเล่ม”
เยียนอวิ๋นเกอจรดปลายปากกา “ขอบคุณพี่รอง”
“น้องสี่ไม่ต้องเกรงใจ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง”
เยียนอวิ๋นเกอเขียนอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่พาคนไปมากหน่อย อยู่ด้านนอก ระวังความปลอดภัย”
เยียนอวิ๋นถงหัวเราะร่า “น้องสี่วางใจ ข้ารักชีวิตกว่าผู้ใด!”
พี่น้องสองคนหารือรายละเอียด ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตนเอง
…
เยียนอวิ๋นเกอกลับไปถึงหอชิงอวิ๋น ในขณะที่เพิ่งนั่งลง บ่าวรับใช้ก็มารายงานว่านายน้อยใหญ่มาพบ
เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงเม้มปากยิ้ม ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ไปเชิญนายน้อยใหญ่เข้ามา
นายน้อยใหญ่แห่งจวนโหว เยียนอวิ๋นฉวนเป็นบุตรคนแรกของเฉินฮูหยิน
คนผู้นี้มีความรอบคอบอย่างยิ่ง อีกทั้งมีกลอุบายล้ำลึก
แม้จะเป็นเยียนอวิ๋นเกอก็ต้องยอมจำนน
นางไม่อาจหาความผิดของอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
เขาเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง!
เยียนอวิ๋นฉวนนำกล่องไม้สีแดงเดินเข้ามา
เขามีรูปลักษณ์ที่ดี ใบหน้าหล่อเหลา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ดูอย่างไรก็เป็นพี่ใหญ่ที่รักใคร่น้องสาว
“ได้ยินน้องสี่สูญเสียมีดสั้นอันเป็นที่รักไป พอดีในมือของข้ามีมีดสั้นที่ยึดมาจากศัตรู แหลมคมอย่างไร้ที่ติ เหมาะกับให้น้องสี่ถือเล่น จึงนำมามอบให้น้องสี่ น้องสี่อย่าได้รังเกียจ!”
เยียนอวิ๋นเกอลุกขึ้น ทำท่าขอบคุณ
“น้องสี่ไม่ต้องเกรงใจ! เจ้าไม่รังเกียจที่ข้าใช้มีดสั้นเล่มนี้มาก่อน ข้าก็วางใจแล้ว”
พูดจบเยียนอวิ๋นฉวนดันกล่องไม้สีแดงมาตรงหน้าของนาง “น้องสี่ลองดู ชอบหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยี ยื่นมือเปิดกล่องไม้สีแดงออก
ภายในมีมัดสั้นที่ฝังอัญมณีหลากสีเล่มหนึ่งวางอยู่
เพียงแค่ฝักมีดสั้นก็มีมูลค่าเท่าเมือง
นางดึงมีดออกมา คมมีดเย็นยะเยือก
มีดสั้นเล่มนี้เป็นมีดสั้นที่ซึมซับเลือดมนุษย์มานับไม่ถ้วน มีพลังอาฆาตในตนเอง
นางสามารถสัมผัสได้ถึงความหิวกระหายของมัน มันต้องการดื่มเลือดมนุษย์
เยียนอวิ๋นเกอชอบมันตั้งแต่แรกเห็น
ไม่ว่าเยียนอวิ๋นฉวนจะจริงใจหรือว่าหลอกลวง การครอบครองของดีไว้ในมือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
นางหัวเราะขึ้นมา จรดดินสอเขียนลงไป
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ของขวัญชิ้นนี้ ข้าชอบมันมาก! หลายวันก่อนข้าทำธูปหอมเอาไว้ หากพี่ใหญ่ไม่รังเกียจ ได้โปรดรับไว้”
“ธูปหอมที่น้องสี่ทำ ผู้อื่นมาขอยังไม่ได้ ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร วันนี้ข้าได้ธูปหอมเพราะโชคจากน้องสี่”
“พี่ใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว! ธูปหอมไม่มีมุูลค่ามากนัก หากแต่มีดสั้นเล่มนี้มูลค่ามหาศาล ข้าละอายยิ่งนักที่รับมา”
นางเปิดกระดาษขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายดุจดั่งดวงดาว
เยียนอวิ๋นฉวนหัวเราะขึ้นมา “ของขวัญที่มอบให้เจ้า เจ้ารับเอาไว้ก็พอ มีดสั้นเล่มหนึ่งไม่ต้องเพียงนี้ ต่อจากนี้หากเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการ ส่งคนมาบอกข้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าในฐานะพี่ใหญ่ย่อมต้องหามาให้เจ้า”
“ขอบคุณพี่ใหญ่!”
