ตอนที่ 62 ทำดีหวังผล
บุตรสาวขององค์หญิงเฉิงหยาง จ้งซูอวิ้นเป็นหนึ่งในผู้นินทา
สิ่งที่แตกต่างคือ นางเคยสัมผัสกับเยียนอวิ๋นเกอหลายครั้ง ถือว่ารู้จักอีกฝ่าย
เรื่องความโหดเหี้ยม หรือพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของเยียนอวิ๋นเกอ นางก็เคยประสบมาโดยตรง
ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรที่เป็นฝ่ายทักทายเยียนอวิ๋นเกอขึ้นมาก่อน
“เหตุใดน้องอวิ๋นเกอจึงอยู่คนเดียว ทุกคนต่างไปชมทิวทัศน์ที่สวนดอกไม้แล้ว สวนดอกไม้ของจวนองค์ชายใหญ่โด่งดังอย่างมากในเมืองหลวง เวลานี้เป็นฤดูแห่งการผลิบาน หากน้องอวิ๋นเกอไม่รังเกียจ เจ้าเดินไปชมทิวทัศน์สวนดอกไม่กับข้าดีหรือไม่”
ทำดีหวังผล!
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า ปฏิเสธคำเชิญชวนของจ้งซูอวิ้น
หากพูดถึงทิวทัศน์สวนดอกไม้ จวนท่านหญิงก็ไม่แพ้จวนหลังไหนในเมืองหลวง
หากจะชมทิวทัศน์ นางกลับไปชมในจวนท่านหญิงก็เหมือนกัน
ให้นางอยู่ร่วมกับกลุ่มสตรี นอกเสียจากนางมีเวลาว่างเกินไป
เหมือนดั่งที่ว่าคุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน ยิ่งไปกว่านั้นนางพูดไม่ได้
วันนี้เป็นงานอภิเษกสมรสขององค์ชายใหญ่ นางต้องควบคุมตนเอง ไม่อาจลงมือในงานเลี้ยงของผู้อื่น
อีกอย่างจ้งซูอวิ้นเชิญชวนนางย่อมไม่มีเจตนาดีอย่างแน่นอน
“น้องอวิ๋นเกอไม่ไปจริงหรือ”
เมื่อเห็นเยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธ จ้งซูอวิ้นจึงเน้นเสียงมากขึ้น
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มให้นาง ส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง
จ้งซูอวิ้นถอนหายใจ ท่าทางเสียดายอย่างมาก
“น้องอวิ๋นเกอรูปลักษณ์งดงาม นอกจากพูดไม่ได้ ทุกอย่างล้วนโดดเด่น งานในวันนี้เป็นโอกาสที่น้องอวิ๋นเกอจะได้แสดงความสามารถ หากเจ้าเสียโอกาสนี้ไปจะน่าเสียดายยิ่งนัก”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยิน หัวเราะขึ้นมา ดวงตาของนางหรี่ลงราวกับรู้สึกตลกอย่างมาก
จ้งซูอวิ้นมีความสามารถเสียจริง แม้แต่หนังควายยังให้นางเป่าลอยขึ้นฟ้าได้ แม้แต่สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เห็นได้ชัดว่าเป็นคนชำนาญด้านการโกหก
คำพูดที่ไม่ได้มาจากใจจริงยังสามารถพูดออกมาได้ราวกับจริงใจ ทักษะการแสดงเหนือชั้นยิ่งนัก
รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ภาษามือ เยียนอวิ๋นเกอหยิบกระดาษและดินสอออกมา “ขอบคุณพี่ซูอวิ้น ข้าชอบความสงบ คนเดียวก็ดีเหมือนกัน อีกทั้งข้าอายุน้อย เรื่องอื่นยังไม่รีบ”
นางยังไม่ถึงอายุที่เหมาะสม ไม่รีบร้อนในการมีชื่อเสียง
อีกอย่าง แม้การอยู่ร่วมกับเหล่าสตรีจะมีโอกาสเผยแพร่ชื่อเสียง แต่ก็คงเป็นชื่อเสียงที่เสื่อมเสีย
นางไม่เชื่อว่าสตรีเหล่านั้นจะพูดถึงเรื่องดีๆ ของนาง
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเสื่อมเสีย หรือชื่อเสียงที่ดี นางก็ไม่สนใจ
แต่ไม่เท่ากับนางยอมกลายเป็นเป้าหมายการนินทาของผู้อื่น
สีหน้าของจ้งซูอวิ้นเปลี่ยนไป สุดท้ายนางก็มองเยียนอวิ๋นเกออย่างสงสาร
“หลายปีนี้น้องอวิ๋นเกอคงต้องอยู่อย่างลำบากใช่หรือไม่!”
