ตอนที่ 70 ความโกลาหลในเมืองหลวง
จวนท่านอ๋องตงผิง
ภายในห้องนอนอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
ท่านอ๋องตงผิงลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า บริเวณหน้าท้องพันไปด้วยผ้า มีเลือดไหลซึมออกมา
เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บจริง
เขาร้องโอดครวญ “โอ้ย” ออกมา พลันคิ้วขมวดมุ่น
“พยุงข้าขึ้นมา”
“ร่างกายของท่านอ๋อง…”
“ไม่เป็นใด!”
จี้ซินแสได้แต่พยุงท่านอ๋องตงผิงขึ้นมาจากเตียงทำตามคำสั่ง
ท่านอ๋องตงผิงลงจากเตียง พยุงเอวแก่ชราหลายสิบปีเดินไปมา
เขาหายใจเข้ารู้สึกว่าดีขึ้นเล็กน้อย ท่านอ๋องตงผิงถามขึ้น “สถานการณ์ในวังหลวงเป็นอย่างไร มีคำตอบแล้วหรือไม่”
จี้ซินแสโน้มตัวเล็กน้อย รายงาน “ทูลท่านอ๋อง เมื่อวานซุนปังเหนียน ซุนกงกงรับพระราชโองการจากฮ่องเต้เดินทางมาเยือนท่านอ๋องที่จวน เวลานั้นท่านอ๋องยังสลบอยู่ ซุนกงกงกล่าวให้ท่านอ๋องพักรักษาอย่างสบายใจ เรื่องด้านนอกไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทจะทรงทวงความยุติธรรมให้ท่านอ๋องเอง”
ท่านอ๋องตงผิงได้ยินจึงหัวเราะออกมา “พักรักษาอย่างสบายใจอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่ยอมปล่อยข้าออกจากเมืองหลวงกลับพื้นที่ศักดินา เจ้าคิดว่าฮ่องเต้ทรงหมายความว่าอย่างไร เหตุใดเขาจึงรั้งให้เหล่าท่านอ๋องอยู่ในเมืองหลวง ไม่ยอมปล่อยไปเสียที ภายในใจของข้ารู้สึกวิตกยิ่งนัก เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น”
จี้ซินแสขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ปิดบังท่านอ๋อง ข้าก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เกรงว่าฝ่าบาททรงไม่มีเจตนาดีที่รั้งท่านอ๋องไว้ในเมืองหลวง”
“พระองค์ทรงไม่มีเจตนาดีอย่างแน่นอน!” ท่านอ๋องตงผิงพูดอย่างหนักแน่น ภายในใจรู้สึกคับแค้น
ฮ่องเต้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
ปัง!
ท่านอ๋องตงผิงทุบโต๊ะจนกระเทือนบาดแผล เขาเจ็บปวดจนโอดครวญออกมา ทรมานอยู่สักพักถึงได้หายดี
เขากุมบาดแผลเอาพลันหอบหายใจ “เจ้าคิดว่าฮ่องเต้สงสัยข้าหรือไม่ คิดว่าการลอบสังหรณ์เป็นเพียงการแสดง ดังนั้นจึงไม่ยอมปล่อยข้าออกจากเมืองหลวง”
จี้ซินแสพูด “เป็นไปได้ขอรับ! แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงอนุญาตให้ท่านอ๋องท่านอื่นออกจากเมืองหลวงเช่นเดียวกัน”
ท่านอ๋องตงผิงส่งเสียงไม่พอใจ “ฮ่องเต้ทนรงสงสัยข้าอย่างแน่นอน อยู่ดีๆ ก็มีมือสังหารโผล่ออกมาลอบสังหารข้า พระองค์ทรงเป็นคนขี้ระแวงย่อมต้องคิดว่ามันเป็นแผนการของข้า โธ่เอ้ย ถึงแม้ข้าจะใช้แผนการที่ทำให้ตัวเองเจ็บตัว แต่ข้าก็ไม่มีทางขอให้มือสังหารแทงเข้ามาที่ท้องของตนเอง”
ท่านอ๋องตงผิงโกรธอย่างมาก ความน้อยใจเกิดขึ้นเต็มอก เขาเคียดแค้นจนหมดหนทาง
จี้ซินแสเกลี้ยกล่อม “ร่างกายของท่านอ๋องสำคัญ อย่าได้โมโหนักเลยขอรับ”
ท่านอ๋องตงผิงโบกมือ “ข้าแค่ไม่พอใจ! เจ้าคิดว่ามือสังหารมาจากที่ใดกัน หรือตระกูลเถาจะส่งมือสังหารมาลอบสังหารข้าตามที่ลูกทรพีพูดจริง?”
