คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง – ตอนที่ 19 ยืมศีรษะมาใช้

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 19 ยืมศีรษะมาใช้

เยียนอวิ๋นฉีเศร้าเล็กน้อย

นางอยากสานสัมพันธ์อันดีกับติงฉางซื่อ แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

นางรู้ว่าติงฉางซื่อได้รับผลประโยชน์จากบิดา เขาย่อมต้องให้เกียรติบิดาของนาง แต่ไม่เท่ากับว่าเขาจะให้เกียรตินาง

ทุกคนต่างบอกว่าขันทีรักทรัพย์

เพียงแต่นางผู้เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน ในมือมีเพียงเศษเงินเล็กน้อยเท่านั้น

เงินเท่านี้ยังไม่พอให้ผู้อื่นยัดร่องฟัน

เมื่อเห็นว่าระยะทางห่างจากเมืองหลวงเหลือเพียงแค่สามวัน แต่แผนการของนางไม่คืบหน้าแม้แต่น้อย

นางก็กังวลจนไม่อยากพักผ่อน วิ่งไปเดินเล่นอยู่ด้านหลังหมู่บ้าน

เรื่องที่บังเอิญคือ นางบังเอิญพบกับติงฉางซื่อ

“คุณหนูรองเหน็ดเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่!”

“ขอบคุณติงกงกงที่ห่วงใย! ข้ายังสบายดี! หลายวันนี้ติงกงกงพักผ่อนดีหรือไม่”

“ดีๆๆ …” ติงฉางซื่อยิ้มอย่างมีนัย

เยียนอวิ๋นฉีเม้มปาก นางพูดคุยกับคนในพระราชวังเป็นครั้งแรกจึงตื่นเต้นเล็กน้อย

“ใกล้ถึงเมืองหลวง ภายในใจตื่นเต้นอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าเมืองหลวงเป็นอย่างไร มีข้อห้ามใดบ้าง ท่านแม่ห่างจากเมืองหลวงมายี่สิบปี เมืองหลวงในความทรงจำของนางย่อมแตกต่างจากเมืองหลวงในเวลานี้”

ติงฉางซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูรองพูดถูก เมืองหลวงในเวลานี้ย่อมแตกต่างจากเมื่อยี่สิบปีก่อนอย่างมาก แต่ความแตกต่างนี้ไม่ได้หมายถึงบ้านเรือนหรือถนน หากแต่เป็นผู้คน คนที่ยืนอยู่ในราชสำนักเวลานี้ ไม่ใช่คนที่ท่านหญิงคุ้นเคยอีกต่อไป คนในพระราชวังเปลี่ยนไปหลายต่อหลายรอบ มีเพียงตำหนักบูรพาที่ยังว่างเปล่าตลอดยี่สิบปี ไม่เคยมีผู้ใดเข้าไป”

เยียนอวิ๋นฉีใจกระตุก แต่ไม่แสดงอาการออกมาทางสีหน้า

เหตุใดติงฉางซื่อจึงพูดถึงตำหนักบูรพาขึ้นมากะทันหัน

เสียดายที่น้องสี่ไม่อยู่ข้างกาย มิฉะนั้นจากความฉลาดเฉลียวของน้องสี่ นางย่อมต้องมองออกถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

นางยิ้ม “ขอบคุณติงกงกงชี้แนะ คนในพระราชวังล้วนเปลี่ยนไป กฎระเบียบข้อห้ามต่างๆ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยใช่หรือไม่”

ติงฉางซื่อยิ้ม “คุณหนูรองอย่าใจร้อน เมื่อถึงเมืองหลวง สิ่งที่ท่านควรรู้ ท่านย่อมจะรู้ในไม่ช้า ท่านติดตามอยู่ข้างกายท่านหญิง อย่าได้กังวลไปเลย”

“ได้ยินติงกงกงพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว” นางเม้มปากยิ้ม

“ไม่ตื่นเต้นก็ดี! เข้าพระราชวังย่อมต้องไม่ตื่นเต้น”

