ตอนที่ 21 มือลื่น
เมืองหลวงอยู่แค่เอื้อม!
หลังจากที่ตรวจสอบเอกสารยืนยันตัวตนแล้ว ขุนนางประจำประตูเมืองก็ปล่อยผ่าน
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ เรื่องที่ต้องสูญเสียเวลามากเช่นนี้ ติงฉางซื่อรวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาต่างอดทนเอาไว้ได้
ไม่มีผู้ใดกระโดดออกมาสร้างปัญหาแก่ขุนนางประจำประตูเมือง
ยิ่งไม่มีผู้ใดกระโดดออกมาเรียกร้องว่าจะจัดการขุนนางประจำประตูเมืองที่สร้างปัญหากลุ่มนี้
เยียนอวิ๋นเกอประหลาดใจอย่างมาก!
บัดนี้ขุนนางล้วนเจรจาได้ง่ายเพียงนี้แล้วหรือ
เซียวฮูหยินหัวเราะเสียงเบา เห็นได้ชัดว่านางมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
นางไขข้อสงสัยให้แก่เยียนอวิ๋นเกอ “ติงฉางซื่อไม่ได้ให้เกียรติขุนนางประจำประตูเมือง อีกทั้งไม่ได้รักษากฎระเบียบแต่อย่างใด หากแต่ต้องให้เกียรติผู้บังคับบัญชาของขุนนางประจำประตูเมืองที่เป็นคนของตระกูลเถา พวกเขาควบคุมความปลอดภัยของประตูเมืองเมืองหลวง!”
อ่อ!
เยียนอวิ๋นเกอกระจ่างทันที
ที่แท้ก็เป็นคนในตระกูลของฮองเฮา
ไม่อาจโทษความขี้ขลาดของติงฉางซื่อได้
ตระกูลเถามีอำนาจมาก หลบได้ย่อมต้อมหลบ
ขบวนรถเดินทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น
เมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองสมคำร่ำลือ เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินเมื่อเทียบกับรัฐโยวโจว
เพียงแต่ภายใต้ความรุ่งเรืองนี้ เยียนอวิ๋นเกอยังมองเห็นความล้มเหลว ความยากจน ความเฉยชา ความเคียดแค้น…
เมืองหลวงนี้เผยให้เห็นสภาพแห่งการล่มจมออกมาแล้ว
เยียนอวิ๋นฉีมองพินิจทิวทัศน์ของเมืองหลวงด้วยความสงสัยผ่านทางหน้าต่างรถ
นางจับมือของเยียนอวิ๋นเกอ “น้องสี่ พวกเราหาโอกาสออกมาเที่ยวเล่นดีหรือไม่”
ดีสิ!
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า!
นางย่อมต้องคุ้นชินกับสถานที่ก่อนที่จะวาดแผนที่ของเมืองหลวงออกมา
…
พื้นที่ทุกตารางนิ้วของตรอกผิงอันล้วนล้ำค่า
จวนที่ฮ่องเต้จงจ้งพระราชทานให้แก่เซียวฮูหยินก่อนสวรรคตอยู่ในตรอกผิงอันแห่งนี้
จวนที่มีเรือนสามหลังซ้อนกัน มีลานกว้างใหญ่ บรรจุคนนับพันไม่เป็นปัญหา
องครักษ์สองพันนาย ครึ่งหนึ่งทิ้งไว้ที่จวนนอกเมือง
ครึ่งหนึ่งประจำการอยู่ในจวนหลักในเขตจู้หยาง ตรอกผิงอัน
ภายในจวนมีผู้เฝ้าดูแลเก็บกวาดตลอดปี รักษาไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซม สามารถเข้าพักได้ทันที
คนทั้งขบวนพักอยู่ในจวนหลักเขตจู้หยางอย่างเอิกเกริกครึกโครมดึงดูดความสนใจจากทุกหนแห่ง
ในขณะที่คนเพิ่งปักหลักลงก็มีคนส่งจดหมายเทียบเชิญมาให้
