ลมแรงหิมะตกหนัก!
ทุกสิ่งระหว่างฟ้าดินล้วนถูกหิมะสีขาวปกคลุม
เยียนอวิ๋นเกอชอบอากาศแบบนี้
นางนั่งดื่มชากินขนมกับพี่สองด้วยความอึดอัด
นางอยากไปชมหิมะที่สวนดอกไม้
“คุณหนูคลุมผ้าไว้ก่อน ระวังต้องลมหนาวเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้อาเป่ยรั้งเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้ บังคับให้นางสวมผ้าคลุม
เยียนอวิ๋นเกอเชื่อฟัง ใช้สองมือทำท่า ถามพี่สองว่าจะตามนางไปชมหิมะในสวนดอกไม้ด้วยกันหรือไม่
เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า “ข้าไปกับน้องสี่ ข้ารับปากท่านแม่เอาไว้ว่าจะเฝ้าดูเจ้า ไม่ให้เจ้าไปไหนคนเดียว”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา จูงมือของพี่สองวิ่งไปทางสวนดอกไม้
องค์หญิงเฉิงหยางมั่งคั่ง สวนดอกไม้ของจวนองค์หญิงจึงตกแต่งอย่างประณีต
อีกทั้งยังสร้างเรือนกระจกสำหรับเพาะเลี้ยงดอกไม้และต้นไม้ที่ราคาแพง
หิมะตกหนักอย่างมาก เดินอยู่ในสวนดอกไม้แค่ครึ่งรอบ บนผ้าคลุมก็ปกคลุมไปด้วยหิมะแล้ว
เยียนอวิ๋นเกอไม่สนใจ ร่างกายของนางแข็งแรง หิมะเพียงเท่านี้ไม่มีผลกระทบต่อนาง
แต่นางกังวลว่าพี่สองจะไม่ไหว
พี่สองไม่ได้ฝึกฝนการต่อสู้แต่เด็กเหมือนนาง หากป่วยขึ้นมาในเวลานี้คงยุ่งยาก
นางจูงมือของพี่สอง เดินกลับไปบนทางเดินเพื่อหลบลมและหิมะ
สาวรับใช้หลายคนที่่เดินตามอยู่ด้านหลังโล่งใจ กระซิบเสียงเบา
“คุณหนูสี่โตแล้ว”
“รู้จักเป็นห่วงร่างกายของคุณหนูรอง”
“นับแต่คุณหนูสี่มาถึงเมืองหลวงก็สุขุมขึ้นมาก”
สาวรับใช้ที่บอกว่าเยียนอวิ๋นเกอสุขุมเกรงว่าคงจะลืมเรื่องที่เยียนอวิ๋นเกอพังทลายจวนองค์หญิงเสียแล้ว
คนมักขี้ลืม
ผ่านไปไม่นานนัก เรื่องพังทลายจวนองค์หญิงก็กลายเป็นแค่หมอกควัน ถูกลืมเลือนไปอย่างไม่รู้ตัว
หิมะที่ค้างอยู่บนผ้าคลุมถูกปัดทิ้ง สองพี่น้องเตรียมตัวกลับห้องพัก
คำนวณจากเวลา ทางด้านท่านแม่คงเจรจาใกล้เสร็จแล้ว
มีชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินมาจากระยะไกล
เยียนอวิ๋นเกอสายตาดี จำชายหนุ่มและหญิงสาวผู้หนึ่งในนั้นได้ พวกเขาเป็นโอรสและธิดาขององค์หญิงเฉิงหยาง
ส่วนอีกสามคนที่เหลือหน้าไม่คุ้น นางไม่เคยพบมาก่อน
จ้งซูอวิ้น บุตรสาวขององค์หญิงเฉิงหยาง นางกวักมือทักทายพี่น้องตระกูลเยียนจากระยะไกล
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือตอบรับอีกฝ่าย
เยียนอวิ๋นฉีแอบกุมมือของเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้ “น้องสี่ เจ้าไม่รู้สึกประหลาดหรือ องค์หญิงเฉิงหยางเชิญพวกเรามาเป็นแขก แต่ภายในจวนองค์หญิงยังมีแขกอื่น นางไม่กลัวเรื่องของพวกเรากับองค์ชายใหญ่จะถูกกกแพร่กระจายออกไปหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอบอกให้พี่สองอย่าตื่นตระหนก
‘เนื่องจากเรื่องนี้ประหลาด มีความผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องเป็นฝ่ายริเริ่มการจู่โจม หยั่งเชิงฐานะและจุดประสงค์ของอีกฝ่าย’
“น้องสี่มีเหตุผล!”