จี้ซินแสส่ายหน้าพลันพูด “มือสังหารไม่ได้มากจากตระกูลเถาขอรับ”
ท่านอ๋องตงผิงขมวดคิ้ว “หากไม่ใช่ตระกูลเถา ผู้ใดจะลอบสังหารข้ากัน ข้าไม่เคยทำผิดต่อผู้ใด หากจะบอกว่ามีผู้ใดไม่ชอบข้าจนต้องส่งมือสังหารมาลอบสังหารข้า ข้านึกถึงคนผู้เดียวเท่านั้น”
ผู้ใดกัน
จี้ซินแสครุ่นคิด ก่อนจะกระจ่าง
เขากดเสียงต่ำด้วยความกลัว “ท่านอ๋องหมายถึงฮ่องเต้หรือขอรับ”
ท่านอ๋องตงผิงกดเสียงต่ำเช่นเดียวกัน “นอกจากเขา ข้านึกคนที่สองไม่ออกแล้ว”
สีหน้าของจี้ซินแสซีดเผือด “หากฮ่องเต้ส่งคนมาลอบสังหารท่านอ๋องจริง เรื่องนี้คงไม่ดีนัก!”
“อย่างไร”
“ท่านอ๋องถูกลอบสังหาร เมืองหลวงจึงมีการเฝ้าระวังเข้มงวด หมายความว่าเมืองหลวงเข้าได้แต่ออกไม่ได้ เวลานี้ท่านอ๋องกลายเป็นปูในกระด้งแล้วขอรับ”
ปัง!
ท่านอ๋องตงผิงผงะไป สายตาของเขาเหม่อลอย
ปูในกระด้งหรือ
ปูในกระด้ง!
“ที่แท้ฮ่องเต้มีแผนการเช่นนี้ เขาอยากขังบรรดาท่านอ๋องเอาไว้ จิตใจของเขาช่างอำมหิตยิ่งนัก! ข้าไม่สนแล้ว เจ้ารีบเก็บสัมภาระสำคัญ ติดตามข้าออกจากเมืองหลวง ถึงแม้จะขัดขืนพระราชโองการ แต่คราวนี้ข้าต้องออกจากเมืองหลวงให้ได้”
จี้ซินแสไม่รอช้า
สิ่งของภายในห้องตำราล้วนเป็นสิ่งของสำคัญ จำเป็นต้องนำไปด้วย
อีกทั้งเรื่องนี้ไม่อาจให้ผู้อื่นทำแทนได้ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข่าว
จี้ซินแสเดินทางไปห้องตำราอย่างรีบร้อน ทันใดนั้นเขาก็ถูกควันโขมงระยะไกลดึงดูดความสนใจ
เขานึกบางอย่างขึ้นได้ ทันใดนั้นสีหน้าซีดเผือด พลันรีบหันหลังกลับเข้าห้องนอน
“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ! เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องแล้ว ฮ่องเต้ทรงลงมือแล้วขอรับ!”
เสียงตะโกนด้วยความตกใจของเขาทำให้ท่านอ๋องตงผิงกระโดดขึ้นมาด้วยความตระหนก
ท่านอ๋องตงผิงวิ่งออกจากประตูห้องโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองควันที่ตลบอยู่เต็มฟ้า
“เหตุใดจึงรวดเร็วเพียงนี้ แผนการของฮ่องเต้ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก”
ท่านอ๋องตงผิงพึมพำพลันครุ่นคิดภายในใจ
จี้ซินแสร้อนใจยิ่งนัก “ข้าจะไปเก็บสิ่งของสำคัญในห้องตำราบัดนี้ ท่านอ๋องโปรดเรียกรวมองครักษ์ภายในจวนเพื่อรักษาความปลอดภัย”
ท่านอ๋องตงผิงพยักหน้า คราวนี้เขาสงบอย่างมาก “เวลาเร่งรีบ สิ่งของในห้องตำราเผาทิ้งให้หมด อย่าได้เหลือเอาไว้ ผู้ใดก็ได้เคาะฆ้องกลองเรียกองครักษ์ทั้งหมดมารวมตัว…”
ทันทีที่คำสั่งลงมา ทุกคนในจวนท่านอ๋องตงผิงต่างเคลื่อนไหว
เหล่าองครักษ์สวมเกราะ มือถือดาบและกระบอง ตั้งขบวนอย่างแน่นหนา
เขาสามารถได้ยินเสียงตะโกนจากระยะไกล
เปลวเพลิงพุ่งทะยานขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงร้องโหวหวนดังอย่างต่อเนื่อง
เมืองหลวงโกลาหลแล้ว!