“ผู้ใดมีการเคลื่อนไหวได้เร็วเพียงนี้ พวกเราเพิ่งเข้าเมืองก็มีคนมาส่งจดหมายเทียบเชิญเสียแล้ว” เยียนอวิ๋นฉีถามด้วยความสงสัย
เซียวฮูหยินเปิดจดหมายเทียบเชิญออก เมื่อเห็นชื่อที่ลงนามนางก็หัวเราะขึ้นมา
“องค์หญิงเฉิงหยางทรงทราบว่าพวกเรามาถึงเมืองหลวงแล้ว ส่งคนมามอบจดหมายเทียบเชิญ สามวันหลังจากนี้ พวกเจ้าพี่น้องติดตามข้าเดินทางไปยังจวนขององค์หญิงเฉิงหยาง”
เยียนอวิ๋นฉีรับจดหมายเทียบเชิญมาดู “องค์หญิงเฉิงหยางท่านนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับท่านแม่หรือ”
เซียวฮูหยินครุ่นคิด พูด “ไม่ถือว่าดี แต่ก็ไม่เคยมีความบาดหมางกัน นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฝ่าบาท เมื่อถึงจวนองค์หญิง พวกเจ้าต้องระมัดระวังให้ดี”
เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้ว “ภายในพระราชวังไม่มีการเคลื่อนไหว หากแต่เป็นจวนองค์หญิงออกจดหมายเทียบเชิญ ท่านแม่ พวกเราจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเมื่อใดกันเจ้าคะ”
เซียวฮูหยินเลิกคิ้วยิ้ม เอ่ยขึ้น “ไม่ใช่พวกเราอยากเข้าวังเมื่อใดย่อมเข้าได้ ต้องรอภายในพระราชวังเรียกเข้าเฝ้าก่อน ข้าคาดการณ์ว่าฝ่าบาทคงไม่เรียกพวกเราเข้าเฝ้าทันที ย่อมต้องส่งคนมาลองเชิง ดูปฏิกิริยาของคนแต่ละฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่ข้ากลับเมืองหลวงก่อน หากเป็นไปตามคาด องค์หญิงเป็นการลองเชิงรอบแรก”
อ่อ!
ที่แท้เป็นการลองเชิง
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า
ในฐานะของน้องสาวฮ่องเต้ นางเป็นคนออกหน้าก็สมเหตุสมผล
…
พักอยู่ในเมืองหลวง เยียนอวิ๋นเกอปรับตัวได้เป็นอย่างดี
นางพาพี่สองเยียนอวิ๋นฉีออกเช้ากลับค่ำทุกวันเพื่อสำรวจพื้นที่
ระหว่างนี้นางมีเรื่องสามครั้ง ชกต่อยกับคนที่มีตาแต่ไร้แววกลุ่มหนึ่ง
แม้จะอยู่ในเมืองหลวง นางก็ไม่ได้จงใจปิดบังความสามารถของตนเอง
จากมุมมองของนางมันไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง
เกิดปรากฏการณ์โกลาหลขึ้นภายในเมืองหลวงเสียแล้ว
การปิดบังนั้นไร้ประโยชน์
เวลานี้ควรที่จะปลดปล่อยหมัดออกมาเพื่อให้คนเกรงกลัว
เวลาสามวันผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
นางดื้อรั้นที่จะสวมชุดขี่ม้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยง
พูดอย่างเข้าใจง่ายคือสะดวกต่อการปะทะ
เซียวฮูหยินหมดหนทางกับนาง
“เจ้าหน่ะ อย่าลืมห้ามใจเอาไว้บ้าง ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว วันนี้แขกในจวนองค์หญิงมีจำนวนมาก สตรีแห่งตระกูลชนชั้นสูงมากมายในเมืองหลวงต่างเข้าร่วม เมื่อถึงจวนองค์หญิง เจ้ากินดื่มให้สนุก อย่าได้สนทนากับสตรีเหล่านั้น หากพบผู้ที่จงใจก่อกวน ให้พี่รองของเจ้าออกหน้าแทน เจ้าเขียนหนังสือเร็วเพียงใดก็ไม่อาจเร็วกว่าปากของผู้อื่นได้ อย่าลงมือ แต่ก็อย่าเสียเปรียบผู้ใด”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยีด้วยความสดใส