ดังนั้น นางจึงหันกลับมาจับมือของเยียนอวิ๋นเกอ เดินขึ้นหน้าไป
จ้งซูอวิ้นกระตือรือร้นอย่างมาก
“เห็นพี่อวิ๋นฉี น้องอวิ๋นเกอมาแต่ระยะไกล วันนี้ช่างบังเอิญที่ได้พบหน้ากันในสวนดอกไม้ พี่อวิ๋นฉี น้องอวิ๋นเกอสนุกหรือไม่ สวนดอกไม้ในจวนข้าทิวทัศน์ไม่เลวใช่หรือไม่!”
เยียนอวิ๋นฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “สวนดอกไม้ในจวนองค์หญิงเป็นสวนดอกไม้ที่ตกแต่งได้ประณีตที่สุดที่ข้าเคยพบเห็น อาจเป็นเพราะข้าพบเห็นมาน้อย น้องซูอวิ้นอย่าหัวเราะเยาะข้า”
“พี่อวิ๋นฉีชมสวนดอกไม้ในจวนข้า ข้าดีใจยังไม่ทัน จะหัวเราะเยาะได้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นฉีมองไปยังคนด้านหลังจ้งซูอวิ้นอย่างสงสัย “น้องซูอวิ้นไม่แนะนำหน่อยหรือ”
“อ้า…”
จ้งซูอวิ้นทำท่าตกตะลึง ราวกับเพิ่งรู้ตัว “ข้าลืมไปว่าพี่อวิ๋นฉีกับน้องอวิ๋นเกอเพิ่งมาเมืองหลวง พวกท่านไม่รู้จักคนในเมืองหลวงมากนัก มา ข้าแนะนำให้พวกท่านรู้จัก ท่านนี้คือองค์ชายสาม ท่านนี้คือองค์ชายสี่ ท่านนี้คือองค์หญิงติ้งเถา”
โอ๊ะ วันนี้วันอะไรกัน
องค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายรวมตัวกันในจวนองค์หญิงเฉิงหยาง ช่างคึกคักเสียจริง
โดยเฉพาะ องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ องค์หญิงติ้งเถาที่กำเนิดจากเถาฮองเฮา
เป็นองค์ชายและองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮาอย่างแท้จริง
เถาฮองเฮามีโอรสสองคน ธิดาหนึ่งคน
โอรสคนโตของเถาฮองเฮา หรือองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินร่างกายอ่อนแอ มักต้องใช้ยาตลอดปี แทบไม่ออกมาข้างนอก
ความหวังทั้งหมดของเถาฮองเฮาล้วนตกอยู่บนตัวขององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้
ส่วนองค์ชายสี่ เป็นผู้ติดตามองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ตั้งแต่เด็ก เขาเป็นเหมือนทหารหน้าม้า
“ถวายบังคมองค์ชายทั้งสอง ถวายบังคมองค์หญิง”
เยียนอวิ๋นฉีดึงเยียนอวิ๋นเกอถวายบังคมตามประเพณี
นางเหลือบมองจ้งซูอวิ้นอย่างมีนัย
จ้งซูอวิ้นไม่มีทางไม่รู้ว่าองค์หญิงเฉิงหยางผู้เป็นเสด็จแม่ของนางกำลังรับรององค์ชายใหญ่เซียวเฉิงเย่อยู่ในห้องโถง
นางเชิญองค์ชายสาม องค์ชายสี่ รวมทั้งองค์หญิงติ้งเถามาเดินเล่นไปทั่วในจวน ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาหรือ
นอกเสียจากได้รับการอนุญาตจากองค์หญิงเฉิงหยาง