…
หย่งไท่ปีสิบเอ็ด ยามค่ำวันที่สิบแปดเดือนหก เมืองหลวงเกิดความโกลาหลขึ้น
เปลวเพลิงพุ่งทยายขึ้นฟ้า แสงสีแดงสาดส่องไปกว่าครึ่ง
ทางนั้นเป็นจวนท่านอ๋องหยู่หนิง
จวนท่านอ๋องหยู่หนิงถูกคนวงเพลิง
ท่านอ๋องหยู่หนิง หนึ่งในเหล่าท่านอ๋องที่รับพระราชโองการเข้าเมืองหลวง เขาถูกกักขังในเมืองหลวงครึ่งปี ไม่คิดว่าจะมีหายนะหล่นลงมาจากฟ้า…
ไม่รู้เวลานี้จะเป็นหรือตาย
…
จวนท่านหญิงจู้หยาง
เยียนอวิ๋นเกอมือถือดาบ คุ้มกันอยู่ข้างกายเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา
องครักษ์ห้าร้อยนายรวมตัว รอเพียงคำสั่งก็พร้อมจะพุ่งตัวออกไป
เซียวฮูหยินมองเปลวเพลิงที่พุ่งทะยานขึ้นหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในที่สุดฮ่องเต้ก็อดที่จะลงมือไม่ได้แล้ว”
ใบหน้าเล็กของเยียนอวิ๋นเกอตึงเครียด
ฮ่องเต้หย่งไท่เป็นคนเสียสติ เขาเปิดศึกต่อเหล่าท่านอ๋องในเมืองหลวงโดยตรง ไม่สนใจผลลัพธ์แม้แต่น้อย
ไม่กลัวถูกโจมตีกลับหรือ
ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลเซียวล้วนมีสายเลือดแห่งความบ้าคลั่ง
“มันเป็นการพนันครั้งใหญ่!”
เซียวฮูหยินสหน้าเรียบเฉย “หากพนันชนะ สถานการณ์บนแผ่นดินล้วนจะถูกเปลี่ยนแปลง หมากในมือของฮ่องเต้ย่อมเพิ่มมากขึ้น หากพนันแพ้…”
หากฮ่องเต้พนันแพ้ เขาย่อมต้องตายจนไม่อาจตายได้อีก
หากไม่อนากตายย่อมต้องยกตำแหน่งให้ผู้อื่น ส่วนตนเองกลายเป็นพระเจ้าหลวง แต่มันเป็นไปไม่ได้
อ้างอิงจากประสบการณ์ของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ในเวลานั้น ตำหนักบูรพาอันกว้างใหญ่ที่มีหลายร้อนหลายพันคน ตายจนเหลือเพียงเซียวฮูหยินคนเดียว
คนที่เกี่ยวข้องมากถึงหมื่นคน
การเปลี่ยนแปลงทุกครั้งของราชวงศ์ต้าเว่ยล้วนตามมาด้วยทะเลเลือดและกองศพเท่าภูเขา
ไม่เคยมีข้อยกเว้น
ทหารรับคำสั่งวิ่งไปข้างหน้า “รายงาน! ทหารถือดาบนับร้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางจวนท่านหญิงขอรับ!”
