ตอนที่ 63 แอบฟัง
เมื่อถูกจ้งซูอวิ้นและเยียนอวิ๋นเพ่ยรบกวนต่อเนื่อง เยียนอวิ๋นเกอก็หมดอารมณ์ดื่มสุราในทันใด
นางกวักมือเรียกให้อาเป่ยไปเดินเล่นรอบๆ ด้วยกัน
นานๆ ทีจะได้มาจวนองค์ชายใหญ่ อย่าได้สิ้นเปลืองโอกาสที่ดีเช่นนี้
ดูให้มากย่อมไม่ผิด
วันนี้จวนองค์ชายใหญ่คึกคักอย่างมาก
เต็มไปด้วยสาวรับใช้ แม่นม บ่าวรับใช้ และแขกเหรื่อ…
ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา
เยียนอวิ๋นเกอเดินไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมายที่ชัดเจน
เพียงแต่นางจะหลบหลีกสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก
ในเมื่อนางไม่มีเจตนาสานสัมพันธ์ก็อย่าเข้าไปวุ่นวายให้ทุกคนต่างไม่สบายใจเสียดีกว่า
นางเดินไปยังบริเวณที่เงียบสงบ
ถึงแม้อากาศจะปลอดโปร่ง แต่ลมที่พัดมานั้นช่างร้อนระอุ
เมื่อเดินไปยังบริเวณที่เงียบสงบกลับทำให้สัมผัสได้ถึงความเย็น
เนื่องจากนางฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จึงทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าว่องไวกว่าผู้อื่น
นางสามารถได้ยินเสียงสนทนาจากระยะไกล
ฟังจากเสียงแล้วอีกฝ่ายเป็นคนที่นางคุ้นเคย
นางคือจ้งซูอวิ้น
เหตุใดจ้งซูอวิ้นไม่อยู่กับสตรีเหล่านั้น หากแต่มายังสถานที่แห่งนี้
นางกำลังสนทนากับผู้ใด
เยียนอวิ๋นเกอมองไปโดยรอบ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อดูสถานการณ์จากมุมสูง
สาวรับใช้ อาเป่ยปีนขึ้นต้นไม้เช่นเดียวกับนาง
เอ๊ะ?
คนที่กำลังสนทนากับจ้งซูอวิ้นคือองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้
สองคนนี้มีความลับใดกันหรือ
ไม่ใช่!
นางจำได้ว่าองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้มีการหมั้นหมายไว้นานแล้ว ว่าที่พระชายาของเขาคือบุตรสาวคนโตของตระกูลเถา
เมื่อองค์ชายสองอภิเษกสมรสแล้ว ก็ถึงคราวอภิเษกขององค์ชายสาม
แต่จะว่าไปแล้ว จ้งซูอวิ้นกับองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หากมีเรื่องใดย่อมสามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย
เหตุใดจึงต้องหลบมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลเพียงนี้ โดยรอบไม่มีแม้แต่บ่าวรับใช้
ประหลาดเสียจริง!
“…เยียนอวิ๋นเกอนั้น ร้ายกาจเสียจริง…”
เอ๊ะ?