บางทีเหตุการณ์ในวันนี้อาจเป็นฝีมือขององค์หญิงเฉิงหยาง
เหตุใดองค์หญิงเฉิงหยางจึงทำเช่นนี้
มีผลประโยชน์อันใด
“เจ้าคือเด็กใบ้ที่พังทลายจวนองค์หญิงหรือ?” องค์หญิงติ้งเถาเหลือบมองเยียนอวิ๋นเกอด้วยท่าทางสูงส่ง พร้อมเอ่ยถามขึ้น
เยียนอวิ๋นเกอเงยหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
ท่านเป็นผู้ใดกัน
องค์หญิงติ้งเถามองพินิจขึ้นลง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”
เยียนอวิ๋นฉีกลัวเยียนอวิ๋นเกอก่อปัญหา อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นธิดาของเถาฮองเฮาจึงรีบเอ่ยขึ้น “องค์หญิง น้องสี่ข้าพูดไม่ได้ ไม่อาจตอบคำถามขององค์หญิง องค์หญิงโปรดอภัย”
องค์หญิงติ้งเถาส่งเสียงไม่พอใจ “นางพูดไม่ได้ ทำไม้ทำมือได้มิใช่หรือ หากทำท่าทางไม่ได้ เขียนหนังสือก็ได้มิใช่หรือ ข้าถามนาง แต่นางกลับไม่สนใจข้า ข้าไม่คู่ควรให้นางตอบคำถามอย่างนั้นหรือ”
“องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว” เยียนอวิ๋นฉีรีบอธิบาย
องค์หญิงติ้งเถาเอ่ยขัดเยียนอวิ๋นฉี “ข้าเข้าใจผิดหรือไม่ ให้เจ้าเด็กใบ้พูดเอง”
เจ้าหน่ะสิใบ้ ตระกูลเจ้าล้วนเป็นใบ้
เยียนอวิ๋นเกอคันไม้คันมือ
นางครุ่นคิด อีกฝ่ายเป็นองค์หญิง อีกทั้งยังเป็นธิดาของเถาฮองเฮา ย่อมลงมือตีไม่ได้
อย่างน้อยเวลานี้ก็ยังตีไม่ได้
แต่อีกฝ่ายคำก็เด็กใบ้สองคำก็เด็กใบ้ คนอารมณ์ร้อนอย่างนางอดทนไม่ได้
นางมีแผนขึ้นมาในใจ วิ่งเข้าไปในสวนดอกไม้ เลือกต้นเหมยต้นหนึ่ง เมื่อคาดคะเนน้ำหนักแล้วมีความมั่นใจหกส่วน
จากนั้น นางใช้สองมือ…
โครม!
ต้นเหมยถูกถอนออกมาทั้งรากทั้งโคน
ผู้คนต่างตกใจ!
พละกำลังมากเพียงใดกัน
มิน่าถึงบังอาจพังทลายจวนองค์หญิง!
กำลังมากเพียงนี้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ไม่กลัวปัญหา
เยียนอวิ๋นเกอแบกต้นเหมยต้นหนึ่งมาถึงตรงหน้าขององค์หญิงติ้งเถา
องค์หญิงติ้งเถาขมวดคิ้วมองนาง องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังทำท่าจะจับเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้
เยียนอวิ๋นเกอใบหน้าเปื้อนยิ้ม วางต้นเหมยลงบนพื้นอย่างน่าเกรงขาม
นางหยิบกระดาษดินสอออกมา เขียนอย่างจริงจัง ‘นี่คือของขวัญที่ข้ามอบให้องค์หญิง!’
ตัวอักษรเขียนตัวใหญ่มาก ระยะใกล้เพียงนี้ เพียงแค่ไม่ใช่คนตาบอดย่อมต้องมองเห็น
องค์หญิงติ้งเถาโกรธจนหน้าดำ
“เจ้ามอบต้นไม่ให้ข้า?”
ฮึ!