เยียนอวิ๋นเกอถลึงตา ฮ่องเต้กำลังจะทรงลงมือต่อท่านแม่หรือ
เซียวฮูหยินตกใจเช่นเดียวกัน นางไม่อยากจะเชื่อ
“แม้แต่ข้า ฮ่องเต้ก็จะทรงกำจัดหรือ เขาเสียสติไปแล้วหรือ”
การมีอยู่ของนางเป็นตัวแทนท่าทีของราชสำนักที่มีต่อเหล่าแม่ทัพ
หากสังหารนาง ฮ่องเต้ไม่กลัวว่าแม่ทัพทั่วแผ่นดินจะฉวยโอกาสก่อกบฏหรือ
เยียนอวิ๋นเกอตัดสินใจทันที ‘ท่านแม่ ข้านำคนออกไปต้านศัตรู หากศัตรูบุกเข้ามาในจวน ท่านออกไปทางประตูหลัง ลูกเตรียมกำลังพลและม้าเอาไว้แล้ว ท่านไปหาพี่สอง ไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงบ้าคลั่งเพียงใด พระองค์ก็คงไม่บุตรชายของตนเองในเวลานี้’
“เจ้าไปกับแม่!”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า
ศัตรูมาถึงหน้าประตูแล้ว นางจะหลบอยู่ข้างกายมารดาได้อย่างไร
ไม่รอเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาห้ามปราม เยียนอวิ๋นเกอก็พุ่งตัวออกไปแล้ว
ผู้ที่มีเจตนาดีไม่มา ผู้ที่มาเจตนาไม่ดี!
เยียนอวิ๋นเกอยืนอยู่บนกำแพงมองทหารที่สวมชุดเกราะเต็มยศจำนวนมาก นางหรี่ตาลง
สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ ผู้นำทัพเป็นหลิงฉางเฟิง!
หลิงฉางเฟิงปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
เขานำทัพได้อย่างไร
หลิงฉางเฟิงขี่ม้าตัวสีแดง สวมชุดเกราะ มือถือดาบด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม เขาโบกมือออกคำสั่ง
“บุกเข้าไป!”
“เตรียมธนู!”
เยียนหนานผู้นำองครักษ์ออกคำสั่ง องครักษ์ตระกูลเยียนดึงคันธนู รอคอยศัตรูเข้าใกล้
‘หยิบธนูของข้ามา!’
เยียนอวิ๋นเกอยื่นมือให้อาเป่ย ธรูหินคันหนึ่งถูกวางบนมือของนาง
นางมีพละกำลังมากแต่กำเนิดจึงเหมาะสมกับการฝึกยิงธนูมากที่สุด
นางดึงคันธนู เพ่งเล็งไปที่หลิงฉางเฟิง
หลิงฉางเฟิงเงยหน้ามองจึงตกใจอย่างมาก
เขาได้ยินว่าเยียนอวิ๋นเกอมีพละกำลังมากแต่กำเนิด
ไม่กล้าประมาทจึงควบม้าหลบหลีก
ฉึบ!
ลูกธนูทะลุผ่านอากาศพุ่งตรงไปยังหลิงฉางเฟิง
การยิงของนางเปิดศึกยามดึกของตรอกผิงอันในวันนี้
“ยิง!” เยียนหนานผู้นำองครักษ์ออกคำสั่ง ลูกธนูพุ่งออกไปดุจหยาดฝน ทะละเข้าไปในขบวนของศัตรู
ปัง!
ลูกธนูถูกผลิตจากเหล็ก ทะลุผ่านเกราะ ปักเข้าที่ไหล่ของหลิงฉางเฟิง
หลิงฉางเฟิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“บุกเข้าไป ฆ่าเยียนอวิ๋นเกอให้ได้”
ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกธนูลูกที่สองก็พุ่งตรงไปยังใบหน้าของหลิงฉางเฟิง
หลิงฉางเฟิงตกใจอย่างมาก การเอาตัวรอดเป็นเรื่องสำคัญ เขาจึงกระโดดลงจากหลังม้ากลิ้งอยู่บนพื้นสองตลบ
ฉึบ!
ฉึบ…ฉึบ!
ลูกธนูสามลูกพุ่งเป้าไปยังหลิงฉางเฟิงทั้งทางบน ทางกลาง และทางล่าง
“นายน้อยระวัง!”
องครักษ์ของตระกูลหลิงจงรักภักดี กระโดดบังหลิงฉางเฟิง รับลูกธนูทั้งสามคันแทนเขา
อึก!
องครักษ์กระอักเลือด ไม่อาจรอดได้
หลิงฉางเฟิงตกใจอย่างมาก
เจ้าเยียนอวิ๋นเกอจัดการยากยิ่งนัก
“ถอนกำลัง ถอนกำลังทั้งหมด!”