…
เรื่องที่เยียนอวิ๋นฉวนมอบของขวัญให้เยียนอวิ๋นเกอไม่อาจปิดยังผู้อื่นได้
เยียนอวิ๋นจือโกรธจนดวงตาแดงก่ำ
“ตกลงผู้ใดเป็นน้องสาวของท่านกันแน่ ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านไม่เคยมอบของขวัญที่มีมูลค่ามากเพียงนี้ให้ข้า ท่านลำเอียง! หรือในใจของพี่ใหญ่ ข้าไม่อาจเทียบเยียนอวิ๋นเกอได้”
เยียนอวิ๋นฉวนระอาเล็กน้อย “สิ่งที่ข้าให้นางคือมีดสั้น เจ้าไม่ได้ใช้ เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้ามา เหตุใดต้องแย่งชิงกับน้องสี่”
“ข้าไม่แย่งชิงกับนาง แต่ท่านก็ไม่อาจทำดีต่อนางมากกว่าข้า ข้าต่างหากที่เป็นน้องสาวของท่าน ท่านได้โปรดเข้าใจด้วย พวกผู้คนในบ้านใหญ่รังเกียจพวกเรา ท่านกลับประจบสอพลอเข้าหาพวกเขา ข้าโกรธยิ่งนัก โกรธยิ่งนัก!”
เยียนอวิ๋นจือโกรธจนอวัยวะภายในทั้งห้าล้วนเจ็บปวด
พี่ชายของตนเอง มอบมีดสั้นอันล้ำค่าให้เยียนอวิ๋นเกอ นางเจ็บปวดราวกับถูกคนควักหัวใจออกมา
เฉินฮูหยินตำหนิเสียงเบา “อวิ๋นจือ อย่าได้เสียมารยาทกับพี่ใหญ่ของเจ้าเพียงนี้ ขอโทษพี่ใหญ่ของเจ้าเสีย”
เยียนอวิ๋นจือรู้สึกไม่เป็นธรรม น้ำตาคลออยู่ในตา นางไม่พูด เพียงแต่จ้องมองคนตรงหน้า
เยียนอวิ๋นฉวนพูด “ท่านแม่อย่าตำหนิน้องสาม ข้าเองที่คำนึงไม่รอบคอบ ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของน้องสาม”
เยียนอวิ๋นจือส่งเสียงไม่พอใจ ถือว่าท่านยังมีมโนธรรม
เฉินฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าใหญ่ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า เหตุใดเจาจึงมอบของขวัญให้แก่เยียนอวิ๋นเกอ อีกทั้งยังเป็นมีดสั้นที่เจ้าสะสมเอาไว้ เจ้าไม่ได้ติดหนี้นาง ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องประจบนาง”
เยียนอวิ๋นจือแทรกขึ้น “พี่ใหญ่ต้องเลอะเลือนอย่างแน่นอน”
เยียนอวิ๋นฉวนได้ยิน ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมมีความคิดของข้า”
“ความคิดใด เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของจวนโหว มีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคุณหนูสี่เพียงนี้หรือ”
“มี!” เยียนอวิ๋นฉวนพูดอย่างจริงจัง
“ท่านพ่อให้ความสำคัญกับน้องสี่ ข้าในฐานะบุตรชายคนโต จะไม่มีการแสดงออกได้อย่างไร”
เฉินฮูหยินขมวดคิ้ว