อีกฝ่ายกำลังเห็นใจตนเองหรือ!
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกระจ่าง
จ้งซูอวิ้นย่อมคิดว่าที่นางพูด “ชอบความสงบ คนเดียวก็ดีเหมือนกัน” เป็นเพียงข้ออ้าง
สาเหตุหลักคือพูดไม่ได้ ภายในใจรู้สึกต่ำต้อย ดังนั้นนางจึงไม่เข้าพวก ปฏิเสธการอยู่ร่วมกับทุกคน
ถุย!
ดวงตาข้างไหนเห็นว่านางรู้สึกต่ำต้อย
คนที่ยโสโอหังอย่างนาง มีความเกี่ยวข้องกับต่ำต้อยหรือ
นางทำหน้ารังเกียจ พลันจรดดินสอไปมาอยู่บนกระดาษ “พี่ซูอวิ้นไปทำเรื่องของตนเองเถิด ข้าสบายดีมาก ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”
จ้งซูอวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดภายในใจ สมกับเป็นคนที่ยิ่งรู้สึกต่ำต้อย ยิ่งหยิ่งยโส
เฮ้อ นิสัยเช่นนี้คงจะเสียเปรียบ
“น้องอวิ๋นเกอ เจ้าต้องปล่อยวาง ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่หากฟังทุกคสนทนากันย่อมมีผลดีต่อเจ้า เจ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวน ออกจากจวนมาไม่ง่ายนัก เจ้าต้องคว้าโอกาสเอาไว้”
คราวนี้เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่นาง
ขอโทษที นางออกจากจวนทุกวัน ไม่เคยกักตัวอยู่ในจวน
นางยุ่งมากได้หรือไม่
ทุกนาทีล้วนเป็นเงินเป็นทอง
ฮึ!
ดูถูกคนเสียจริง
นางรำคาญจ้งซูอวิ้น คนผู้นี้เป็นโรคอันใดกัน เหตุใดจึงมาเกาะแกะทำท่าทางประจบนาง
น่ารำคาญ!
อีกฝ่ายใช้ดวงตาข้างไหนเห็นว่านางต้องการความเห็นใจ ต้องการการปล่อยวาง
สายตาอันใดกัน
ตาบอดหรือ
เยียนอวิ๋นเกอเขียนทันที “พี่ซูอวิ้นวันนี้ว่างมากหรือ”
จ้งซูอวิ้นเห็นเช่นนี้จึงอารมณ์ไม่ดีนัก
นางพูดอย่างเป็นกังวล “น้องอวิ๋นเกอ เจ้าไม่อาจปฏิเสธทุกคนให้ออกห่าง ข้าทำเพื่อเจ้า”
“ขอบคุณ! แต่ข้าไม่ต้องการจริงๆ” เขียนเสร็จ เยียนอวิ๋นเกอเผยยิ้มให้นาง
คำพูดที่ตรบงไปตรงมาราวกับมีดที่ทิ้งแทงไปยังจ้งซูอวิ้น
จ้งซูอวิ้นโกรธจนสีหน้าเปลี่ยนไป
เยียนอวิ๋นเกอเป็นฝ่ายโจมตีก่อน นางเขียนต่อ “บางทีพี่ซูอวิ้นอาจคิดว่าข้าไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่ไม่เป็นอันใด ข้าไม่ต้องกาความห่วงใยของท่านจริงๆ หากท่านว่างก็ไปห่วงใยผู้อื่นเถิด”
นางไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับจ้งซูอวิ้น ยิ่งรำคาญท่าทีการสั่งสอนของอีกฝ่าย
โธ่เอ้ย บนโลกนี้ มีเพียงมารดาเซียวฮูหยินและพี่สาวสองคนมีสิทธิสั่งสองนาง แม้แต่บิดาเยียนโส่วจ้านและพี่รองเยียนอวิ๋นถงยังไม่มีสิทธิ
จ้งซูอวิ้นเป็นผู้ใดกัน กล้าชี้นิ้วสั่งสองนางว่าควรวางตัวอย่างไร
ถุย!