พูดถึงนางด้วยหรือ
เยียนอวิ๋นเกอรีบเงี่ยหูฟังเพื่อให้ได้ยินบทสนทนาที่ชัดเจนขึ้น
“น้องหญิงไม่ต้องขุ่นเคือง! รู้อยู่แล้วว่าเยียนอวิ๋นเกอมีนิสัยแปลกประหลาด เพียงแต่ข้าทำให้น้องหญิงต้องหงุดหงิดเสียแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอกัดฟันกรอด
เจ้าต่างหากที่ประหลาด ตระกูลเจ้ามีแต่คนประหลาด
พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือ
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ เฮอะๆ นางจำเขาได้แล้ว
จ้งซูอวิ้นหดหู่อย่างมาก “ไม่ปิดบังเสด็จพี่ ข้าถูกเยียนอวิ๋นเกอนั้นปฏิเสธอย่างเย็นชา ข้าพูดดีกับนางแล้ว แต่นางกลับพูดจาร้ายกาจตอบ ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไร ไม่ว่าข้าจะคิดแทนนางอย่างไร แต่นางล้วนไม่ยอมรับเจตนาดีของข้า อีกทั้งยังหาว่าข้าเกะกะและยุ่งไม่เข้าเรื่อง หากข้าไม่ได้คำนึงถึงเรื่องที่เสด็จพี่กำชับ ข้าคงอาละวาดนางไปแล้วเพคะ”
“ลำบากน้องหญิงแล้ว วันหลังข้าจะนำของขวัญมามอบให้เป็นการตอบแทนน้องหญิง”
จ้งซูอวิ้นส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าช่วยเสด็จพี่โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนเพคะ”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้รีบพูด “เจตนาของน้องหญิง ข้าเข้าใจดี เจ้าวางใจเถิด ของขวัญที่ข้าให้ย่อมต้องถูกใจเจ้า”
“จริงหรือเพคะ”
“จริงแน่นอน!”
จ้งซูอวิ้นเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความดีใจ นางเผยยิ้มออกมา “ข้าช่วยเหลือเสด็จพี่ด้วยความเต็มใจเพคะ”
“ถึงแม้เจ้าจะเต็มใจ แต่ข้าไม่อาจให้เจ้าทนรับความไม่เป็นธรรมนี้ได้”
คำพูดขององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้แสดงออกถึงความจริงใจ ทำให้ผู้ฟังได้รับการปลอบประโลมไม่น้อย
จ้งซูอวิ้นตำหนิตนเอง
แน่นอน นางย่อมไม่ได้ตำหนิตนเองจริง นางเพียงแค่ผลักภาระทุกอย่างมาที่เยียนอวิ๋นเกอ “เยียนอวิ๋นเกอนั้นนิสัยประหลาด ข้าไม่คิดว่านางจะไม่มีแม้แต่มารยาทพื้นฐาน ข้าเป็นฝ่ายเข้าหานางด้วยตนเองแล้ว แต่นางก็ไม่แม้แต่จะสนใจ
นางเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน เหตุใดเสด็จพี่จึงต้องลดตัวคบหา อีกทั้งตระกูลเยียนก็เป็นเพียงตระกูลนายพลธรรมดา ไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อย เพียงแค่เยียนอวิ๋นเฟยผู้เป็นพี่สาวแต่งงานได้คู่ครองดี ยอมละทิ้งหลิงฉางเฟิงไปแต่งงานกับท่านโหวผิงอู่สืออุน”
เรื่องที่เยียนอวิ๋นเพ่ยใช้วิธีการไม่เหมาะสมแต่งงานกับหลิงฉางเฟิงแทนเยียนอวิ๋นเฟยเริ่มแพร่กระจายออกไปตามการเข้าเมืองของตระกูลหลิง ไม่สามารถปิดบังได้อีก
มีคนดูถูกเยียนอวิ๋นเพ่ย
แต่ก็มีคนคิดว่าเยียนอวิ๋นเฟยแต่งงานได้ดี
อย่างไรก็ตาม คดีของพี่น้องตระกูลเยียนนี้ ผู้คนในเมืองหลวงจำนวนมากต่างถกเถียงกัน
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้พูด “เจ้าลืมไปหรือว่ายังมีเยียนอวิ๋นฉีอีกคนที่กำลังจะอภิเษกสมรสกับพี่รอง”
จ้งซูอวิ้นพูด “เสด็จพี่สองทรงมีพระวรกายอ่อนแอ เยียนอวิ๋นฉีอภิเษกกับเสด็จพี่สองแล้วจะเป็นหม้ายเมื่อใดก็ไม่รู้”
“พูดเช่นนี้ไม่ได้! อีกไม่กี่วัน เจ้าต้องเรียกเยียนอวิ๋นฉีว่าพี่สะใภ้”
คำพูดเกลี้ยกล่อมขององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้กลายเป็นคำพูดบาดหูต่อจ้งซูอวิ้น
