ตอนที่ 28 พบหน้า
โน้มน้าวฮ่องเต้ให้ทรงเปลี่ยนความคิดหรือ
ใบหน้าขององค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ขมขื่น
หากเขามีความสามารถนี้ เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนเหมือนวันนี้หรือ แม้แต่เรียกร้องตำแหน่งให้มารดายังทำไม่ได้
องค์หญิงเฉิงหยางตรัสอย่างตรงไปตรงมา “หากเจ้าไม่อยากสมรสกับคุณหนูตระกูลเยียน แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของฝ่าบาทได้ ข้าว่าเจ้าปล่อยให้เป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น อย่างไรเจ้าก็ต้องสมรส การสมรสกับคุณหนูตระกูลเยียนย่อมดีกว่าสมรสกับตระกูลหลี่ หากเจ้ายังคงยืดเยื้อต่อไป ระวังฮองเฮาทรงโน้มน้าวฝ่าบาทให้เจ้าหมั้นหมายคุณหนูตระกูลหลี่”
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที
องค์หญิงเฉิงหยางส่งเสียงไม่พอใจ “หากไม่มีความสามารถอย่าบังอาจคิดขัดขืน หากเจ้าต้องการขัดขืน ก่อนอื่นเจ้าต้องมความสามารถและความมั่นใจเสียก่อน”
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ผลุดลุกขึ้น “ขอบพระทัยคำสอนของเสด็จอา เสด็จอาโปรดทรงช่วยหลานโน้มน้าวให้เสด็จพ่อเปลี่ยนแปลงความคิดด้วยเถิด”
“พวกเจ้าแต่ละคนต่างคาดหวังให้ข้าช่วย แต่ข้าจะคาดหวังผู้ใดช่วยข้าได้บ้าง”
องค์หญิงเฉิงหยางส่งเสียงไม่พอใจหลายครั้ง
นางพูด “เจ้าลองพบกับคุณหนูรองตระกูลเยียนก่อนดีหรือไม่ หากพบหน้าแล้ว เจ้ายังคงไม่ยินดีสมรส เมื่อถึงเวลานั้นข้าย่อมหาวิธีช่วยเจ้า”
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่พูดอย่างจริงจัง “หลานไม่ใช่ผู้หลงใหลในความงาม!”
ความหมายคือเขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความคิดเพราะรูปลักษณ์ของคุณหนูรองตระกูลเยียน
“ถุย!”
องค์หญิงเฉิงหยางไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ไม่มีผู้ใดบอกว่าเจ้าหลงใหลในความงาม เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับข้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากฝ่าบาทตรัสถามว่าคุณหนูตระกูลเยียนไม่ดีตรงใด แต่เจ้าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน เจ้าจะทูลตอบได้หรือ เมื่อฝ่าบาททรงฟังย่อมรู้ว่าเจ้าพูดเหลวไหล เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหรือไม่”
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่มองนาง “ต้องพบให้ได้อย่างนั้นหรือ”
องค์หญิงเฉิงหยางพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ ต้องพบให้ได้!”
เกรงว่าหากยืดเยื้อต่อไปจะมีปัญหามากจึงนัดพบกันสองวันหลังจากนี้
…
เวลาสองวันผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
เช้าตรู่ หิมะแรกของฤดูหนาวปีนี้ตกลงมาในเมืองหลวง
ยิ่งตกยิ่งหนัก
เรื่องสำคัญ แม้จะต้องฝ่าลมฝ่าหิมะ เซียวฮูหยินก็ยังงพาบุตรสาวทั้งสองมาตามนัดอย่างตรงเวลา
องค์หญิงเฉิงหยางกระตือรือร้นเป็นพิเศษเมื่อเห็นเซียวฮูหยิน
นางจับมือของอีกฝ่าย ตรัสขึ้น “หิมะยิ่งตกยิ่งหนัก ข้ายังกังวลว่าพี่จู้หยางมาไม่ได้ ไม่คิดว่าพี่จู้หยางเป็นผู้รักษาสัจจะ อากาศที่ย่ำแย่เพียงนี้ ยังมาได้ตรงเวลา”
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องต้องขอร้องผู้อื่น ข้าจะกล้าล่าช้าได้อย่างไร องค์หญิงทรงต้องเป็นกังวลเรื่องของบุตรสาวของข้า ข้าช่างลำบากใจยิ่งนัก”
“พี่จู้หยางเกรงใจเกินไป! บุตรสาวของท่านพี่ย่อมเหมือนหลานสาวของข้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
เซียวฮูหยินยิ้ม แต่ภายในใจไม่สงบ
ความกระตือรือร้นผิดปกติขององค์หญิงเฉิงหยางทำให้คนรู้สึกระวนกระวาย
เมื่อเดินทางมาถึงห้องโถงเรือนหลัง ทุกคนต่างนั่งลง
เวลานี้ องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ยังเสด็จมาไม่ถึง องค์หญิงเฉิงหยางจึงพูดคุยกับเซียวฮูหยินขึ้นมา
“ระยะใกล้นี้เกิดเรื่องน่าแปลกขึ้น พี่จู้หยางรู้หรือไม่”
เซียวฮูหยินส่ายหัว “ไม่รู้ว่าองค์หญิงตรัสถึงเรื่องใด ท่านก็รู้ ข้าห่างจากเมืองหลวงหลายสิบปี ข่าวคราวถูกปิดกั้น อีกทั้งกำลังวุ่นวายกับเรื่องของบุตรสาว เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ข้าไม่เคยได้ยินเลยเสียจริง”
องค์หญิงเฉิงหยางวางถ้วยชาลง ทำหน้าสอดรู้ “พี่จู้หยางจำท่านอ๋องตงผิงได้หรือไม่ ตอนเด็กพวกเรายังเคยพบกับเขาสองครั้ง”
เซียวฮูหยินพยักหน้า “จำได้!”