เยียนอวิ๋นฉีขอตัวลาจากติงฉางซื่อ นางรีบไปหาน้องสี่อวิ๋นเกอ

หลังจากค้นหาไปทั่ว ถามจากคนอื่นถึงได้รู้ว่าน้องสี่อยู่กับมารดา

นางรีบไปที่ห้องพักของมารดา

เมื่อประตูเปิดออก กลิ่นคาวเลือดโชยออกมา

“กรี๊ด…”

หลังจากเสียงกรีดร้องสั้นๆ เยียนอวิ๋นฉีรีบปิดปากของตนเองแน่น นางเกรงว่าจะกรีดร้องออกมาอีกครั้ง

บนพื้นมีร่างไร้ชีวิตนอนอยู่ ร่างกายกับศีรษะของเขาถูกแยกออกจากกัน

ศีรษะนั้นกลิ้งมาอยู่ที่ใต้เท้าของนาง

ความสะเทือนทางจิตใจที่รุนแรงเช่นนี้ ต้องขอบคุณที่นางมีชาติกำเนิดจากตระกูลทหารถึงได้ไม่หวาดกลัวจนเป็นลมไป

เลือดไหลนองเต็มพื้น กลิ่นคาวเลือด ภาพบาดตา ความหวาดกลัว…

น้องสี่อวิ๋นเกอถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง ปลายมีดแหลมคมนั้นมีเลือดกำลังหยดลงมา

มารดาเซียวฮูหยินนั่งลงบนพื้นด้วยท่าทางสงบ

“ผู้ ผู้นี้เป็นใคร” เยียนอวิ๋นฉีถามเสียงแผ่ว

เยียนอวิ๋นเกอเงยหน้าขึ้นมองมาทางนาง

แววตาชั่วร้ายและลึกล้ำ

ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่

ชั่วพริบตา แววตาของเยียนอวิ๋นเกอก็คืนกลับมาเป็นเหมือนก่อน

เยียนอวิ๋นฉีกะพริบตา ก่อนหน้านี้นางตาลายหรือ

‘พี่สองมาได้อย่างไร’

เยียนอวิ๋นเกออ้าปาก ถามอย่างไร้เสียง

เยียนอวิ๋นฉีกลืนน้ำลายลงคอ ก้าวข้ามศีรษะคนที่อยู่ใต้เท้าอย่างระมัดระวัง “ผู้นี้เป็นใคร เขาถูกน้องสี่ฆ่าหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดมีดสั้นเบาๆ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

นางยื่นปาก บอกให้พี่สองดูการแต่งกายของคนผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นขันที ตำแหน่งของเขาคงจะเป็นขันทีประตูเหลือง[1]

คนผู้นี้พยายามลอบฆ่าท่านแม่ จึงถูกนางฆ่าทิ้ง!

‘ขอโทษที ข้าควบคุมกำลังได้ไม่ดี อืม ใช้กำลังมากไปหน่อย เผลอตัดศีรษะเขาลงมาอย่างไม่ทันระวัง เลือดไหลไปทั่วพื้น ห้องนี้พักไม่ได้แล้ว’

อีกสักพักต้องเปลี่ยนห้องให้ท่านแม่

สีหน้าของเยียนอวิ๋นฉีแปรเปลี่ยนไป คิ้วของนางกระตุก

เผลอตัดศีรษะเขาลงมาอย่างไม่ทันระวังหมายความว่าอย่างไร

ดูจากบาดแผล เห็นได้ชัดว่าเจตนา

นางไม่มีอารมณ์บ่นน้องสี่ นางกระวนกระวายเป็นอย่างมาก

“ท่านแม่เป็นอันใดหรือไม่ เหตุใดจึงมีคนลอบฆ่าท่านแม่ หรือว่าเป็นติงฉางซื่อ…”

“เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวอะไรกับติงฉางซื่อ” เซียวฮูหยินยกมือ พูดขัดนาง “เป็นไปได้ที่มีไส้ศึกปะปนมาภายในขบวนถ่ายทอดพระราชโองการ ผู้ใดส่งเขามายังไม่แน่ชัด สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือมีคนอยากให้ข้าตาย การไปเมืองหลวงครานี้อันตรายยิ่งนัก พวกเจ้าพี่น้องต้องระวัง ข้างกายต้องมีคนคุ้มกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ด้านนอก ห้ามทำสิ่งใดด้วยตนเองจนทำให้ผู้อื่นฉวยโอกาสได้”

