ตอนที่ 49 กำหนดเป้าหมายเล็ก
เยียนอวิ๋นเกอป่วย!
นางป่วยเป็นสองโรคที่ร้ายแรงอย่างมาก
หนึ่งคือโรคพละกำลังไม่เพียงพอ
อีกหนึ่งโรคคือเสบียงไม่พอกิน
ล้วนเป็นโรคที่ติดตัวมาจากอดีตชาติ
ถึงแม้นางจะมีประสาทสัมผัสที่ว่องไวรับรู้ถึงวิกฤต แต่นางก็มักจะไม่พอใจกับเสบียงที่มีน้อยเกินไป
ไม่พอใจกับองครักษ์และอาวุธที่มีจำนวนน้อยเกินไป
อีกทั้งยังไม่พอใจที่เงินที่มีน้อยเกินไป พื้นที่ที่มีน้อยเกินไป กำลังคนที่มีน้อยเกินไป
โดยรวมแล้วคือทุกสิ่งล้วนไม่เพียงพอ นางจึงเกิดความกังวลอย่างรุนแรง
ทำอย่างไร
บุกเบิกสิ!
“เจ้าจะบุกเบิกที่ดินอย่างนั้นหรือ” เซียวฮูหยินประหลาดใจอย่างมาก นางไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเยียนอวิ๋นเกอ
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า นางเปิดเหตุผลที่เขียนไว้ก่อนในกระดาษให้อีกฝ่ายอ่าน
‘อาหารเป็นรากฐาน หลายเดือนนี้ข้าเดินทางไปยังร้านค้าเสบียงแต่ละแห่งในเมืองหลวง อีกทั้งยังแอบค้นคลังเสบียงของพวกเขา ข้าสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเมืองหลวงขาดแคลนเสบียง’
“เมืองหลวงขาดแคลนเสบียง?” เซียวฮูหยินตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
เยียนอวิ๋นเกอเขียนอย่างรวดเร็ว ‘เสบียงของคลังเสบียงเป็นอย่างไรข้าไม่แน่ใจ แต่ร้านค้าเสบียงส่วนใหญ่ในเมืองหลวง การเก็บเสบียงของพวกเขา แม้จะประหยัดการกิน อย่างมากก็สามารถประคองได้เพียงสามเดือน เส้นทางการค้าอันตราย เสบียงถูกขนส่งจากพื้นที่ต่างๆ มายังเมืองหลวง ระหว่างทางสูญหายไปเป็นจำนวนมาก
ท่านแม่รู้หรือไม่ เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ราคาเสบียงในเมืองหลวงแอบเพิ่มสูงขึ้นเป็นสามส่วน อีกทั้งย่อมต้องขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องก่อนการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน ข้าคิดว่า คลังเสบียงของตระกูลเราควรกักตุนเสบียงไว้ให้มาก’
เซียวฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย “ควรกักตุนไว้ให้มากเสียจริง เรื่องการบุกเบิก เจ้ามีแผนการที่ชัดเจนแล้วหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ
นางได้วางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว
หนังสือแผนการเล่มหนาถูกวางไว้ตรงหน้าของเซียวฮูหยิน
เซียวฮูหยินหัวเราะ “อวิ๋นเกอของข้าทำสิ่งใดนับวันยิ่งมีแบบแผน”
ยังไม่ต้องพูดถึงเนื้อหา สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมคือท่าทีของนาง มันคือท่าทีของคนทำงานอย่างจริงจัง
เซียวฮูหยินพลิกแผนการที่เยียนอวิ๋นเกอตั้งใจเตรียมไว้ มีทั้งเป้าหมายเล็ก เป้าหมายกลางและเป้าหมายใหญ่…
จำนวนคน อุปกรณ์ทำนา ควายไถนา เมล็ดพันธุ์ เสบียง ค่าใช้จ่าย…
แต่ละรายการล้วนชี้แจงไว้อย่างละเอียด
แม้กระทั่งวิธีการทำ วิธีการดูแลล้วนเขียนไว้อย่างชัดเจน
หนังสือแผนการเล่มนี้สมบูรณ์แบบอย่างมาก
เพียงแค่มีเงินเพียงพอและสิทธิ์ในที่ดินชัดเจนก็สามารถดำเนินการตามหนังสือแผนการเล่มนี้ได้แล้ว
เซียวฮูหยินอ่านจบจึงถอนหายใจยาวออกมา