นางยังต้องให้คนสั่งสอนเรื่องการวางตัวหรือ
มีชีวิตอยู่มาสองชาติ เหตุผลทุกอย่างนางล้วนรู้ดี
รู้เหตุผลทุกอย่างไม่เท่ากับนางจะปฏิบัติตาม
นางใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบไม่ได้หรือ
ไม่ได้กินข้าวตระกูลจ้ง ดื่มน้ำตระกูลจ้งเสียหน่อย ยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียจริง
จ้งซูอวิ้นโกรธจนมือสั่น “คนอื่นบอกว่าน้องอวิ๋นเกอไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่ก่อนข้าก็ไม่เชื่อนัก วันนี้ถือว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง เกะกะลูกตาของน้องอวิ๋นเกอ ขอตัว!”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม ครั้งนี้นางยิ้มอย่างจริงใจ
นางโบกไม้โบกมือ ไปดี ไม่ส่ง
จ้งซูอวิ้นเดินไปสองสามก้าว ก่อนจะหยุดลง นางหันกลับมามองเยียนอวิ๋นเกอ
“ข้าได้ยินว่านายหญิงเยียนจากตระกูลหลิงก็มาเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานในวันนี้ด้วย พวกเจ้าพี่สาวน้องสาวควรสนิทกันเอาไว้ เพราะอย่างไรก็แซ่เยียนเหมือนกัน”
นายหญิงเยียนจากตระกูลหลิงที่จ้งซูอวิ้นหมายถึงยอมต้องเป็นเยียนอวิ๋นเพ่ย
เยียนอวิ๋นเพ่ยเข้าร่วมงานเลี้ยงในนามของนายหญิงน้อยตระกูลหลิงไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่แปลกคือจ้งซูอวิ้นยุ่งเสียจริง
หากเยียนอวิ๋นเกอพูดได้ คงต้องตอบนางว่า “ไม่ใช่ธุระของเจ้า!”
ข้าจะใกล้ชิดกับเยียนอวิ๋นเพ่ยหรือไม่ เกี่ยวข้องกับเจ้าจ้งซูอวิ้นหรือ
เมื่อเห็นว่าเยียนอวิ๋นเกอไม่สนใจตัวเอง จ้งซูอวิ้นอดกลั้นความโกรธเอาไว้ พลันเดินจากไป
นางนึกในใจ อีกฝ่ายสมกับเป็นสตรีบ้านนอก ไม่มีกฎระเบียบแม้แต่น้อย
นางลดตัวลงมาคบหา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังทำท่าเย่อหยิ่งต่อนาง
ถุย!
บุตรสาวของท่านหญิงจะเทียบได้กับบุตรสาวขององค์หญิงได้หรือ
อีกทั้งตระกูลเยียนยังเป็นตระกูลแม่ทัพ
ไม่แน่ว่าสักวัน พระราชโองการจากราชสำนักก็สามารถเรียกคืนอำนาจทางทหารของตระกูลเยียน จับกุมคนของตระกูลเยียนทั้งหมดเอาไว้
หากเยียนอวิ๋นเกอฉลาด ตอนที่นางเข้าไปทักทาย นางย่อมต้องรีบประจบเข้ามา จากนั้นคล้อยตามคำพูดเดินทางไปที่สวนดอกไม้ร่วมกับนาง
ช่างเป็นคนสมองทื่อ
หากไม่เห็นแก่ที่เยียนอวิ๋นฉีกำลังจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายสอง นางคงไม่เดินเข้าไป
จ้งซูเอิ้นตัดสินใจ ต่อจากนี้นางจะไม่ยุ่งกับเยียนอวิ๋นเกออีก น่าโมโหยิ่งนัก
…
ในที่สุดเยียนอวิ๋นเกอก็อยู่อย่างสงบ รินเองดื่มเองคนเดียว สบายยิ่งนัก!