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอที่นั่งอยู่บนพื้นด้านหลังของเซียวฮูหยินได้ยินว่าท่านอ๋องตงผิง นางจึงรีบเงี่ยหูขึ้น
ท่านอ๋องตงผิง บิดาของชายหนุ่มแซ่เซียว ผู้วางแผนลอบสังหารเยียนโส่วจ้าน น้องเขยของท่านโหวผิงอู่ สืออุน
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนเป็นสามีของพี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟย
เยียนอวิ๋นเกอกลั้นหายใจ รอคอยสิ่งที่องค์หญิงเฉิงหยางกำลังจะตรัสต่อไป
องค์หญิงเฉิงหยางเป็นผู้กระจายข่าวที่ตรงตามคุณสมบัติ นางไม่ได้แสร้งทำตัวลึกลับยืดเยื้อ หากแต่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
นางตรัสด้วยสีหน้าลึกลับ “พระชายาเดิมของท่านอ๋องตงผิงให้กำเนิดโอรสสองคน หากข้าจำไม่ผิด คนเล็กนามว่าเซียวอี้ เซียวอี้นี้เป็นเด็กดื้อรั้น ใจกล้าอุกอาจ ล่ำลือว่าเขาวางแผนลอบสังหารมารดารองของตนเอง แม้แต่พี่ชายร่วมมารดาก็ไม่เว้น ท่านอ๋องตงผิงโกรธมาก ประกาศจะตัดชื่อเขาออกจากวงศ์ตระกูล ขับไล่เขาออกจากจวนอ๋อง”
เซียวฮูหยินทำหน้าประหลาดใจ “เด็กผู้นั้นใจกล้าถึงเพียงนี้! ท่านอ๋องตงผิงจะตัดชื่อเขาจริงหรือ”
“แน่นอน ท่านอ๋องตงผิงประกาศแล้วว่านับจากนี้เรื่องของเซียวอี้ไม่เกี่ยวกับจวนอ๋องอีกต่อไป”
หยุดชะงักไปชั่วครู่ องค์หญิงเฉิงหยางตรัสด้วยความสอดรู้อีกครั้ง
“พี่จู้หยางลองเดา หลังจากเซียวอี้ถูกขับออกจากจวนอ๋อง เขาไปที่ใด เขาไปอยู่ในจวนชองสืออุนผู้เป็นลุง ครั้งนี้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางต่างเดินทาเข้าเมืองหลวงเพื่อทูลรายงานหน้าที่ ได้ข่าวว่าสืออุนส่งเซียวอี้เดินทางมาแทน เมื่อถึงคราวที่พ่อลูกพบหน้ากันคงจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น”
เซียวฮูหยินเต็มไปด้วยความอยากรู้ “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใดกัน”
องค์หญิงเฉิงหยางตรัส “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน เซียวอี้ผู้นี้แม้จะอายุไม่มาก แต่ความกล้าทะลุฟ้า เมื่อรอเขามาถึงเมืองหลวง ข้าจะดูเสียหน่อยว่าเขามีสามหัวหกแขนหรือไม่ บังอาจลอบสังหารมารดาและพี่ชาย ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก”
หลังจากได้ยินข่าวลือ เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงจิ๊ภายในใจ
ลอบสังหารมารดา อีกทั้งยังต้องการสังหารพี่ชาย เซียวอี้ช่างป่าเถื่อนเสียจริง
ไม่เพียงป่าเถื่อน อีกทั้งยังบ้าคลั่งอย่างมาก
เขาเสียสติไปแล้วหรือ!