นางมองเยียนอวิ๋นเกอด้วยสายตาที่ซับซ้อน พลันถามอย่างอดไม่ได้ “หนังสือแผนการเล่มนี้เจ้าเป็นคนเขียนเองจริงหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า นางย่อมต้องเป็นคนเขียนเอง
ตัวอักษรแต่ละตัว เนื้อหาแต่ละบรรทัด ล้วนเป็นผลจากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบของนางในหลายวันนี้
โชคดีที่เมื่ออดีตชาตินางมีประสบการณ์ในการบุกเบิกฐานทัพ เพียงแค่ปรับให้สอดคล้องกับยุคสมัยนีั้เล็กน้อยก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว
เซียวฮูหยินปิดหนังสือแผนการ จากนั้นพูดอย่างหนักแน่น “อวิ๋นเกอนับวันยิ่งมีความสามารถ ข้าดีใจแทนเจ้าเสียจริง หนังสือแผนการเล่มนี้แทบจะไม่มีปัญหา สามารถดำเนินการตามแผนการในนี้ได้เลย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดได้อย่างไร เพียงแต่อยากบอกว่าเจ้าเก่งมาก ข้าภูมิใจในตัวเจ้า!”
ขอบคุณท่านแม่!
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าได้ใจ พุ่งตัวเข้าอ้อมกอดของเซียวฮูหยิน กอดนางเอาไว้แล้วทำท่าอ้อนนาง
เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “เดิมทียังชมว่าเจ้าหนักแน่น ครานี้กลับทำตัวเหมือนเด็ก เอาเถิด เอาเถิด เรื่องบุกเบิกที่ดินข้าสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ เพียงแต่เป้าหมายใหญ่ของเจ้ากำหนดไว้สูงไปหรือไม่ บุกเบิกที่ดินสิบล้านไร่ ต้องใช้กำลังคน กำลังทรัพย์มากเพียงใดกัน”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว ชี้ไปที่เนื้อหาภายในหนังสือแผนการ นางจะบุกเบิกที่ดินหนึ่งล้านไร่ตามเป้าหมายเล็กที่กำหนดไว้ก่อน หากกักตุนคลังเสบียงให้เต็ม รับรองว่าสามารถเลี้ยงกองกำลังได้หนึ่งหมื่นนาย
เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมาพลันกล่าว “พื้นที่หนึ่งล้านไร่ รวมทั้งกองกำลังอีกหนึ่งหมื่นนายเท่ากับเจ้าต้องเลี้ยงคนหนึ่งแสนคน เป้าหมายนี้ไม่ใช่เป้าหมายเล็ก อวิ๋นเกอ ข้าวต้องกินทีละคำ สิ่งที่เจ้าต้องการทำค่อยๆ ทำทีละก้าว ก้าวแรกพวกเราต้องการความมั่นคง พื้นที่หนึ่งล้านไร่มากเกินไป ลดลงเสียเหลือสองแสนไร่ เลี้ยงกองกำลังให้ได้สองพันนาย เจ้าว่าอย่างไร”
ลดมากเกินไปแล้ว ท่านแม่ตัดทอนสิ่งที่นางต้องการถึงแปดส่วน
เยียนอวิ๋นเกอเสียดาย
นางใช้สองมือทำท่าทางเพื่อถาม ‘ท่านแม่ไม่มีเงินแล้วหรือ’
เซียวฮูหยินหัวเราะ “เงินยังมี แต่มีไม่มาก เพียงพอที่จะสนับสนุนเจ้าบุกเบิกที่ดิน”
เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว กลุ้มใจเล็กน้อย
ไม่อาจใช้เงินของท่านแม่จนหมดเพื่อการบุกเบิกที่ดิน
ในมือไม่มีเงิน กลุ้มใจยิ่งนัก
นางต้องหาเงินมาให้ได้
นางทำท่าทาง ‘ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ข้าคิดหาวิธีเอง’
เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว “เจ้าจะคิดหาวิธีอย่างไร เจ้าคิดหวังพึ่งน้ำแกงเครื่องในของเจ้าอย่างนั้นหรือ สิบร้านค้าก็ไม่อาจหาเงินได้มากมายในหนึ่งเดือน ทางข้าจะลองรวบรวมดู ยังคงพอมีอยู่บ้าง”
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือระรัว
พี่สองออกเรือนต้องใช้เงินก้อนใหญ่
ไม่อาจนำเงินทั้งหมดลงทุนกับการบุกเบิกที่ดินในเวลานี้
ต่อจากนี้ยังต้องใช้เงินนี้ในการสานสัมพันธ์
เยียนอวิ๋นเกอจรดดินสอ เขียนอย่างรวดเร็ว ‘พี่ใหญ่กำลังจะเดินทางถึงเมืองหลวง เขาย่อมต้องพกเงินติดตัวมาไม่น้อย ข้าวางแผนจะหลอกเงินเขาสักก้อน’
เซียวฮูหยินเห็นข้อความจึงยิ้มอย่างมีนัย “เจ้าคิดจะลักทรัพย์เยียนอวิ๋นฉวน มันจะพอหรือ”
‘ท่านพ่อส่งพี่ใหญ่มาเมืองหลวงย่อมต้องให้เงินก้อนใหญ่แก่เขา แซ่เยียนเหมือนกัน ไม่ลักคงน่าเสียดาย’
เหตุผลของเยียนอวิ๋นเกอทั้งง่ายทั้งป่าเถื่อน ตรงไปตรงมา
แซ่เยียนเหมือนกัน เงินนี้ เยียนอวิ๋นฉวนใช้ได้ นางเยียนอวิ๋นเกอจะใช้ไม่ได้เชียวหรือ
เซียวฮูหยินหัวเราะ “เอาเถิด เจ้าทำตามความคิดของเจ้า หากเงินไม่พอ เจ้ามาหาข้า ไม่ว่าอย่างไรเรื่องการบุกเบิกที่ดิน ข้าสนับสนุนเจ้าแน่นอน!”
ขอบคุณท่านแม่!
เยียนอวิ๋นเกอตาหยี ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
นางไม่เคยบ่นว่าเงินมีมากเกินไป
เพียงแค่หลอกลวงเยียนอวิ๋นฉวนคงยังไม่พอ
นางยังต้องหาคนหลอกเงินให้มากขึ้น
หาผู้ใดดี
ว่าที่พี่เขยรองเป็นเป้าหมายที่ดีไม่น้อย
อันที่จริงยังมีเป้าหมายอีกคน แต่เสียดายที่คนผู้นั้นถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง อย่าว่าแต่หลอกลวงเลย แม้แต่หน้ายังไม่อาจพบได้
เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง
เซียวอี้ที่ตัวอยู่ในคุกหลวงจามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขาขยี้ปลายจมูก ผู้ใดกำลังด่าเขากัน
…
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินเปลือกตากระตุกในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
ตาซ้ายและตาขวากระตุกสลับกันไปมา เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
จนกระทั่ง บ่าวรับใช้มาทูลรายงาน “องค์ชายสอง ตระกูลเยียนส่งจดหมายเทียบเชิญมาพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินได้ยินคำว่าตระกูลเยียน เปลือกตาทั้งสองข้างของเขากระตุกรุนแรงขึ้น
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้หรือ
เขารับจดหมายเทียบเชิญมา เห็นว่าเป็นคุณหนูสี่ตระกูลเยียน
เขาเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มด้วยความสนใจ
“นางอยู่ที่ใด”
“นางอยู่ข้างนอกประตู ให้เชิญเข้ามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญคนไปที่ห้องโถงรับแขก”
บ่าวรับใช้รับคำสั่ง
ขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ข้างตัวของเซียวเฉิงเหวินกระซิบเสียงเบา “คุณหนูสี่ตระกูลเยียนผู้นี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง นางเป็นเด็กหญิงที่ยังไม่ออกเรือน แต่วิ่งออกมาเข้าเฝ้าองค์ชายเพียงลำพัง ไม่เหมาะสมยิ่งนัก กำหนดการงานอภิเษกสมรสใกล้เข้ามาแล้ว หากมีเรื่องใดแพร่กระจายออกไป…”
เซียวเฉิงเหวินยกมือขึ้นหยุดขันทีผู้นั้น “เจ้าก็บอกว่านางยังเด็ก เพียงแค่เด็กเมื่อวานซืนจะสามารถมีเรื่องใดแพร่กระจายออกไปได้ หากมีเรื่องใดแพร่กระจายออกไป ย่อมต้องมีผู้เจตนาใส่ร้าย งานอภิเษกสมรสของข้าใกล้เข้ามาแล้ว ใส่ร้ายข้าในเวลานี้ ไม่กลัวเสด็จพ่อลงโทษหรือ”
ขันทีรีบยอมรับความผิด “องค์ชายสองตรัสได้ถูกต้อง! กระหม่อมโง่เขลา กังวลมากไปพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน เยียนอวิ๋นเกอถูกบ่าวรับใช้เชิญไปที่ห้องโถงรับแขก สาวรับใช้ชงชาให้นาง
นางนั่งลงบนพื้นทางด้านซ้าย รองลงมาจากตำแหน่งหลัก
วันนี้ นางยังคงสวมชุดขี่ม้ายิงธนูเหมือนเคย ทั้งเรียบง่ายทั้งสะอาดตา พร้อมที่จะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเพื่อสังหารได้ทุกเวลา
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินนั่งอย่างสง่างาม เขาดูบอบบางอย่างมาก แต่ใบหน้าของเขางดงามยิ่งนัก
สมกับเป็นชายรูปงามในคราบคนป่วย
“คุณหนูสี่มาเยือนกะทันหัน ข้าประหลาดใจอย่างมาก เจ้ามาวันนี้ ท่านหญิงและพี่สาวของเจ้ารู้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มกว้าง หยิบกระดาษออกมา
สำหรับคำถามที่อีกฝ่ายถาม นางได้เตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว
นางพลิกกระดาษอีกด้านมา ‘องค์ชายสองอย่าสงสัยในเจตนาของหม่อมฉัน หม่อมฉันมิได้มาเพื่อก่อปัญหา แต่มาเพื่อส่งเงินให้องค์ชายเพคะ’
เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้วพลันหัวเราะ “ส่งเงิน? เงินจากที่ใดกัน”
เยียนอวิ๋นเกอพลิกหน้าถัดไป ด้านบนมีคำตอบสำหรับคำถามนี้อยู่แล้ว ‘แคว้นชีและแคว้นหยวนในนครบาล’
ทั้งสองแค้วนอยู่ติดกัน ในพื้นที่มีประชากรน้อย มีพื้นที่รกร้างมากมาย อีกทั้งยังมีพื้นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดทำการเพาะปลูก
แต่เนื่องจากมีโจรอยู่บนภูเขา ระหว่างทางก็มีเจ้าถิ่น ราชการท้องถิ่นจึงไม่สนใจ
สำหรับเกษตรกรในชนบททั่วไป ปัญหาเหล่านี้เปรียบเสมือนขุมนรกทั้งสิบแปด
แม้ว่าที่ดินผืนนั้นจะอุดมสมบูรณ์ สามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากการถมดินสองปี แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเหยียบย่ำ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าถิ่น โจรร้าย หรือข้าราชการในท้องที่ล้วนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเยียนอวิ๋นเกอ
นางใช้เวลาหลายเดือนในการสำรวจแคว้นต่างๆ ในนครบาล พื้นที่รกร้างภายในแคว้นชีและแคว้นหยวนสะดุดตาของนางที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้ง คุณภาพดินในท้องถิ่น หรือแหล่งน้ำ ล้วนถือว่าสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ประชากรในพื้นที่น้อย ไม่มีผู้มีอำนาจปักหลัก สามารถลดปัญหาลงได้มาก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พื้นที่รกร้างในสองแคว้นนี้หมาะสมที่สุดในการบุกเบิกที่ดินและตั้งถิ่นฐานของผู้คนที่สุด
เซียวเฉิงเหวินมองไปที่เนื้อหาบนกระดาษ แม้ว่าภายในใจของเขาจะตื่นเต้นเพียงใด แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบ
“คุณหนูสี่ล้อเล่นเก่งเสียจริง แม้ว่าข้าจะไม่เคยออกจากจวน แต่ก็รู้ว่าแคว้นชีและแคว้นหยวนรกร้าง อีกทั้งยังห่างไกลและยากจนที่สุดในนครบาล จะมีเงินได้อย่างไร เจ้ารีบกลับจวนไปเสีย เรื่องในวันนี้ ข้าจะทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น”
เยียนอวิ๋นเกอเปิดหน้าถัดไป เขียนว่า ‘องค์ชายทรงไม่เชื่อหม่อมฉันหรือเพคะ’
ใบหน้าของเซียวเฉิงเหวินทั้งซีดทั้งตอบ เวลานี้เขาทำสีหน้าจริงจัง “เจ้ายังเด็ก ข้ารู้ว่าเจ้าชอบล้อเล่น ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ความอดทนของข้ามีจำกัด หากคุณหนูสี่รู้กาลเทศะก็จงรีบกลับไปเถิด”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มมุมปาก พลิกกระดาษอีกหน้าหนึ่ง ‘แค้วนชีและแคว้นหยวนมีพื้นที่รกร้างมากมาย หม่อมฉันต้องการบุกเบิกที่ดินสองแคว้นนี้ เพียงแค่สองปีก็มีผลประกอบการ หม่อมฉันบังอาจทูลถาม เสบียงในจวนขององค์ชายเพียงพอหรือไม่เพคะ’
หลังจากอ่านเนื้อหาแล้ว เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “เสบียงในจวนองค์ชายเพียงพออยู่แล้ว!”
‘องค์ชายทรงมีเสบียงเหลือเท่าใดเพคะ’
ปฏิกิริยาทั้งหมดขององค์ชายสองเป็นไปตามที่เยียนอวิ๋นเกอคาดการณ์
ดังนั้นนางจึงเตรียมคำตอบไว้แล้ว
สมุดที่ตัดและเย็บเล่มจากกระดาษธรรมดาเต็มไปด้วยเนื้อหามากมาย ล้วนเป็นสิ่งที่นางต้องการจะพูด อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับหลอกคนของนาง
นางต้องการสร้างภาพที่ลึกลับจับต้องไม่ได้
อายุที่ยังน้อยของนางป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
อายุน้อยย่อมได้รับการให้อภัย
แต่ก็ยากที่จะได้รับความไว้วางใจและความสนใจจากผู้อื่น
ส่วนสิ่งที่นางต้องการในวันนี้คือความไว้วางใจและการให้ความสำคัญ
เมื่อต้องการให้อีกฝ่ายเห็นคุณค่าในตัวเอง นางย่อมต้องเป็นฝ่ายรุกก่อน
เซียวเฉิงเหวินหรี่ตาลง
เยียนอวิ๋นเกอเตรียมคำตอบสำหรับทุกคำถามของเขา
ซึ่งหมายความว่าอีกฝ่ายคาดการณ์ได้ถึงปฏิกิริยาของเขาตั้งแต่แรก
จังหวะของการสนทนาทั้งหมดล้วนถูกอีกฝ่ายชักจูงไปอย่างไม่รู้ตัว
เขากำหมัดแน่น
สถานการณ์นี้ไม่ดีนัก
เขาไม่ชอบการถูกชักจูง
เขาเกลียดความรู้สึกนี้
เป็นครั้งแรกที่เขามองเยียนอวิ๋นเกอราวกับคู่ต่อสู้
สาวน้อยน่าเอ็นดู แต่มีดวงตาที่โตเกินวัย เฉลียวฉลาดและไหวพริบดี มีแผนการกลอุบายที่ลุ่มลึก
เซียวเฉิงเหวินยิ้ม
ไม่สำคัญว่าเนื้อหาเหล่านั้น เยียนอวิ๋นเกอจะเขียนเอง หรือเป็นฝีมือของกุนซือตระกูลเยียน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ได้รับความสนใจจากเขา
เขาเริ่มพิจารณาข้อเสนอของนางอย่างจริงจัง
“คุณหนูสี่เป็นผู้ต้องการบุกเบิก หรือท่านหญิงเป็นผู้ต้องการบุกเบิก”
เรื่องนี้นี้สำคัญมาก
เขาต้องรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้นำของเรื่องนี้
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะพลันชี้มาที่ตัวเอง แน่นอนว่าเป็นนางที่ต้องการบุกเบิก
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าไม่เคยคาดคิดว่าคุณหนูสี่จะมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าสงสัยอย่างมาก เหตุใดเจ้าจึงต้องการบุกเบิกที่ดิน”
คำตอบของเยียนอวิ๋นเกอนั้นง่ายมาก ‘มีเสบียงอยู่ในมือย่อมไม่ต้องกังวลใจ องค์ชายทรงรังเกียจเสบียงที่มีมากเกินไปอย่างนั้นหรือ’
“ฮ่าๆๆ …”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะออกมาดัง ๆ เขาหัวเราะจนหายใจไม่ทัน กระแอมไอเป็นเวลานานกว่าจะหยุดลงได้
เยียนอวิ๋นเกอเกรงว่าเขาจะไอจนหายใจไม่ทันแล้วขาดใจตาย
ขันทีเป็นห่วงองค์ชายสองมาก เขาถลึงตามองเยียนอวิ๋นเกอ คาดโทษว่านางสร้างปัญหา
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา
นางคาดไม่ถึงว่าสุขภาพขององค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินจะแย่เพียงนี้
เดิมทีคิดว่าเขาต้องการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท อาการป่วยของเขาอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา อย่างน้อยก็ไม่ร้ายแรงอย่างที่เห็น
แต่ไม่คิดว่าเขามีร่างกายที่อ่อนแอจริงๆ
เซียวเฉิงเหวินไออยู่พักหนึ่ง สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก
เขาหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “คุณหนูสี่เห็นเรื่องตลกแล้ว เรื่องบุกเบิกที่ดินเกี่ยวข้องกับประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน ข้าขอบใจคุณหนูสี่”
ไม่มีข้อความต่อจากนั้น?
เยียนอวิ๋นเกอจ้องมองเขา
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด ไม่จำเป็นต้องพูดให้กระจ่างใช่หรือไม่
เพียงแค่กล่าวขอบคุณไม่มีประโยชน์ นางต้องการการสนับสนุนที่จับต้องได้
เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “คนในจวนองค์ชายมีจำกัด คลังเสบียงมีเสบียงพอกิน ไม่จำเป็นต้องบุกเบิกที่ดินเพิ่มเติม”
ปฏิเสธนางหรือ?
เยียนอวิ๋นเกอกระจ่าง แต่นางไม่ย่อท้อ
สถานการณ์นี้ นางมีแผนการรับมือไว้ล่วงหน้า
เยียนอวิ๋นเกอพลิกกระดาษผ่านไปหลายหน้า ก่อนจะพลิกหน้าหนึ่งขึ้นมา “ภายในจวนขององค์ชายมีเสบียงเพียงพอช่างเป็นเรื่องที่โชคดียิ่งนัก! แต่เรื่องต่างๆ ล้วนไม่เที่ยง ปีหน้าจะพอกินหรือไม่ ปีต่อไปจะพอกินหรือไม่ หากวันใดในจวนมีคนเพิ่ม เสบียงที่กักตุนไว้เพียงพอหรือไม่ องค์ชายทรงไม่ต้องรีบตอบ เรื่องการบุกเบิกองค์ชายไม่จำเป็นต้องออกหน้า หม่อมฉันจะเป็นคนจัดการเอง ทุกปีหม่อมฉันจะส่งเสบียงให้จวนขององค์ชายสองหนึ่งพันหาบ องค์ชายทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ’
เสบียงหนึ่งพันหาบหรือหนึ่งแสนกว่าจิน[1] เพียงพอต่อการเลี้ยงกองกำลัง นางไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่หวั่นไหว
เป็นไปตามที่คาด เมื่อได้ยินว่าเสบียงหนึ่งพันหาบ ลมหายใจขององค์ชายสองที่สุขุมก็เปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเยียนอวิ๋นเกอไปได้
นางแอบหัวเราะอยู่ในใจ!
แค่มีความปรารถนาก็พอแล้ว!
เมื่อมีความปรารถนา นางมั่นใจว่าจะทำให้คนผู้นั้นหวั่นไหวได้
[1] จิน เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 จินเท่ากับ 500 กรัม