เสียดายที่ความสงบนี้ไม่ได้อยู่นานมาก
มีอีกคนเดินเข้ามาหานาง คนผู้นั้นคือเยียนอวิ๋นเพ่ย
เยียนอวิ๋นเกอเผชิญต่อความเสี่ยงในการบาดเจ็บ เปิดปากพูด “ถุย!”
นอกจาก ‘อา’ และ ‘ถุย’ เป็นคำที่เยียนอวิ๋นเกอพูดได้ชัดที่สุด
เยียนอวิ๋นเพ่ยเพิ่งเข้าใกล้ ก็ได้ยินเสียง ‘ถุย’ ออกมาจากปากของเยียนอวิ๋นเกอ ทันใดนั้นก็ตกตะลึง
นางตกตะลึงอย่างมาก “น้องอวิ๋นเกอ เจ้าพูดได้แล้วหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา
หากนางพูดได้ เชื่อหรือไม่ว่านางสามารถด่าเยียนอวิ๋นเพ่ยจนตัวทะลุ
เยียนอวิ๋นเพ่ยพินิจนางอย่างละเอียด
“หรือว่าข้าหูฝาด จะว่าไปก็จริง หากน้องหญิงพูดได้ จะปิดบังได้อย่างไร ทางฮูหยินย่อมต้องออกเทียบเชิญเลี้ยงฉลองแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอมองนาง สีหน้าของนางดีขึ้นไม่น้อยเมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งมาเมืองหลวง
ใบหน้ามีเนื้อมากขึ้น ดูแล้วมีสมกับเป็นนายหญิงน้อยเสียที
ไต้ฟูสตรีที่สาวรับใช้ ชุนซิ่งหาแทนเยียนอวิ๋นเพ่ยมีความสามารถเสียจริง รักษาโรคสตรีได้ดีขึ้นไม่น้อย
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างมีนัย ภายในใจครุ่นคิด จะวางยาเยียนอวิ๋นเพ่ยอีกดีหรือไม่ ให้นางทนทุกข์ทรมานต่อไป
เวลาในการวางยาต้องควบคุมให้ดี
เวลานี้วางใจไม่ได้เพราะเวลานี้เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่ถูกจับตาโดยแม่สามีกับสะใภ้ในตระกูล สะดวกต่อการเชิญไต้ฟู
หากต้องวางยาจริง รอตอนที่นางออกจากเมืองหลวงเหมาะสมที่สุด
“น้องอวิ๋นเกอกำลังคิดเรื่องใด ข้ามาแล้ว เจ้าไม่มองข้าแม้แต่น้อย”
เยียนอวิ๋นเพ่ยบ่นขึ้นมา
เยียนอวิ๋นเกอเหลือบมองนาง นางใจกล้ามากขึ้นไม่น้อย บังอาจตำหนินาง อีกทั้งยังกล้าบ่นนาง
นางกำหมัดแน่น บนใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ท่าทางนี้ในสายตาของเยียนอวิ๋นเพ่ยน่ากลัวยิ่งนัก
เยียนอวิ๋นเพ่ยตกใจในทันที นางก้าวถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัว
นางกลัวเยียนอวิ๋นเกอลงมือตีนาง
“น้องอวิ๋นเกอ วันนี้เป็นงานเลี้ยงขององค์ชายใหญ่ เจ้าอย่าวู่วาม”
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่นาง นางย่อมไม่วู่วาม
ในเวลาเดียวกัน เยียนอวิ๋นเกอก็รู้ เหตุใดเยียนอวิ๋นเพ่ยจึงกล้าปรากฏตัวต่อหน้านาง
ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะหลิงฉางจื้อมีความสามารถ ทำให้ตระกูลหลิงมีเกียรติอย่างมาก
ระยะนี้ หลิงฉางจื้อออกเช้ากลับค่ำทุกวัน ส่งจดหมายเยือนไปทุกที่