เยียนอวิ๋นฉวนพูดต่อ “อย่ามองว่าท่านพ่อมักตำหนิน้องสี่ไร้กฎระเบียบ อันที่จริงท่านพ่อสงสารน้องสี่ที่สุด ท่านพ่อมอบเงินทองให้แก่น้องสี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว ข้าในฐานะพี่ชาย ย่อมต้องแสดงความห่วงใยที่มีต่อน้องสี่ หากท่านพ่อรู้ย่อมต้องดีใจ ข้าดูแลน้องชายน้องสาว ไม่แบ่งแยกระหว่างบ้านใหญ่และจวนตะวันตก สิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านพ่อต้องการเห็น ท่านแม่สามารถแยกแยะสองฝั่งได้อย่างชัดเจน แต่ข้าทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหญ่หรือจวนตะวันตก พวกเขาล้วนเป็นน้องชายน้องสาวของข้า ข้าต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียม มันคือความรับผิดชอบของข้าในฐานะบุตรชายคนโต อีกทั้งยังถือเป็นน้ำใจ”
เฉินฮูหยินได้ยินดังนี้จึงพยักหน้าระรัว
“เจ้าคิดได้รอบคอบยิ่งนัก ข้าเกือบทำให้เจ้าลำบาก เรื่องนี้เจ้าทำถูก ไม่รู้ก็แล้วไป ในเมื่อรู้ว่าเยียนอวิ๋นเกอสูญเสียมีดสั้นอันเป็นที่รักไป เจ้าในฐานะพี่ชายควรแสดงน้ำใจ”
เยียนอวิ๋นจือไม่พอใจอย่างยิ่ง
“แม้จำเป็นต้องมอบของขวัญ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมอบมีดสั้นที่มีมูลค่าเพียงนั้น”
เยียนอวิ๋นฉวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“น้องสามสามารถกระทำนิสัยเด็กแบ่งแยกพรรคพวกได้ แต่ข้าทำไม่ได้! ลับหลังน้องสามสามารถบ่นได้อย่างตามใจ แต่เจ้าจำไว้ หากออกจากประตูนี้ไป เจ้าต้องคุมปากตนเองให้ดี อย่าพูดจาทำให้ท่านแม่และข้าเดือดร้อน”
เยียนอวิ๋นจือถูกสั่งสอน โกรธจนใบหน้าเล็กแดงก่ำ
นางไม่อาจรับความอยุติธรรมนี้ได้จึงส่งเสียงร้องไห้ออกมาเสียงดัง ก่อนจะปิดหน้าวิ่งออกไป
เยียนอวิ๋นฉวนขมวดคิ้ว “ท่านแม่ควรสั่งสอนน้องสามให้ดี อย่าได้ตามใจนางอีก”
เฉินฮูหยินตอบรับ “นางยังเด็ก อีกสองสามปีน่าจะทำตัวดีขึ้น”
“นางไม่เด็กแล้ว! น้องสี่ยังรู้เรื่องกว่านาง”
พูดเรื่องตลกใดกัน!
คำพูดนี้เฉินฮูหยินไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“เยียนอวิ๋นเกอเป็นคนที่ไม่รักษากฎระเบียบที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ นางกล้าด่าแม้แต่ท่านโหว นี่เรียกว่ารู้เรื่อง?”
“นางออกหน้าแทนน้องอวิ๋นเฟย ออกหน้าแทนฮูหยิน ไม่ใช่เพื่อตนเอง เพียงแค่เหตุนี้ท่านพ่อก็ไม่ลงโทษนางแล้ว ผู้ที่เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ รู้จักรักษาความสัมพันธ์ สุดท้ายย่อมได้ใจคนมากกว่า”
เหลวไหล!
เฉินฮูหยินหัวเราะเย้ยหยัน
…
“พี่ใหญ่มอบของขวัญให้น้องสี่ น้องสี่ไม่กลัวเขามีจุดประสงค์อื่น?”
เยียนอวิ๋นฉีถามด้วยความสงสัย
ไม่กลัว!