จ้งซูอวิ้นส่งเสียงไม่พอใจ “เสด็จพี่ทรงให้ข้าไปเข้าใกล้เยียนอวิ๋นเกอเพราะเหตุนี้หรือเพคะ”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ยิ้ม แต่ไม่อธิบายเรื่องใด “เอาเถิด เอาเถิด เจ้าอย่าโกรธเลย ต่อจากนี้เจ้าอยู่ห่างจากเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้ อย่าได้ถูกนางยั่วโมโหจนล้มป่วยเอง”
จ้งซูอวิ้นมองเขา “เสด็จพี่ทรงไม่เชื่อใจข้าหรือเพคะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น! หากข้าไม่เชื่อใจเจ้า ข้าจะขอให้เจ้าช่วยได้อย่างไร”
“ในเมื่อขอให้ข้าช่วยเหลือ เหตุใดเสด็จพี่จึงไม่ยอมตรัสความจริงกับข้า”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้ว “น้องหญิงซูอวิ้น ข้าก็มีความลำบากมากมาย เจ้าเห็นใจข้าได้หรือไม่”
จ้งซูอวิ้นรู้สึกน้อยใจ
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ถอนหายใจ แสดงออกถึงความระอา “เอาเถิด ข้าไม่ปิดบังเจ้าแล้ว ระยะนี้พี่รองมีการเคลื่อนไหวมาก นอกจากนี้เขายังให้ความสำคัญกับเจ้าเด็กเยียนอวิ๋นเกอนั้นมาก ข้าสงสัยยิ่งนักจึงอยากสืบเสียหน่อย”
จ้งซูอวิ้นเผยยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ ท่านทรงมีความจำเป็นต้องปิดบังข้าหรือ”
“ข้ากลัวน้องหญิงเป็นกังวล”
คำพูดนี้ทำให้จ้งซูอวิ้นสบายใจอย่างมาก นางก้มหน้ายิ้มอย่างเขินอาย พูดต่อ “เสด็จพี่รองทรงมีพระวรกายที่ไม่แข็งแรงนัก เสด็จพี่รองไม่อาจทำให้ตำแหน่งของท่านสั่นคลอนได้ แม้แต่ท่านแม่ข้ายังตรัสว่าตำแหน่งนี้ย่อมต้องตกเป็นของท่าน”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ได้ยินจึงดีใจอย่างมาก “จริงหรือ เสด็จอาเฉิงหยางตรัสเช่นนั้นจริงหรือ”
จ้งซูอวิ้นพยักหน้าระรัว “จริงเพคะ เรื่องสำคัญเช่นนี้ ข้าไม่หลอกเสด็จพี่แน่นอน”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้กัดฟัน “ไม่รู้ข้าจะมาเยือนเสด็จอาได้หรือไม่”
“ย่อมได้เพคะ! ท่านย่อมมาได้ เสด็จแม่ต้องดีใจอย่างมาก”
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ดีใจอย่างมากเช่นเดียวกัน
หากได้รับการสนับสนุนจากองค์หญิงเฉิงหยางย่อมเท่ากับได้รับแรงสนับสนุนใหญ่เพิ่มขึ้นอีก
เพียงแค่วางแผนอย่างรอบคอบ อดทนรอคอยโอกาส ผู้ใดก็ไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้
บัลลังก์นั้นย่อมต้องเป็นของเขา
จ้งซูอวิ้นคิดแทนองค์ชายสามอย่างจริงใจ “ข้าเห็นหลี่ปิ้งถิงมีความผิดปกติจึงให้คนไปสืบมา หากสามารถสร้างความร้าวฉานความสัมพันธ์สามีภรรยาระหว่างหลี่ปิ้งถิงกับองค์ชายใหญ่ได้ ไม่รู้จะเป็นประโยชน์ต่อเสด็จพี่หรือไม่เพคะ”
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ดีใจ “ขอบใจน้องหญิง! หากสามารถสร้างความร้าวฉานระหว่างพวกเขาสามีภรรยาได้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อข้าอย่างมาก อย่างไรเสด็จพี่ใหญ่ก็เป็นบุตรชายคนโต เสด็จพ่อไม่ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทหนึ่งวันย่อมหมายความว่าพี่ใหญ่ก็ยังมีโอกาส อย่างไรก็ตามต้องตัดเขาออกจากการแย่งชิงในครั้งนี้ให้ได้”
จ้งซูอวิ้นพยักหน้า “เสด็จพี่วางพระทัย ข้าจะช่วยเสด็จพี่อย่างเต็มที่ ข้ารู้จักหลี่ปิ้งถิงดี จะหาทางหลอกถามมาให้ได้”
“ลำบากน้องหญิงแล้ว!”