เขามีลักษณะภายนอกที่ดูดี มีความรู้ที่ท่วมท้น พูดจาตลกขบขัน มีวิสัยทัศน์ ทำให้คนรู้สึกประทับใจอย่างง่ายดาย
ไม่ว่าขุนนางฝ่ายราชการหรือขุนนางนายพลต่างประทับใจต่อเขาอย่างมาก
อีกทั้งเขายังเข้าร่วม งานเลี้ยงบทกลอน บทกวีต่างๆ ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงบัณฑิตย์
แม้แต่อาจารย์หยูที่มีชื่อเสียง หลายคนในเมืองหลวงยังชื่นชมหลิงฉางจื้ออย่างเปิดเผย บอกว่าเขามีความรู้แน่นหนา เป็นผู้มีความสามารถอย่างหาได้น้อยในคนหนุ่ม
อีกทั้งยังมีอาจารย์หยูคนหนึ่งถวายฎีกาต่อฝ่าบาท แนะนำหลิงฉางจื้อเข้ารับราชการในราชสำนัก
บอกว่าเขาเป็นเสาหลักของบ้านเมือง หากฮ่องเต้พลาดเขาไปย่อมต้องเสียพระทัย
เป็นคำชมที่สูงส่งอย่างมาก
แต่แล้วหลิงฉางจื้อสมกับคำชื่นชมนั้น
เขาเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ความรู้และความสามารถของเขาสามารถแบกรับคำชื่นชมทั้งหมดได้
หากเขาไม่ได้สมรสก่อนหน้านี้ อีกทั้งบุตรยังโตแล้ว ขุนนางมากมายในเมืองหลวงต่างอยากหมั้นหมายบุตรสาวให้แก่เขา
ชายหนุ่มที่มีความสามารถเช่นนี้ กลับไม่สามารถรับเป็นเขยได้ ช่างน่าเสียดาย
ภายในระยะเวลาอันสั้น หลิงฉางจื้อเป็นจุดสนใจอย่างมาก มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง
พี่น้องของเขาหลิงฉางเฟิงจึงโชคดีไปด้วย
เยียนอวิ๋นเพ่ยในฐานะภรรยาของหลิงฉางเฟิงย่อมโชคดีไปด้วย
นี่คือต้นทุนในความหยิ่งยโสของเยียนอวิ๋นเพ่ย
เวลานี้นางเดินออกไป ผู้อื่นได้ยินว่านางเป็นน้องสะใภ้ของหลิงฉางจื้อ ล้วนต้องให้เกียรตินาง
เดิมทีวันนี้เยียนอวิ๋นเพ่ยคิดอยากจะโอ้อวดต่อหน้าเยียนอวิ๋นเกอ
แต่ไม่คิดว่า เมื่อเยียนอวิ๋นเกอเผยหมัดออกมาก็ตีให้นางกลับไปเหมือนเดิมในทันที นางนึกถึงความหวาดกลัวมที่มีต่อหมัดของเยียนอวิ๋นเกอ
นางกลืนน้ำลายลงคอ ความหวาดกลัวภายในใจไม่สลายหายไป “น้องอวิ๋นเกอ พวก…พวกเราค่อยๆ คุยกัน”
เยียนอวิ๋นเกอชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง บอกให้เยียนอวิ๋นเพ่ยนั่งลง
อยากจะค่อยๆ พูดไม่ใช่หรือ วันนี้มีเวลามาก พวกเราค่อยๆ คุย
เยียนอวิ๋นเพ่ยยิ้มเก้อ นั่งลงอย่างระมัดระวัง “วันนี้ไม่พบน้องอวิ๋นฉี นางไม่มาหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า นางไม่ได้
เยียนอวิ๋นเพ่ยคุยต่อ “เหตุใดน้องอวิ๋นเกอไม่เที่ยวเล่นกับสตรีท่านอื่น ข้าเห็นพวกนางล้วนไปสวนดอกไม้ ทางนั้นทิวทัศน์งามยิ่ง มีดอกไม้นานาชนิดนับร้อย”
เยียนอวิ๋นเกอจรดปากกาเขียน “ไม่สนใจ!”