นางวาดไม้วาดมือ ‘ท่านแม่วางใจ ข้าไม่เสียเปรียบ’
เซียวฮูหยินลูบหัวของนาง “อวิ๋นเกอโตแล้ว สามารถดูแลตนเองได้ ดีมาก!”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยี ท่าทางดีใจอย่างมาก อีกทั้งยังอดถูไถไปมาบนตัวของเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่ได้
เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “เพิ่งบอกว่าเจ้าโตแล้ว ครานี้กลับทำเหมือนเด็กอีกแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอกอดเอวของเซียวฮูหยินไม่ยอมปล่อยมือ
ราวกับเด็กที่รอคอยคำชม
เซียวฮูหยินพูดกลั้วหัวเราะ “สายแล้ว พวกเราต้องรีบออกเดินทาง เข้าเมืองเป็นแขกครั้งแรกไม่อาจสายได้”
แม่ลูกทั้งสามคนนั่งรถม้าสองคัน ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จวนองค์หญิงเฉิงหยาง
…
จวนองค์หญิงเฉิงหยางเต็มไปด้วยแขกเหรื่อ
แม่ลูกทั้งสามลงจากรถม้าบริเวณประตูรอง มีหญิงชรารับใช้เดินนำพวกนางมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงใหญ่นั่งเต็มไปด้วยผู้คน
ล้วนเป็นสตรีของตระกูลขุนนางชนชั้นสูงภายในเมืองหลวง
ผู้ที่นั่งอยู่บริเวณตรงกลางนั้นคือองค์หญิงเฉิงหยาง
องค์หญิงเฉิงหยางอายุใกล้เคียงกับเซียวฮูหยิน เนื่องจากการบำรุงรักษาที่ดี ผิวพรรณของนางขาวผ่อง อีกทั้งอวบสมบูรณ์เล็กน้อย
ดูเด็กกว่าอายุจริงเจ็ดแปดปี ราวกับสตรีอายุยี่สิบแปดยี่สิบเก้า
นางแต่งกายสง่างาม ทั้งตัวเต็มไปด้วยเครื่องประดับ แสดงให้เห็นถึงความสูงส่ง
ไม่พบกันยี่สิบปี องค์หญิงเฉิงหยางพบกับเซียวฮูหยิน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกแปลกตาและห่างเหิน…
ท่าทางขององค์หญิงเฉิงหยางไม่กระตือรือร้น แต่ก็ไม่เย็นชา
นางทักทายอย่างเกรงใจ “พี่จู้หยาง พวกเราจากกันราวยี่สิบปีแล้วใช่หรือไม่”
เซียวฮูหยินพยักหน้า “ยี่สิบปีพอดี”
เซียวฮูหยินมีฐานันดรศักดิ์เป็นท่านหญิง พระราชทานนามว่าจู้หยาง
ดังนั้น ภายในราชวงศ์ต่างแทนนางว่าจู้หยาง
องค์หญิงเฉิงหยางพูดด้วยความระลึกถึง “ตอนที่ท่านจากเมืองหลวงไป พวกเราต่างยังเป็นเด็ก เมื่อพบกันอีกครั้ง พวกเราต่างก็ชราลง ต่างเป็นมารดาของเด็กๆ แล้ว หลายสิบปีมาปีนี้พี่จู้หยางสบายดีหรือไม่ เหตุใดจึงไม่เคยเขียนจดหมายกลับมาเมืองหลวง ทำให้ข้าเป็นห่วงท่านยิ่งนัก”
“เป็นความผิดของข้าที่ทำให้องค์หญิงต้องทรงกังวลพระทัย หลายสิบปีนี้องค์หญิงทรงสบายดีหรือไม่”
องค์หญิงเฉิงหยางพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสบายดี ไม่ดีไม่ได้”
ใช่!