ทั้งสองคนเดินจากไปไกล
เยียนอวิ๋นเกอกระโดดลงจากต้นไม้
นางมองบริเวณรอบๆ ที่ไร้ผู้คน มีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้น
จ้งซูอวิ้นเข้าหานางเพราะแผนการขององค์ชายสามเซียวเฉิงอี้
เพราะนางมีการร่วมมือกับองค์ชายสองหรือ
สาวรับใช้ อาเป่ยรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย “เหตุใดองค์ชายสามจึงต้องจับตาดูคุณหนู บนตัวของคุณหนูไม่น่ามีสิ่งที่เขาสนใจนะเจ้าคะ”
ใช่!
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า
นางเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน โชคดีที่กำเนิดในตระกูลเยียน มารดาเป็นท่านหญิง มีสิ่งใดให้สนใจกัน
เพราะการบุกเบิกที่ดินหรือ
เรื่องนี้คงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น!
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้ได้รับความโปรดปรานจากเถาฮองเฮา อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากตระกูลเถา เขาไม่ขาดแคลนเรื่องเงิน
เหตุใดจึงสนใจที่ดินบุกเบิกอันน้อยนิดของนาง
เยียนอวิ๋นเกอทำท่าทาง ‘นับแต่นี้ต้องระวังองค์ชายสามให้มาก’
หลบได้ก็หลบ
เยียนอวิ๋นเกอยืดได้หดได้ก่อนที่จะมีความสามารถเพียงพอ
อาเป่ยขอคำชี้แนะ “คุณหนู ต้องให้บ่าวตามไปดูหรือไม่เจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า ใช้สองมือทำท่า ‘ข้างตัวองค์ชายสามมีองครักษ์จำนวนมาก เจ้าจะถูกจับได้ก่อนที่จะเข้าใกล้เขา พวกเราไม่จำเป็นต้องเสี่ยง สามารถมั่นใจได้ว่าตอนนี้พวกเรายังไม่มีอันตราย องค์ชายสามไม่มีทางทำอันใดข้า’
ไม่ว่าสาเหตุที่องค์ชายสามสนใจนางจะเป็นเรื่องใด สิ่งหนึ่งที่เยียนอวิ๋นเกอสามารถมั่นใจได้คือเวลานี้ไม่ใช่เวลาในการลงมือ
ดังนั้นความปลอดภัยของนางจึงสามารถรับรองได้
อาเป่ยพึมพำเสียงเบา “ปีนี้เป็นปีชงหรือ เรื่องต่างๆ ถึงได้ไม่ราบรื่น คุณหนูเดินทางไปสักการะที่ศาลหลักเมืองดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวได้ยินว่าศาลหลักเมืองในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก”
“ได้!” เยียนอวิ๋นเกอตอบรับทันที
อย่างไรนางก็จะออกไปอยู่แล้ว
แวะไปศาลหลักเมืองคงไม่สิ้นเปลืองเวลามากนัก
…
วันหลังไม่สู้วันนี้
วันรุ่งขึ้น เยียนอวิ๋นเกอมุ่งหน้าสู่ศาลหลักเมือง
นางคุกเข่าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างตั้งใจ
ถึงแม้เรื่องเทวดาผีสางไม่อาจเชื่อได้ แต่ก็ไม่อาจไม่เชื่อ รักษาไว้ซึ่งจิตใจที่เคารพก็เพียงพอ