เยียนอวิ๋นเพ่ยคุยต่อ “แฮะๆ จะว่าไปก็ใช่ น้องอวิ๋นเกอไม่ใช่คนธรรมดา ย่อมไม่มีทางเล่นกับเหล่าสตรีธรรมดาเหล่านั้น”
เยียนอวิ๋นเกอกวาดตามองนาง นางกำลังด่าตนเองทางอ้อมหรือ
เยียนอวิ๋นเพ่ยโบกมือระรัว “น้องอวิ๋นเกออย่าเข้าใจผิด เจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่ ในสายตาของทุกคน เจ้าเป็นคนพิเศษ มีเพียงหนึ่งเดียว ผู้ใดก็เลียนแบบไม่ได้
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มเย้ยหยัน จรดดินสอ “เจ้าอยากพูดเรื่องใด”
เยียนอวิ๋นเพ่ยหดหู่ “แค่อยากคุยเล่นเท่านั้น”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเย้ยหยัน “คุยจบแล้วหรือไม่ หากไม่มีเรื่องอื่นเจ้าไปได้แล้ว อย่ามาขวางข้าดื่มสุรา”
“น้องอวิ๋นเกอดื่มสุราด้วยหรือ เจ้าอายุเพียงเท่าใดกัน ดื่มสุราได้อย่างไร อย่าดื่มเลย ดื่มชา ดื่มชาดีกว่า”
เพี๊ยะ!
เยียนอวิ๋นเกอตบโต๊ะ
วันนี้แต่ละคนล้วนยุ่งกับนาง ผู้ใดให้หน้าพวกนางกัน
เยียนอวิ๋นเพ่ยตกใจ นางเพียงแค่เกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี เหตุใดเยียนอวิ๋นเกอจึงโกรธ
นางทำหน้าหวาดกลัว แต่ภายในใจโกรธแค้น เจ้าเด็กใบ้ ดื่มให้ตายไปเถิด
อาเป่ยทนดูไม่ได้ ยืนออกมา “คุณหนูอวิ๋นเพ่ย ท่านกลับไปเถิด อย่างไรท่านก็ไม่ใช่คุณหนูบ้านใหญ่อย่างแท้จริง คุณหนูสี่ของพวกเราจะทำสิ่งใด ยังไม่ต้องให้ท่านมายุ่ง อีกอย่างคุณหนูสี่เพียงแค่ดื่มสุรา แม้แต่ฮูหยินยังไม่สนใจ ท่านมีสิทธิอันใดมาชี้นิ้ว”
“เจ้าสาวรับใช้ชั้นต่ำ…”
เยียนอวิ๋นเพ่ยเพิ่งพูดออกมา…
เพร้ง!
เยียนอวิ๋นเกอกำแก้วนสุราแตกด้วยฝ่ามือ
แก้วสุราดีๆ ถูกจบจนกลายเป็นผุยผง เยียนอวิ๋นเพ่ยอกสั่นขวัญเสีย สีหน้าซีดเผือด
นางรีบลุกขึ้น คราวนี้ไม่ต้องให้คนตักเตือนหรือเร่งเร้า นางก็จากไปอย่างรีบร้อน
หลังเดินจากไปไกล ถึงได้ยินนางตะโกน “หวังดีกลายเป็นหวังร้าย!”
อาเป่ยโกรธ “มือยื่นยาวเสียเหลือเกิน แม้แต่คุณหนูนางยังกล้ายุ่ง ผู้ใดให้ความกล้าแก่นางกัน”
เยียนอวิ๋นเกอหันเราะขึ้นมา
เยียนอวิ๋นเพ่ยผู้นี้ยโสโอหังเพราะได้ที
ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็กล้าชี้นิ้วสั่งสอนนางเสียแล้ว
หากผ่านไปอีกครั้งปี นางคงได้เหยียบจมูกขึ้นมา
เยียนอวิ๋นเกอเปลี่ยนแก้วสุรา ครุ่นคิดในใจ ไม่ควรมีสีหน้าดีให้เยียนอวิ๋นเพ่ยเสียจริง