“ผู้ใดต้องการฆ่าท่านแม่ ท่านแม่ห่างจากเมืองหลวงมายี่สิบปี ความแค้นมากมายเพียงใดก็ควรจะหมดไปแล้ว เหตุใดจึงต้องวางแผนลอบฆ่าหลังจากผ่านไปยี่สิบปี”

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้วมุ่น วิตกกังวลภายในใจ

ยังไม่ถึงเมืองหลวงก็ประสบกับการลอบฆ่าเสียแล้ว

เมื่อถึงเมืองหลวงจะเป็นอย่างไร ทุกหนแห่งย่อมต้องเต็มไปด้วยอันตรายและกับดัก

มิน่าท่านพ่อถึงไม่ยอมเดินทางมาเมืองหลวงเอง

เมืองหลวงเป็นถ้ำเสือถ้ำมังกรอย่างเห็นได้ชัด

การเดินทางครานี้ คงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

เซียวฮูหยินยิ้มเย้ยหยัน “ความแค้นบางอย่าง ไม่อาจหายไปตามกาลเวลา อวิ๋นเกอ เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอเช็ดมีดสั้นเสร็จ จรดดินสอเขียน ‘คนผู้นี้เป็นคนในขบวนของติงฉางซื่อ ย่อมต้องขอคำอธิบายจากเขา พี่สองมาอย่างร้อนใจ คงจะไม่ได้สิ่งใดจากติงฉางซื่อใช่หรือไม่ เช่นนั้นใช้ศีรษะนี้ให้เป็นประโยชน์’

เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า “ไม่สามารถปิดบังอะไรน้องสี่ได้เลย ข้าพบอุปสรรคจากติงฉางซื่อจริงๆ น้องสี่มีแผนการอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอตรงไปตรงมาอย่างมาก นางยกศีรษะนั้นขึ้น เดินออกไปด้านนอก

“น้องสี่…”

เยียนอวิ๋นฉีตกใจ รีบไล่ตามไป

เยียนอวิ๋นเกอมือหนึ่งถือศีรษะ มือหนึ่งถือมีดสั้นด้วยท่าทางอาฆาต

พื้นที่ที่ก้าวผ่าน ทุกคนต่างหลบหลีก ไม่กล้าสบตา ราวกับว่าพวกเขากำลังหลบเลี่ยงวิญญาณชั่วร้าย

“ติงกงกง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คุณหนูสี่บุกเข้ามาแล้ว!”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี บ่าวรับใช้จึงรีบไปรายงานติงฉางซื่อ

ติงฉางซื่อได้ยินจึงยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“ดูพวกเจ้า เด็กหญิงคนเดียวทำให้พวกเจ้ากลัวเพียงนี้ ต่อจากนี้อย่าบอกผู้อื่นว่าข้าเป็นคนสอน”

บ่าวรับใช้ร้อนใจอย่างมาก “ไม่ใช่ขอรับ คุณหนูสี่นาง นาง นาง นาง…”

พูดได้แต่คำว่านาง ไม่มีประโยคถัดไป

เวลานี้ เยียนอวิ๋นเกอถือศีรษะบุกเข้ามา

ติงฉางซื่อจ้องมองศีรษะ

เกิดอันใดขึ้น เยียนอวิ๋นเกอถือศีรษะคนมาพบเขา

หมายความอย่างไร

จะฆ่าคนหรือ?

รังแกกันเกินไปแล้ว!

“เยียนอวิ๋นเกอ เจ้าทำอันใด ข้าเตือนเจ้า เจ้าอย่า…”

โครม!

ศีรษะคนถูกเยียนอวิ๋นเกอโยนออกไป กลิ้งไปอยู่ใต้เท้าของติงฉางซื่ออย่างแม่นยำ

ขันทีประตูเหลืองต่างส่งเสียงร้องออกมา

มีเพียงติงฉางซื่อที่ยังประคองตัวอยู่ ถึงแม้สีหน้าไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาให้ขายหน้า ไม่ได้แสดงท่าทีน่าอับอาย

เขาชี้ไปที่เยียนอวิ๋นเกอ “เยียนอวิ๋นเกอ เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำให้เจ้า…”

ปัง!