บิดาและพี่ชายล้วนเป็นฮ่องเต้ จะไม่ดีได้อย่างไร
เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม ไม่ได้คล้อยตามอีกฝ่าย
องค์หญิงเฉิงหยางกระแอมไอเสียงเบา “หลายปีนี้พี่จู้หยางเหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่ ดูเหมือนท่านจะห่างไกลจากการบำรุง ภายนอกแก่ชราลงอย่างเห็นได้ชัด!”
เมื่อสิ้นคำพูดนี้ บางคนที่นั่งอยู่ต่างแอบหัวเราะออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกนางต้องการเห็นความอับอายของเซียวฮูหยิน
เซียวฮูหยินกวาดตามองบรรดาสตรีจากแต่ละตระกูล ไม่ดีใจและไม่โกรธ นางพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ห่างจากเมืองหลวงยี่สิบปี ไม่คุ้นชินกับอากาศและอาหารในเมืองหลวงมากนักแล้ว กลับมาถึงเมืองหลวงเพียงสามวัน ยังปรับตัวไม่ได้ จึงเหนื่อยล้าเล็กน้อย”
องค์หญิงเฉิงหยางเอ่ย “เป็นความผิดของข้า ลืมว่าพี่จู้หยางเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง ยังต้องการเวลาปรับตัว เพียงแต่ภายในใจระลึกถึงท่านพี่อย่างมาก เมื่อได้ยินว่าท่านกลับมาเมืองหลวง จึงให้คนไปส่งจดหมายเทียบเชิญแก่ท่านด้วยความร้อนใจ เดิมทีคิดว่าท่านจะไม่มาเสียอีก ไม่คิดว่าท่านจะมา”
เซียวฮูหยินเลิกคิ้วยิ้ม “เทียบเชิญขององค์หญิง หากข้าไม่มาย่อมเป็นการไม่ให้เกียรติไม่ใช่หรือ”
“ฮ่าๆๆ …ขอบคุณพี่จู้หยางที่ให้เกียรติข้า หลายสิบปีนี้ ข้าลืมไปแล้วว่ายังต้องให้ผู้อื่นให้เกียรติ”
องค์หญิงเฉิงหยางยิ้มอย่างมีนัย คำพูดมีความหมายแฝง
สตรีท่านอื่นต่างมีสีหน้าและความคิดแตกต่างกันไป
เซียวฮูหยินสีหน้าเรียบเฉย “เกียรติล้วนเป็นสิ่งที่มอบให้ซึ่งกันและกัน องค์หญิงให้เกียรติข้า ข้าย่อมต้องให้ตอบ”
องค์หญิงเฉิงหยางยิ้มเย้ยหยัน “ท่านพี่ยังรู้ว่าเกียรติเป็นสิ่งที่มอบให้ซึ่งกันและกันหรือ! ข้าคิดว่าท่านพี่อยู่ในดินแดนยากลำบากนั้นยี่สิบปี ลืมกฎระเบียบจนหมดสิ้นแล้วเสียอีก!”
เคร้ง!
เสียงดังก้องทำให้เหล่าผู้คนตกใจ
ผู้ใดบังอาจเพียงนี้ กล้าส่งเสียงรบกวนในขณะที่องค์หญิงกำลังตรัส
หาที่ตายหรือ
เมื่อมองไปตามเสียง เตาอุ่นมือทองเหลืองใบหนึ่งหล่นลงบนพื้นกำลังกลิ้งไปมาตามแรง
ทุกคนต่างเงยหน้าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเห็นพี่น้องตระกูลเยียนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังเซียวฮูหยิน
หัวใจของเยียนอวิ๋นฉีบีบเค้น ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นรับผิดเรื่องนี้
ไม่คิดว่าเยียนอวิ๋นเกอจะยื่นมือรั้งนางเอาไว้ ไม่ให้นางออกไป
นางเป็นคนโยนตาอุ่นมือทองเหลือง หากต้องรับผิดย่อมต้องเป็นนาง
เยียนอวิ๋นฉีร้อนใจ “น้องสี่ เจ้าอย่าเอาแต่ใจ”
เยียนอวิ๋นเกอสีหน้าจริงจัง อ้าปาก พูดอย่างไร้เสียง ‘ห้ามพูด!’