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้อดหัวเราะออกมาไม่ได้
องค์หญิงติ้งเถาโกรธมาก “พี่สาม ท่านยังหัวเราะเยาะข้า”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้โบกมือระรัว “ของขวัญของคุณหนูสี่ตระกูลเยียนชิ้นนี้มีความแปลกใหม่ยิ่งนัก”
“หากท่านชอบ ข้ามอบให้ท่าน!” องค์หญิงติ้งเถาโกรธมาก
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ปฏิเสธ “ข้าจะแย่งชิงของรักของผู้อื่นได้อย่างไร! สิ่งนี้เป็นของขวัญที่คุณหนูสี่มอบให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถิด อย่างไรจวนของเจ้าก็ใหญ่โตเพียงพอ ต้นไม้ต้นเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่”
มันเป็นปัญหาของต้นไม้หรือ
องค์หญิงติ้งเถาตะโกนด้วยความโกรธภายในใจ เยียนอวิ๋นเกอทำให้นางอับอายอย่างเห็นได้ชัด
นางชี้ไปที่เยียนอวิ๋นเกอ “เจ้าเด็กใบ้ เห็นแก่ที่เจ้ายังเด็ก ข้าไม่โกรธเจ้า มิฉะนั้นผู้อื่นคงจะกล่าวหาว่าข้ารังแกคนพิการ”
เยียนอวิ๋นเกอมีไฟโกรธคุกรุ่นขึ้นในใจ
ยังกล้าเรียกนางว่าเจ้าเด็กใบ้อีก
นิสัยใจร้อนอย่างนางจึงเขียนว่า ‘แต่ก่อนเมื่ออยู่ที่บ้านเกิด ข้าลงมือตีคนที่เรียกข้าว่าเจ้าเด็กใบ้ ท่านแม่ข้ามักบอกว่า บนโลกนี้มีคนจำนวนมากขาดการสั่งสอน ความจริงเหมือนที่ท่านแม่บอก หลังจากข้าสั่งสอนพวกเขาแล้ว โรคที่ไม่สามารถพูดจาดีของคนพวกนั้นก็หายสนิท พวกเขาต่างเรียกข้าว่าคุณหนูสี่’
“บังอาจ!”
องค์หญิงติ้งเถาตำหนิด้วยความโกรธ
นางมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ทุกคนต่างยกยอนาง เติบใหญ่มาเพียงนี้ ไม่เคยต้องอดทนยอมรับความไม่เป็นธรรมแบบนี้
เยียนอวิ๋นเกอชี้นกด่าไม้อย่างเห็นได้ชัด
“เยียนอวิ๋นเกอ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นใบ้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า เจ้าดูหมิ่นข้าย่อมต้องถูกประหาร”
เยียนอวิ๋นเกอแคะหู พลันเขียน ‘มาถึงเมืองหลวง มีหลายคนชี้จมูกบอกว่าข้าต้องถูกประหาร แต่คงทำให้องค์หญิงทรงผิดหวังแล้ว เวลานี้ข้ายังมีชีวิตอยู่’
องค์หญิงติ้งเถาหัวเราะเสียงเย็น “เฮอะๆ ! เพราะว่าพวกเขาไร้ความสามารถ คราวนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่ ข้าจะประหารเจ้า จับเจ้าเด็กใบ้เอาไว้”
เยียนอวิ๋นฉีตระหนก “องค์หญิงระงับความโกรธด้วยเพคะ!”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้เอ่ยขึ้น “เหตุใดน้องหญิงจึงต้องหาเรื่องกับเด็กเมื่อวานซืน หากเรื่องแพร่กระจายออกไป เจ้าจะเป็นผู้ไร้เหตุผล”
“ท่านหุบปาก!” องค์หญิงติ้งเถาโกรธจัด นางจ้องมององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ด้วยความโกรธ “ท่านพี่ทรงช่วยผู้ใดกันแน่ เยียนอวิ๋นเกอเหยียดหยามข้า ท่านทรงมองไม่เห็นหรือ”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าไร้มารยาทไปเรียกอีกฝ่ายว่าเจ้าเด็กใบ้ก่อน คุณหนูตระกูลเยียนมีอารมณ์ย่อมเข้าใจได้”
“ข้าไม่เข้าใจ! ข้าจะลงโทษนาง!” ความโกรธขององค์หญิงติ้งเถาพุ่งสูงขึ้น
วันนี้นางต้องทวงความยุติธรรมเพื่อศักดิ์ศรีของตนเอง
หากไม่จัดการเยียนอวิ๋นเกอ ความโกรธนี้คงไม่สงบลง
สถานการณ์กำลังจะปะทุ
“ผู้ใดจะลงโทษผู้ใดกัน”
เวลานี้องค์หญิงเฉิงหยางปรากฏตัวขึ้นพอดี