เยียนอวิ๋นเกอฟาดมือลงบนเก้าอี้จนเก้าอี้แตก

นางถือมีดไว้ในมือ ปักลงบนโต๊ะอย่างแรง

นางทำสองอย่างพร้อมกันด้วยท่าทางสง่างาม

นางเรียกติงฉางซื่อ ก่อนจะชี้ศีรษะคนบนพื้น สีหน้ากึ่งยิ้ม

ติงฉางซื่อขมวดคิ้วมุ่น ก้มหน้าพินิจอย่างละเอียด ก่อนจะรู้ว่าเป็นศีรษะของผู้ใด

คนอื่นก็จำเจ้าของศีรษะนี้ขึ้นมาได้อย่างเห็นได้ชัด

“กงกง นี่ นี่ไม่ใช่เสี่ยวอันจื่อหรือ นางฆ่าเสี่ยวอันจื่อ”

ปัง!

ติงฉางซื่อตบโต๊ะ “คุณหนูสี่ ท่านบังอาจ! บังอาจฆ่าขุนนางฝ่ายในของพระราชวัง ท่านไม่กลัวจะถูกคาดโทษดูหมิ่นจักรพรรดิหรือ”

“ก่อนที่ติงกงกงจะคาดโทษ ท่านไม่ถามสาเหตุเสียหน่อยหรือ เหตุใดน้องสาวของข้าต้องฆ่าเขา หากเขาไม่รนหาที่ตาย นางจะฆ่าเขาได้อย่างไร” เยียนอวิ๋นฉีเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าดำทะมึน

นางกังวลว่าน้องสี่พูดไม่ได้ จะถูกรังแกทางวาจา ดังนั้นจึงรีบตามมา

เมื่อมาถึงก็ได้ยินติงฉางซื่อจะกล่าวโทษน้องสี่ ทำให้นางโกรธเคืองอย่างมาก

ติงฉางซื่อส่งเสียงเย็นชา “นางฆ่าคนจริงๆ ยังต้องถามอันใดอีก”

เยียนอวิ๋นฉีเย้ยหยัน “เหตุใดติงกงกงจึงไม่ถาม น้องสาวข้าฆ่าคนผู้นี้ที่ใด ข้าจะบอกท่าน น้องสาวข้าฆ่าคนผู้นี้ในห้องพักของท่านแม่ข้า ร่างของเขายังนอนอยู่ในห้อง ท่านไปดูได้ ส่วนคนผู้นี้ปรากฏตัวในห้องของท่านแม่ข้าได้อย่างไร มีจุดประสงค์อันใด ข้าขอถามติงกงกง เขาเป็นคนของท่าน เหตุใดเขาจึงเข้าไปในห้องของท่านแม่ข้า หรือว่าเป็นฝีมือของติงกงกง”

ติงฉางซื่อได้ยิน สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที

“เหลวไหล! เสี่ยวอันจื่อปรากฎตัวในห้องท่านหญิงได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

“เขาเป็นคนของท่าน เขาตั้งใจที่จะลอบสังหารท่านแม่ ติงกงกงก็ต้องรับผิดเช่นกัน!”

“ลอบสังหาร? มีหลักฐานหรือไม่”

“ศีรษะของคนผู้นี้ก็คือหลักฐาน!”

“เหลวไหล! คนถูกพวกท่านฆ่าตายแล้ว พวกท่านอยากพูดอย่างไรย่อมได้”

ติงฉางซื่อไม่ยอมรับ

ลอบสังหารเป็นโทษอันใหญ่หลวง เขาจะกล้ายอมรับได้อย่างไร

ถึงแม้ภายในใจของเขาจะเกลียดชังเสี่ยวอันจื่อที่ก่อเรื่อง เกลียดแค้นคนที่อยู่เบื้องหลังของเสี่ยวอันจื่ออย่างมากก็ตาม

เขาคิดว่าเสี่ยวอันจื่อเป็นคนของตนเอง แต่สุดท้ายกลับเป็นไส้ศึกที่ผู้อื่นซ่อนเอาไว้ข้างตัว

เห็นได้ชัดว่าข้างกายถูกคนแทรกแซงมานานแล้ว

ให้ตายเถิด รังแกกันมากเกินไปแล้ว!