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด เซียวอี้กำเริบเสิบสานอย่างแท้จริง แม้อยู่ในตระกูลเยียนเขายังกล้าลอบสังหารเยียนโส่วจ้าน นางคาดว่าไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่กล้าทำ
ลอบสังหารมารดาและพี่ชาย ฟังดูเหมือนเป็นแนวทางของเขาจริงๆ
คนผู้นี้เป็นนายน้อยในจวนอ๋องดีๆ ไม่ชอบ วิ่งไปลอบสังหารผู้อื่น เขาคิดได้อย่างไร
“น้องสี่กำลังคิดเรื่องใด” เยียนอวิ๋นฉีถามเสียงเบา
เยียนอวิ๋นเกอดึงสติกลับมา ส่ายหัวเบาๆ เป็นการบอกว่าไม่ต้องกังวล
นางคงไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ว่าตนเองรู้จักกับเซียวอี้ อีกทั้งยังเคยปะทะกันมาแล้ว
ยิ่งไม่อาจบอกได้ว่า เซียวอี้เคยพยายามลอบสังหารเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดา
บุรุษผู้นี้เป็นมือสังหารตั้งแต่กำเนิดหรือ มักจะสังหารคนไปทั่ว
เยียนอวิ๋นเกอคิดในใจ เมื่อเขาถึงเมืองหลวง นางต้องไปพบอีกฝ่ายเสียหน่อย อีกทั้งยังต้องระวังอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย
นางคาดเดาว่าเซียวอี้กล้าเล่นลอบสังหารในเมืองหลวง
ไม่แน่ว่าเขาอาจมีแผนการนี้อยู่แล้ว
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด นางจะฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์ในขณะที่เซียวอี้ลอบสังหาร
นางแอบหัวเราะในใจ
อีกทั้งยังไม่ลืมปลอบพี่สอง เยียนอวิ๋นฉี
พี่สองอย่ากังวล
เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า พูดเสียงเบา “เจ้าว่าเหตุใดองค์ชายใหญ่จึงยังไม่ถึง หรือเขาจะไม่เสด็จมาแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอยู่ปากไปทางด้านนอก วันนี้หิมะตกหนักอาจล่าช้า
เยียนอวิ๋นฉีมองไปด้านนอกประตู หิมะสีขาวราวกับขนห่านร่วงหล่นลงมา ระหว่างฟ้าดินเต็มไปด้วยสีขาวโพลน
“น้องสี่พูดถูก อาจเพราะล่าช้าระหว่างทาง”
สองพี่น้องกำลังแอบคุยกันเรื่อยเปื่อย เวลานี้บ่าวรับใช้มาทูลรายงานว่าองค์ชายใหญ่เสด็จมาถึงแล้ว กำลังเสด็จมาทางโถงรับรองแขก
เยียนอวิ๋นฉียืดหลังตรงตั้งท่ารอรับอย่างจริงจัง
องค์หญิงเฉิงหยางหัวเราะ “มาเสียที พี่จู้หยางยังไม่เคยพบองค์ชายใหญ่ใช่หรือไม่ เขาเป็นเด็กดี เพียงแต่โชคชะตาขมขื่น ไร้มารดาแต่กำเนิด ฝ่าบาทก็ทรงไม่โปรดปรานเขา ช่างน่าสงสาร! เติบโตมาได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้ไม่ง่าย!”
“องค์หญิงตรัสถูกต้อง”
ท่าทีของเซียวฮูหยินคลุมเครือ
ไม่นานนัก องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่เดินทางมาถึงห้องโถง
แวบแรกที่เห็น เขาให้ความรู้สึกน่าประทับใจ คิ้วเข้มตาโต รูปร่างสูงโปร่ง เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ
เขาคำนับตามประเพณีของผู้เยาว์เคารพผู้อาวุโส
เขาแทนเซียวฮูหยินว่าเสด็จอา
เซียวฮูหยินตอบรับเขาด้วนการพยักหน้า มีมารยาท
เยียนอวิ๋นฉียืนขึ้นพร้อมเยียนอวิ๋นเกอ ถวายบังคมต่อเขา
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่พูด “ทั้งสองคือน้องสาวตระกูลเยียนใช่หรือไม่ ไม่ต้องมากพิธี”
ทำตามประเพณี เยียนอวิ๋นฉียิ้มบาง
เยียนอวิ๋นเกอมองซ้ายมองขาว ดึงเยียนอวิ๋นฉีนั่งลงทันที
พี่สอง ท่านอย่าหวั่นไหวเชียว
เยียนอวิ๋นฉีใช้แขนเสื้อบดบัง แอบหยิกเยียนอวิ๋นเกอหนึ่งที กระซิบเสียงเบา
“น้องสี่อย่าพูดเหลวไหล มันเป็นมารยาท”
เยียนอวิ๋นเกอกรอกตา
เซียวฮูหยินซักถามองค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่อย่างอ้อมค้อม
เมื่อเห็นว่ากำลังจะพูดคุยเรื่องสมรส องค์หญิงเฉิงหยาก็ตรัสให้สองพี่น้องตระกูลเยียนออกไปก่อน
“อวิ๋นฉี อวิ๋นเกอ นั่งมานานเพียงนี้คงเหนื่อยแล้ว ห้องพักด้านข้างเตรียมน้ำชาและขนมเอาไว้ ไร้คนรบกวน พวกเจ้าสองพี่น้องไปนั่งพักในห้องพักด้านข้างก่อน หากนั่งเบื่อแล้ว ให้สาวรับใช้นำพวกเจ้าไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ หิมะและลมแรง ตอนออกไปด้านนอกอย่าลืมสวมผ้าคลุม”
เซียวฮูหยินพูดเสริม “เชื่อฟังองค์หญิง พวกเจ้าสองพี่น้องถอยออกไปเถิด”
“เพคะ!”
สองพี่น้องลุกขึ้นเดินออกไป!