เยียนอวิ๋นเกอเล่นมีดสั้นในมือ ท่าทางหลงใหลอย่างยิ่ง
เยียนอวิ๋นถงเห็นเช่นนี้ เกิดอาการน้อยใจเล็กน้อย
“น้องสี่มีมีดสั้นที่พี่ใหญ่ให้ ข้ายังต้องทำอันใดอีก!”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยิน ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ
นางวางมีดสั้นลง จรดปากกา เขียนอย่างจริงจัง
“ท่านอยู่ให้ไกลจากพี่ใหญ่ ไกลได้แค่ไหนก็ไกลแค่นั้น อย่าปะทะกับเขาซึ่งหน้า คนผู้นี้มีกลอุบายล้ำลึก ไม่เหมาะกับการปะทะต่อหน้า”
เยียนอวิ๋นถงยังไม่ได้พูดอันใด เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้าขึ้นก่อน พร้อมกับพูดสนับสนุน
“น้องสี่ตักเตือนได้ถูก พี่สอง ท่านอย่าทำอันใดโดยไม่คิด!”
เยียนอวิ๋นถงส่งเสียง ‘อ่อ’ ตอบรับ
“รู้แล้ว! ข้ามีขอบเขต ข้าจะอยู่ห่างจากเขา”
เยียนอวิ๋นฉีจับมือของเยียนอวิ๋นเกอ
“น้องสี่ เจ้าเป็นกังวลว่าพี่ใหญ่จะทำอันตรายต่อพี่สองใช่หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด สีหน้าลังเล
สุดท้ายนางยังคงจรดปลายปากกา “ภายในสองสามปี พี่รองย่อมไม่เป็นอันใด ต่อจากนั้นคงไม่แน่”
“น้องสี่รู้ได้อย่างไรว่าภายในสองสามปีจะไม่เป็นอันใด หรือว่าน้องสี่มีข่าววงใน”
เยียนอวิ๋นเกอทึ้งหัว นางควรบอกอย่างไร
เยียนโส่วจ้านครอบครองทหารเพื่อสร้างเสริมอำนาจของตนเอง มีใจอันไม่จงรักภักดี ผู้คนต่างรู้ดี
แต่ท่ามกลางผู้มีใจอันไม่จงรักภักดีมากมายนั้น อำนาจของเยียนโส่วจ้านอยู่ในระดับอ่อนแอ
เพียงเพราะว่าแคว้นซ่างกู่ยากจน!
หนทางแห่งการหาทุนทรัพย์มีจำกัด
เยียนโส่วจ้านอยากขยายกองกำลัง แต่มีปัญหาทางการเงินและเสบียง ดังนั้นจึงไม่มีหนทาง
ราชสำนักและภายในพระราชวัง ไม่มีทางไม่รู้ว่าแม่ทัพของพื้นที่หนึ่งมีใจก่อกบฏ
เมืองหลวงโกลาหลไม่หยุด หากเป็นนางย่อมเลือกกระดูกที่อ่อนที่สุดลงมือ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในเวลานี้
เยียนโส่วจ้านย่อมต้องเป็นคนแรก
เวลานี้ ตระกูลเยียนย่อมไม่อาจเกิดกบฏภายในได้
ผู้ใดกล้าก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในตระกูลเยียน เยียนโส่วจ้านย่อมเป็นคนแรกที่ไม่ยอม
ไม่ว่าอย่างไร ภายในสองสามปีนี้ เยียนอวิ๋นฉวนย่อมไม่กล้าลงมือกับพี่รอง
เนื้อหามากเกินไป เยียนอวิ๋นเกอขี้เกียจเขียนออกมา
นางจึงจรดดินสอเขียนแค่คำเดียว
“กบฏ!”
คำว่า ‘กบฏ’ ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยพลังอาฆาต ภายในห้องเงียบสงัดลงทันที
เยียนอวิ๋นเกอไม่ได้ลังเล หยิบกระดาษที่เขียนว่า ‘กบฏ’ จุดไฟเผาจนกลายไปผุยผง
“ท่านพ่อมีใจก่อกบฏจริงหรือ” ใบหน้าเล็กของเยียนอวิ๋นฉีซีดเผือด พึมพำกับตนเอง