แต่ภายนอกเขายังต้องโต้เถียงอย่างหนัก

ภายในขบวนถ่ายทอดพระราชโองการมีมือสังหาร หากเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี พวกเขาคงต้องลำบากอย่างแน่นอน

เยียนอวิ๋นเกอดึงมีดสั้นออกมา ท่าทางราวกับจะเปิดศึก

ติงฉางซื่อชี้ไปที่นางด้วยความตื่นตระหนก “คุณหนูสี่ ท่านอย่าวู่วาม ข้าเป็นทูตที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง คนข้างกายของข้าก็ไม่ธรรมดา ท่านจะฆ่าข้า ได้ถามความเห็นของท่านหญิงก่อนหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเย้ยหยัน

กลัวตายหรือ!

กลัวตายก็ง่ายแล้ว!

นางควงมีดสั้น เดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว

ติงฉางซื่อเหงื่อผุดเต็มศีรษะ

ในช่วงที่เขาพักอยู่ที่จวนตระกูลเยียน สิ่งที่เขาได้ยินมากที่สุดก็คือข่าวลือเกี่ยวกับเยียนอวิ๋นเกอ

นางเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน หากพูดไม่ถูกใจก็ลงมือ

นางกล้าแม้แต่จะปะทะกับเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดา

มันคือความอกตัญญูอันใหญ่หลวง!

อีกทั้งนางยังเป็นใบ้

ในเวลานี้ แม่นมของเซียวฮูหยินเดินทางมาถึงพอดี

“ติงกงกง ท่านหญิงเชิญท่านไปพบ มีเรื่องจะหารือเจ้าค่ะ”

“ได้ๆๆ ข้าจะรีบไปทันที!”

ติงฉางซื่อรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็สามารถออกห่างจากเยียนอวิ๋นเกอได้เสียที!

[1] ขันทีประตูเหลือง[1] ตำแหน่งของข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดจักรพรรดิ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

Status: Ongoing
ณหนูจวนอื่นชื่นชอบแพรพรรณงดงาม กวี ภาพเขียน บุรุษหล่อเหลา แต่คุณหนูสี่จวนโหวกลับคลั่งไคล้ในเงินทอง! การค้ารูปแบบใดที่แผ่นดินนี้ไม่เคยมีล้วนออกมาจากสมองของนางและทั้งหมดล้วนทำให้เงินทองไหลมาเทมา!นิยายโรแมนติกจีนโบราณ ที่นางเอกมากความสามารถและคลั่งไคล้เงินสุดๆ!คุณหนูสี่แห่งจวนโหว เยียนอวิ๋นเกอ เป็นใบ้เพราะอุบัติเหตุตอนยังเด็กทำให้อุปนิสัยดุร้าย อารมณ์ร้อน มุทะลุยิ่งนักใครๆ ล้วนมองว่านางเป็นหญิงเอาแต่ใจไม่เคยคำนึงถึงสิ่งใดแต่จิตวิญญาณด้านในของนางนั้นคือหญิงสาวผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในวันสิ้นโลกอาจเพราะความยากลำบากในชาติก่อนสิ่งเดียวที่นางกลัวที่สุดก็คือกลัวอดตาย!ดังนั้นหากไม่อยากอดตายต้องทำอย่างไรก็ต้องมีเสบียง! และการจะมีเสบียงได้นั้นก็ต้องมีเงิน!เพื่อการนั้นนางจะทุ่มเทสมองในการบุกเบิกการค้า ปูรากฐานทุกอย่างเพื่อพี่น้องและมารดาด้วยมันสมองของคนยุคใหม่นางไม่เชื่อว่าจะทำไม่ได้ทหารต่อให้เก่งกาจเพียงใดหากไม่มีเสบียงแล้วไซร้ก็ยากจะรบต่อไปได้ถึงตอนนั้นในแผ่นดินที่ฮ่องเต้จ้องจะกวาดล้างอำนาจขุนนาง ครอบครัวนางย่อมหยัดยืนได้อย่างมั่นคง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท