ตอนที่ 54 ข่มขู่
ท่านอ๋องตงผิงต้องการออกจากเมืองหลวงกลับพื้นที่ศักดินา
ลูกทรพีเซียวอี้ไม่ตายหนึ่งวัน เขายากที่จะสงบสุข
การลอบสังหารเซียวอี้ล้มเหลว หากยังอยู่ในเมืองหลวงต่อ ยิ่งทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวภายในใจ
องครักษ์จินอู่ปกป้องลูกทรพีเซียวอี้อย่างแน่นหนา เจตนาของฮ่องเต้หย่งไท่เห็นได้ชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้หย่งไท่ต้องการใช้เซียวอี้ เขาคาดว่าการลอบสังหารนายท่านรองตระกูลเถาของเซียวอี้อาจเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้หย่งไท่
เขายิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว
ท่านอ๋องตงผิงไม่กล้าอยู่ในเมืองหลวงต่อ
เขาฟังข้อเสนอของกุนซือ ถวายฎีกาเพื่อสังเกตท่าทีของฮ่องเต้ในทันที เขาทูลขอพระราชโองการออกจากเมืองหลวงกลับพื้นที่ศักดินา
เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่อนุญาต
ภายในตำหนักซิงชิ่ง
ฮ่องเต้หย่งไท่ท่าทางเมตตา ดึงท่านอ๋องตงผิงเอาไว้ไม่ให้ไป
“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่ง่ายนักที่จะพบหน้า สมควรจะอยู่ใกล้ชิดกัน เจ้าใหญ่กับเจ้ารองมีงานอภิเษกสมรสในเดือนหน้า เจ้าต้องอยู่ดื่มสุราก่อน”
ท่านอ๋องตงผิงทำหน้าซาบซึ้ง แต่ก็เผยสีหน้าลำบากใจ “ไม่ปิดบังฝ่าบาท จวนอ๋องห่างจากกระหม่อมไม่ได้! กระหม่อมออกจากจวนเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้ว ภายในจวนมีงานจำนวนมากสะสมรอให้กระหม่อมกลับไปจัดการ หากเวลานี้กระหม่อมเดินทางกลับพื้นที่ศักดินาจะทันการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนพอดี เรื่องอื่นสามารถชะลอได้ มีเพียงการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนที่ไม่อาจล่าช้าได้ กระหม่อมทูลขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้กระหม่อมกลับพื้นที่ศักดินา”
“ข้าดีใจยิ่งนักที่เจ้าเป็นกังวลเรื่องเกษตร มีใจเพื่อประชาชน แต่เจ้าจะพลาดงานอภิเษกสมรสของเจ้าใหญ่และเจ้ารองไปได้อย่างไร เรื่องการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน เจ้าส่งคนกลับพื้นที่ศักดินาไปจัดการ หากไม่มีคนที่พึ่งพาได้ ข้าจะส่งขุนนางในราชสำนักไปช่วยเจ้า”
ไม่ได้เด็ดขาด!
ท่านอ๋องตงผิงตะลึงอย่างมาก!
หากให้ฮ่องเต้ส่งขุนนาในราชสำนักไปพื้นที่ศักดินาจริงจะเป็นอย่างไร
เขารีบเปลี่ยนคำพูด “ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่ข้างกายกระหม่อมยังมีคนที่พึ่งพาได้อยู่ กระหม่อมจะให้พวกเขากลับพื้นที่ศักดินาจัดการเรื่องการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน ไม่บังอาจลำบากขุนนางในราชสำนัก”
ฮ่องเต้หย่งไท่มองเขาอย่างอารมณ์ดี “หากพูดเช่นนี้ เจ้ายอมอยู่ในเมืองหลวงเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของเจ้าใหญ่กับเจ้ารองแล้วใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาททรงขอ ไม่อาจไม่ทำตาม”
ท่านอ๋องตงผิงอยากร้องไห้ ความโศกเศร้าของเขามากมายเท่าแม่น้ำ
เขาเพียงแค่อยากกลับพื้นที่ศักดินา เหตุใดจึงยากเพียงนี้
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ให้เขาออกจากเมืองหลวงด้วยเจตนาใด เขาไม่กล้าคิด
โชคดีที่นอกจากเขาจะถูกบังคับให้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ท่านอ๋องท่านอื่นก็ออกไปไม่ได้เช่นเดียวกัน
ทุกคนเป็นพี่น้องต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
ท่านอ๋องตงผิงกลอกตาไปมา ฉวยโอกาสเรียกร้อง “กระหม่อมมีเรื่องอยากขอ ขอฝ่าบาททรงโปรดให้กระหม่อมได้พบลูกทรพี”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มอย่างมีนับ “เจ้าเป็นกังวลว่าข้าจะปฏิบัติไม่ดีต่อเซียวอี้ บุตรชายเจ้าหรือ”
“กระหม่อมไม่กล้า! ลูกทรพีกระทำผิดมหันต์ กฎบ้านกฎเมืองไม่อาจปล่อยเขาไปได้ แต่ในฐานะบิดากับบุตร อีกทั้งมารดาของเขาจากไปตอนให้กำเนิดเขา กระหม่อมแค่อยากพบหน้าเขาครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกลงโทษ ถือว่าเป็นการส่งเขาครั้งสุดท้าย”
ท่านอ๋องตงผิงพูดอ้อนวอน น้ำตาวนเวียนอยู่ภายในดวงตา แสดงออกถึงความจริงใจสมกับเป็นบิดาผู้เมตตา
ความรักอันจริงใจของบิดาและบุตรเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่หวั่นไหว
ฮ่องเต้หย่งไท่ถอนหายใจด้วยความเศร้า “เซียวอี้ช่างเหลวไหลเสียจริง! แต่เจ้าอยากพบเขา ข้าก็จะอนุญาต”
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท”
ท่านอ๋องตงผิงถอนหายใจยาว การเข้าวังในวันนี้ แม้จะไม่ได้รับพระราชโองการให้ออกจากเมืองหลวง แต่สามารถพบกับเซียวอี้ได้ก็ไม่เสียดายการแสดงที่ดีเยี่ยมของเขา
…
ท่านอ๋องตงผิงรีบออกจากวังทันที
จี้ซินแสกุนซือคนสนิทรอคอยอยู่หน้าประตูวังเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นเขาออกมา จี้ซินแสจึงถามขึ้น “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
ท่านอ๋องตงผิงส่ายหน้า “ฮ่องเต้ไม่ยอมให้ข้าออกจากเมืองหลวงกลับพื้นที่ศักดินา”
จี้ซินแสได้ยินจึงขมวดคิ้วมุ่น มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ฮ่องเต้ไม่ยอมปล่อยจะทำอย่างไรดี
ท่านอ๋องตงผิงพูดต่อ “แต่ฮ่องเต้ทรงรับปากให้ข้าขอพบหน้าลูกทรพี ไป ตามข้าไปยังสำนักองครักษ์จินอู่”
จี้ซินแสตะลึง “ฝ่าบาททรงยอมให้ท่านอ๋องพบหน้านายน้อยหกแล้วหรือ ฝ่าบาทกำลังลองเชิงท่านอ๋องหรือไม่”
ท่านอ๋องตงผิงรู้ว่าเขากังวล “ข้าย่อมรู้ขอบเขต ไม่มีทางปล่อยให้ให้ผู้อื่นจับความผิดได้”
ท่านอ๋องตงผิงต้องการพบเซียวอี้อย่างร้อนรน เขาสั่งสารถี ให้มุ่งหน้าไปยังสำนักองครักษ์จินอู่
เมื่อพบเซียวอี้ เขาย่อมมีแผนการ
…
มีคำสั่งของฝ่าบาท องครักษ์จินอู่ไม่ได้ขัดขวางท่านอ๋องตงผิง
สวีจ่างสื่อแห่งสำนักองครักษ์จินอู่นำท่านอ๋องตงผิงไปยังคุกหลวงด้วยตนเอง
“ท่านอ๋องเชิญด้านใน คุกหลวงทั้งมืดทั้งชื้น ท่านอ๋องโปรดให้อภัย”
ท่านอ๋องตงผิงโบกมือสองที อากาศภายในคุกหลวงไม่ดีนัก เขารู้สึกแสบจมูก
“ไม่เป็นอันใด! ลำบากใต้เท้าสวีมากับข้าแล้ว ขออภัยยิ่งนัก”
สวีจ่างสื่อยิ้ม “ท่านอ๋องเกรงใจ นับแต่นักโทษเซียวอี้ถูกขังเข้าคุกหลวง ท่านอ๋องเป็นคนแรกที่ถูกอนุญาตให้มาเยี่ยมเขา”
ความหมายโดยนัยคือท่านอ๋องตงผิงมีความสามารถยิ่งนักที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงอนุญาตได้ เขาย่อมต้องเกรงใจ
คนตระกูลเถาอยากเข้าคุกหลวงพบหน้าเซียวอี้ ฝ่าบาทยังไม่ทรงอนุญาต
ท่านอ๋องตงผิงเหลือบมองสวีจ่างสื่อด้วยความเย้ยหยันภายในใจ คนขององครักษ์จินอู่หยาบคายเสียจริง พูดจาไม่มีกาละเทศะแม้แต่น้อย
…
เซียวอี้ถูกคุมขังอยู่ในส่วนลึกสุดของคุกหลวง
เขาถือตำราเล่มหนึ่งพลิกอ่านภายใต้แสงเพียงเล็กน้อยที่สาดส่องลงมา
ข้างมือยังมีสุราหนึ่งเหยือก รวมทั้งถั่วเหลืองผัดสำหรับแกล้มสุรา
เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ท่านอ๋องตงผิงเดินทางมาถึงส่วนลึกสุดของคุกหลวง ถึงแม้จะไม่ตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ แต่ก็แปลกใจไม่น้อย
“ลูกทรพี เจ้า…!”
เหตุใดตัวอยู่ในคุกหลวงยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเพียงนี้
ลูกทรพีมีข้อตกลงบางอย่างกับฮ่องเต้จริงหรือ
เขารับพระราชโองการฆ่าคนหรือ
เหตุใดฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เซียวอี้ฆ่านายท่านรองตระกูลเถา
ฮ่องเต้ต้องการกำจัดตระกูลเถาหรือ
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ภายในหัวของท่านอ๋องตงผิง สายตาแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง สีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งดีใจทั้งโกรธ ราวกับได้รับความสะเทือนใจที่รุนแรง
เซียวอี้ได้ยินเสียง หันกลับไปมอง โอ้! บิดาชั่วของตนเองเข้ามาเยี่ยมเขาในคุกหลวง
หาได้ยากนัก!
เขาวางตำราลงพลันยิ้มอย่างมีนัย แต่ไม่พูดสิ่งใด
ท่านอ๋องตงผิงกัดฟัน กลัวมีคนแอบฟังจึงโบกมือเรียกให้เซียวอี้เข้าใกล้
เซียวอี้ลุกขึ้น เดินมายังริมประตูเหล็ก
บิดากับบุตรห่างกันเพียงแค่ประตูเหล็ก สนิทชิดเชื้ออย่างมาก
ท่านอ๋องตงผิงกวาดตามองผู้คุมที่อยู่ห่างไกลออกไป ถามเสียงต่ำ “เกิดอันใดขึ้น องครักษ์จินอู่ไม่ได้ทรมานเจ้า?”
เซียวอี้เลิกคิ้วยิ้ม “ท่านพ่อหวังให้องครักษ์จินอู่ทรมานข้าอย่างนั้นหรือ”
ท่านอ๋องตงผิงไม่สนใจน้ำเสียงของเขา หากแต่หัวเราะขึ้นมา “องครักษ์จินอู่ไม่ได้ทรมานเจ้า เจ้าก็ไม่ได้พูดสิ่งใดทั้งสิ้น?”
เซียวอี้กระจ่าง “เสด็จพ่อวางใจ ข้าเป็นบุตรชายของท่าน ย่อมไม่พูดเหลวไหล ทำให้ท่านเดือดร้อน”
ท่านอ๋องตงผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เช่นนี้ย่อมดี
เรื่องที่เขากังวลที่สุดยังไม่เกิดขึ้น ดีมาก!
หัวใจที่หวาดระแวงสงบลง สีหน้าของท่านอ๋องตงผิงดีขึ้นไม่น้อย
“เหตุใดเจ้าต้องฆ่านายท่านรองตระกูลเถา ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เจ้าทำหรือ”
“ข้าฆ่านายท่านรองตระกูลเถาเกี่ยวข้องอันใดกับฝ่าบาท ท่านพ่อคิดมากไปหรือไม่”
ท่านอ๋องตงผิงตกตะลึง “ไม่ใช่ฝ่าบาทรับสั่งให้เจ้าฆ่าคน เหตุใดองครักษ์จินอู่จึงไม่ทรมานเจ้า หากปล่อยให้นายท่านรองตระกูลเถาตายเปล่า คนตระกูลเถาจะย่อมปล่อยอย่างง่ายดายได้อย่างไร”
เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง ตัวของลูกอยู่ในคุกหลวง รอบด้านแน่นหนา ปลอดภัยยิ่งนัก แต่ท่านพ่อ ตระกูลเถาอยากฆ่าข้านัก พวกเขาจะโกรธท่านพ่อ ลอบทำร้ายท่านพ่อด้วยหรือไม่”
“เจ้าบอกว่าตระกูลเถากล้าลอบสังหารข้าอย่างนั้นหรือ พวกเขากล้า! หากลอบสังหารข้าย่อมเท่ากับพวกเขาก่อกบฏ ตระกูลเถากล้าทำเช่นนี้ ฝ่าบาทย่อมไม่ให้อภัยตระกูลเถา…เดี๋ยว”
ท่านอ๋องตงผิงเบิกตาโพลง มองเซียวอี้อย่างเหลือเชื่อ
“เจ้ากับฝ่าบาท พวกเจ้ากำลังวางแผนกำจัดตระกูลเถาจริงหรือ”
“ท่านพ่อคิดมากไปอีกแล้ว! ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงรักใคร่เหมือนเคย ตระกูลเถาเป็นขุนนางสำคัญของบ้านเมือง ฝ่าบาททรงรักใคร่ยังไม่ทัน จะวางแผนกำจัดได้อย่างไร คำพูดเช่นนี้ ท่านพ่ออย่าได้พูดอีก ระวังถูกอวี้สื่อประณาม บอกว่าท่านสร้างความร้าวฉานให้ฮ่องเต้และฮองเฮา”
เซียวอี้พูดอย่างจริงจัง
ท่านอ๋องตงผิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เหตุใดเจ้าต้องฆ่านายท่านรองตระกูลเถา”
เซียวอี้ส่งเสียงไม่พอใจ “นายท่านรองตระกูลเถาเหยียดหยามข้าด้วยวาจา ไม่ฆ่าเขาไม่อาจสยบความโกรธของข้าได้”
ท่านอ๋องตงผิงโกรธอย่างมาก “เจ้าๆ เจ้าเสียสติไปแล้ว เจ้ากล้าฆ่านายท่านรองตระกูลเถา วันอื่นเจ้าคงกล้าที่จะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่”
เซียวอี้กลอกตา “ท่านพ่อ ลูกไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ท่านวางใจได้ ข้าไม่มีทางทำเรื่องที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังไม่ทำอย่างการฆ่าบิดา”
ไม่รู้เหตุใด เมื่อได้ยินคำตอบของเซียวอี้ ท่านอ๋องตงผิงจึงรู้สึกโล่งใจ
ลูกทรพีอาจแย่ในด้านอื่นไปบ้าง
หากพูดถึงเรื่องการลอบสังหาร ลูกทรพีเป็นที่สอง ไม่มีผู้ใดกล้ายอมรับว่าเป็นที่หนึ่ง
แค่การลอบสังหารเจ้ารองตระกูลเถาในตำหนักจินหลวน หากเป็นผู้อื่นคงทำไม่ได้
แม้จะเป็นคนที่โด่งดังในยุทธภพแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้บารมีของฮ่องเต้ในตำหนักจินหลวน อย่างไรก็ต้องกลัวตาย ยังจะมีความกล้าลอบสังหารได้อย่างไร
มีเพียงลูกทรพีเซียวอี้ที่กล้าสังหารคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับดื่มน้ำ
หลังจากสังหารคนแล้วยังสามารถแสร้งโง่ เอาตัวรอดอย่างราบรื่น
ท่านอ๋องตงผิงหอบหายใจด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย
อย่างน้อยก็เป็นท่านอ๋องมาหลายสิบปี เขาไม่ได้ถูกเซียวอี้หลอก
เขาถามอีกครั้ง “เหตุใดองครักษ์จินอู่จึงไม่ทรมานเจ้า ฝ่าบาทต้องการใช้เจ้าใช่หรือไม่”
“ไม่รู้!”
เซียวอี้เงยหน้ามองฟ้า ทำท่าทางโดดเดี่ยวโศกเศร้า คำตอบนั้นเด็ดขาดชัดเจน
ท่านอ๋องตงผิงอยากตีคน
ลูกทรพี!
คุยมานานเพียงนี้ ไม่มีคำพูดจริงแม้แต่คำเดียว
เขาข่มไฟโกรธ ถามเสียงเบา “เจ้าไม่รู้จริงหรือ”
เซียวอี้มองท่านอ๋องตงผิง สายตาราวกับมองคนเขลา
“ลูกถูกขังเข้าคุกหลวงตั้งแต่วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง เรื่องด้านนอกข้าไม่รู้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเหตุใดองครักษ์จินอู่จึงไม่ทรมานข้า หรือท่านพ่ออยากให้องครักษ์จินอู่ทรมานข้า อยากให้ข้าตายในคุกหลวงหรือ”
ท่านอ๋องตงผิงตำหนิ “อย่าได้พูดเหลวไหล! หากข้าอยากให้เจ้าตาย ข้าจะหาวิธีโน้มน้าวฝ่าบาทให้ข้าเข้าคุกหลวงมาเยี่ยมเจ้าได้อย่างไร เจ้าต้องรู้ว่าข้าเป็นกังวลเจ้าเสมอมา กังวลว่าเจ้าจะลำบากในคุกหลวง เฮ้อ…เจ้าลูกทรพีคนนี้ ไม่เข้าใจความรู้สึกของบิดาผู้เมตตาคนนี้เลยเสียจริง”
“อ้อ!” เซียวอี้ไม่สนใจ
ไม่ว่าท่านอ๋องตงผิงจะมีท่าทีอย่างไร หวังให้เขาตายหรือหวังให้เขารอด เขาก็ไม่สนใจ
ท่านอ๋องตงผิงถามอีกครั้ง “มีคนบอกเจ้าหรือไม่ เจ้าออกจากคุกหลวงได้เมื่อใด”
“ไม่รู้!” เซียวอี้ตอบแบบขอไปที
ท่านอ๋องตงผิงขุ่นเคือง “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้า เจ้าต้องพูดความจริงกับข้า พูดความจริงทุกอย่างออกมา”
เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “ลูกไม่เคยขอให้เสด็จพ่อช่วยเหลือ แน่นอน หากเสด็จพ่อต้องการช่วยเหลือ ลูกคงซาบซึ้งอย่างมาก”
ท่านอ๋องตงผิงขุ่นเคืองอย่างมาก “เจ้าลูกทรพี เจ้าพูดกับข้าด้วยท่าทีนี้ สมควรถูกขังอยู่ในคุกหลวงแล้ว”
เซียวอี้ยิ้มเย้ยหยัน “ใช่ ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ข้าสมควรรับ เสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของข้า ปล่อยให้ข้าเกิดและดับสลายเองไปในคุกหลวงเถิด เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าวันใดข้าจะกลับไปสังหารบุตรชายอันเป็นที่รักของท่าน รวมทั้งหญิงชั้นต่ำผู้นั้นด้วย”
ท่านอ๋องตงผิงโกรธจัด “หญิงชั้นต่ำอันใดกัน นางเป็นพระชายา เป็นมารดาของเจ้า”
เซียวอี้กลอกตา รำคาญอย่างมาก
“พูดจบแล้วหรือไม่ พูดจบก็ออกไปเถิด คุกหลวงสกปรก ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านพ่ออยู่ได้”
“เจ้าลูกทรพี เสียดายความเมตตาของข้า เจ้าอยู่ในคุกหลวงจนตายเถิด! ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว”
ท่านอ๋องตงผิงทิ้งคำพูดเอาไว้ สะบัดแขนเสื้อจากไป
เซียวอี้ผิวปากพลันส่งสายตาชั่วร้าย
เมื่อได้ยินเสียงผิวปาก ท่านอ๋องตงผิงตกใจ ราวกับมีผีร้ายไล่ตามอยู่ด้านหลัง ฝีเท้าที่หนักแน่นในเดิมทีเปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย เขาแทบจะวิ่งออกจากคุกหลวง
โชคดีที่ถึงแม้รูปร่างของเขาจะอ้วนท้วม แต่เขาก็วิ่งได้เร็วไม่น้อย
เขาวิ่งออกจากคุกหลวงอย่างรวดเร็ว
จี้ซินแสกับสวี่จ่างสื่อกำลังสนทนากัน
เมื่อเห็นเขาวิ่งออกมาพร้อมเหงื่อเต็มหน้า สีหน้าตกใจไม่น้อย
“ท่านอ๋อง ท่านเป็นอันใดหรือไม่”
สีหน้าของท่านอ๋องตงผิงโกรธเคือง “ลูกทรพีไร้ความสำนึกผิด ไป พวกเรารีบไป ปล่อยให้ลูกทรพีตายอยู่ในนั้น ไม่ต้องสนใจเขา”
บอกลากับสวีจ่างสื่อ ท่านอ๋องตงผิงก็รีบเดินทางออกจากสำนักองครักษ์จินอู่ทันที
จนกระทั่งนั่งขึ้นรถม้า เขาถึงได้ผ่อนคลายลง
เขามีเหงื่อท่วมหัว เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวเพียงใด
จี้ซินแสถามอย่างระมัดระวัง “นายน้อยหกได้พูดอันใดหรือไม่ มีสารภาพความจริงเรื่องการลอบสังหารหรือไม่”
ท่านอ๋องตงผิงเบิกตาโต สีหน้าโหดเหี้ยม จี้ซินแสตกใจไม่น้อย