หลักจากจุดธูป นางก็บริจาคเงินสิบก้วนสำหรับธูปเทียนลงไปในกล่อง
เมืองหลวงไม่ขาดแคลนคนมีเงิน คนมีเงินที่ยอมสละเงินจำนวนมากบริจาคก็มีไม่น้อย
เงินเพียงสิบก้วนทำให้พระสงฆ์ลืมตาขึ้น แต่ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย
หากแต่อายุของเยียนอวิ๋นเกอทำให้พระสงฆ์ประหลาดใจ
ถึงแม้รูปร่างของนางจะสูงโปร่ง แต่ใบหน้านั้นเพียงแค่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็ก
เด็กหญิงผู้นี้เดินทางมาสักการะคนเดียวโดยปราศจากการนำของผู้ใหญ่ ข้างตัวมีบ่าวรับใช้ปรนนิบัติ ครั้งหนึ่งบริจาคเงินสิบก้วน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่พบเห็นได้น้อย!
พระสงฆ์ไม่ใช่คนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมากดังนั้นจึงไม่ได้ถาม
ศาลหลักเมืองครอบครองพื้นที่กว้างขวาง
มีตำหนักหน้า ตำหนักกลาง และตำหนักหลัง
ผ่านตำหนักหลังไปคือภูเขาด้านหลังศาลหลักเมือง
วันนี้ไม่ใช่วันที่หนึ่ง หรือวันที่สิบห้า ซึ่งเป็นวันสำหรับสักการะพระพุทธรูป คนที่เดินทางมาศาลหลักเมืองจึงมีจำนวนน้อยมาก
แต่ยังสามารถพบเห็นผู้ที่มีลักษณะคล้ายบัณฑิตจำนวนน้อย แต่พวกเขาล้วนมาเพื่อเที่ยวเล่นเท่านั้น
ภูเขาด้านหลังศาลหลักเมืองมีป่าท้ออยู่ผืนหนึ่ง
สิ่งที่น่าเสียดายคือ เวลานี้ไม่ใช่ฤดูแห่งการผลิบานของดอกท้อ
เมื่อกวาดตามองไป ตรงหน้าเต็มไปด้วยสีเขียวขจี
เดินตามทางหินขนาดเล็กขึ้นไปบนภูเขาก็สามารถข้ามผ่านป่าท้อไปอย่างรวดเร็ว
สองข้างทางไม่มีต้นท้อ มีแต่ต้นไม้โบราณที่บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางนั้นมืดสลัวราวกับกาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
รอบด้านไม่มีคนแม้แต่คนเดียว
อาเป่ยถาม “คุณหนู พวกเราจะขึ้นไปหรือเจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ใช้สองมือทำท่า ‘ได้ยินว่าบนยอดเขาด้านหลังศาลหลักเมืองมีเจดีย์หนึ่ง นานๆ ทีจะได้มา ข้าไม่อยากพลาด’
ปีนบันไดชันนับร้อยขั้นขึ้นไปถึงบนยอดเขา ก่อนจะพบกับลานหินแห่งหนึ่ง
ตรงกลางของลานหินมีเจดีย์แห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
เจดีย์ที่สูงเพียงนี้ หากเดินขึ้นไป ย่อมสามารถมองเห็นทั่วทั้งเมืองหลวง
เยียนอวิ๋นเกอเดินวนอยู่รอบเจดีย์ ก่อนจะหาประตูพบที่ด้านหลัง
ในขณะที่นางกำลังจะเดินเข้าไป ไม่คิดว่าจะชนเข้ากับอีกคนอย่างจัง
เมื่อมองดูจึงพบว่าเป็นคนคุ้นเคย
“เจ้า?”
ทั้งสองคนจ้องมองกัน สีหน้าราวกับเห็นผี