เยียนอวิ๋นฉีร้อนใจอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากการควบคุมของเยียนอวิ๋นเกอ
เซียวฮูหยินกวาดตามองเตาอุ่นมือทองเหลืองอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ต้องหันกลับไปมอง นางก็รู้ว่าเป็นฝีมือของอวิ๋นเกอ
นางก้มหน้ายิ้ม ยื่นมือออกไปเก็บเตาอุ่นมือทองเหลืองขึ้นมา เช็ดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงด้านบน
“เด็กอายุน้อย ไม่เคยเปิดหูเปิดตา อีกทั้งยังพูดไม่ได้ ขี้กลัว มือลื่น เตาอุ่นมือทองเหลืองหล่นอยู่บนพื้นยังไม่กล้าเก็บขึ้นมา องค์หญิงโปรดให้อภัย!”
สายตาแหลมคมขององค์หญิงเฉิงหยางกวาดผ่านพี่น้องตระกูลเยียน “พูดไม่ได้? อ่อ ที่แท้ก็เป็นคุณหนูสี่แห่งตระกูลเยียนหรือ ผู้ใดกัน ยืนออกมาให้ข้าดู ข้าอยากรู้ว่ามือลื่นอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอรีบยืนขึ้น เดินผ่านผู้คนออกมา
นางสวมชุดขี่ม้า รูปร่างสูงโปร่ง ลักษณะทะเล้น แต่ใบหน้าแสดงออกถึงความองอาจ
“เป็นหญิงสาวที่งดงามเสียจริง เจ้าฟังที่ข้าพูดรู้เรื่องหรือไม่” องค์หญิงเฉิงหยางถาม
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ย่อมฟังรู้เรื่อง
องค์หญิงเฉิงหยางส่งเสียงไม่พอใจ “ฟังรู้เรื่องก็ดี! ท่านแม่เจ้าบอกว่าเจ้ามือลื่น ทำเตาอุ่นมือทองเหลืองหล่น ยื่นมือออกมาให้ข้าดู มือลื่นอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอยื่นมือออกมาข้างหนึ่งด้วยสีหน้าเปิดเผย
องค์หญิงเฉิงหยางยิ้มเย้นหยัน “ผู้ใดก็ได้ มารักษาอาการมือลื่นของคุณหนูสี่ให้หายดีหน่อย”
ทันทีที่สิ้นเสียง หญิงชรารับใช้สองคนถือไม้บรรทัดเดินขึ้นหน้ามา เห็นได้ชัดว่าต้องการตีนาง
เยียนอวิ๋นฉีร้อนใจ แต่ก็ไม่กล้าออกเสียง นางเกรงว่าจะยิ่งช่วยยิ่งแย่
เซียวฮูหยินสีหน้าดำทะมึน “องค์หญิงหมายความอย่างไร”
องค์หญิงเฉิงหยางเลิกคิ้วยิ้ม “ย่อมหมายความว่าต้องการรักษาอาการมือลื่นของคุณหนูสี่! โบยบัดนี้!”
หญิงชรารับใช้รับคำสั่ง ยกไม้บรรทัดขึ้นโบยลงมา
ทุกคนต่างตั้งท่ารอชม ไม่มีผู้ใดขอร้องแทน
ในขณะที่ไม้บรรทัดกำลังจะกระทบลงมา ความสนุกกำลังจะมาเยือน แต่ไม่คิดว่าความสนุกนี้จะพลิกฝั่ง
“อ้า!”
“ตีคนแล้ว!”
ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจสองเสียง หญิงชรารับใช้ถูกอีกฝ่ายเตะปลิว ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงบนพื้นในท้ายที่สุด
ในเหตุการณ์ นอกจากเซียวฮูหยินแม่ลูกแล้ว ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างมาก
เยียนอวิ๋นเกอกล้าลงมือตีแม่นมในจวนองค์หญิง?
นางเสียสติไปแล้วหรือ