หลิงฉางเฟิงตัดสินใจทันที คืนนี้นอกจากบุกจวนท่านหญิงไม่ได้แล้ว ยังต้องสูญเสียกองกำลังสองส่วนอีก
ก่อนมาเขาไม่เคยคิดว่าจวนท่านหญิงขนาดเล็กจะมีธนูและมือยิงธนูมากมายเพียงนี้
ต้องใช้เวลาและกำลังทรัพย์มากเพียงใดในการฝึกฝนมือยิงธนูมากมายเพียงนี้
มือยิงธนูหนึ่งคน นอกจากเงื่อนไขทางร่างกายแล้ว นับแต่ฝึกฝนจนกระทั่งการเผชิญหน้ากับศัตรูต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี
เขาเงยหน้ามองไป บนกำแพงเต็มไปด้วยมือยิงธนูมากมาย ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ไม่นับคนที่มีพรสวรรค์อย่างเยียนอวิ๋นเกอ
คนที่มีพรสวรรค์แบบนั้นไม่อาจใช้มาตรฐานคนทั่วไปมาวัดได้
ศัตรูถอย เราต้องบุก
เยียนหนานผู้นำองครักษ์ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด “เปิดประตูใหญ่ โจมตี!”
ในที่สุดก็ถึงคราวพวกเขาสังหารศัตรูแล้ว
องครักษ์ที่มือถือดาบกลุ่มหนึ่งอดทนรอไม่ไหวแล้ว
เมื่อประตูใหญ่เปิดออก องครักษ์นับร้อยพุ่งตัวออกไป
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนดังก้องฟัง ราวกับทะลุผ่านม่านฟ้า
ปัง!
เสียงระเบิดดังมาจากระยะไกลราวกับเพื่อให้สอดคล้องกับเสียงตะโกน
ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งการสังหาร
หลิงฉางเฟิงทั้งสู้ทั้งถอยภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์
เยียนอวิ๋นเกอโยนคันธนูลง ยกดาบพุ่งตัวออกไป
นางพุ่งตรงไปที่หลิงฉางเฟิง
อีกฝ่ายมีองครักษ์คุ้มกันจำนวนมาก นางจึงสังหารองครักษ์ตระกูลหลิงเสียก่อน
เสียงตะโกน เสียงดาบ เสียงเข้าเนื้อ…
แต่ละเสียงล้วนกระเทือนหู!
องครักษ์ตระกูลเยียนล้วนเป็นทหารเก่าแก่ที่ผ่านการรบมานับร้อยครั้ง พวกเขาหนึ่งคนสู้กับสามคนเมื่อต้องปะทะระยะใกล้กับศัตรู ทำให้ทหารของตระกูลหลิงไร้หนทางที่จะรับมือ
เมื่อเห็นว่าองครักษ์ด้านหน้าหลิงฉางเฟิงลดน้อยลง เยียนอวิ๋นเกอเผยยิ้มเยือกเย็นออกมา
หลิงฉางเฟิง สถานที่แห่งนี้จะเป็นสุสานของเจ้าในวันนี้
แต่ไม่คิดว่าจะมีเสียงพื้นสะเทือนราวกับแผ่นดินสลายดังขึ้น!
ทหารขี่ม้ากลุ่มหนึ่งที่ไม่อาจทราบจำนวนคนแน่ชัด อาจจะนับร้อยหรือหลายพันนายกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ
ทหารของตระกูลหลิงแบ่งแยกออกจากตรงกลาง ทหารขี่ม้ากลุ่มนั้นพุ่งตรงมายังองครักษ์ตระกูลเยียน
องครักษ์ตระกูลเยียนเผชิญศึกหนัก
ทหารเดินเท้าปะทะกับทหารขี่ม้า เพียงแค่การพุ่งตัวก็พ่ายแพ้แล้ว
เยียนอวิ๋นเกอเงยหน้ามองไป อีกฝ่ายหลิงฉางจื้อที่อยู่ในชุดเกราะ เขาเหมาะที่จะเป็นแม่ทัพตั้งแต่กำเนิด
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ไม่มีผู้ใดออกเสียง ได้ยินเพียงเสียงหายใจของม้า
หลิงฉางเฟิงผลักองครักษ์ออก เดินมาฟ้องพี่ชายของตนเองหลิงฉางจื้อ
“พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเกอฆ่าคนของพวกเราจำนวนมาก อีกทั้งยังคิดจะฆ่าข้า!”
ปัง!
หลิงฉางจื้อที่ขี่อยู่บนม้าพันลี้ตัวงามถีบหลิงฉางเฟิงล้มลงทันทีโดยไม่พูดสิ่งใด
เขาทำอันใดกัน
เยียนอวิ๋นเกอหรี่ตาลง พยายามคาดเดาความคิดของหลิงฉางจื้อ
หลิงฉางเฟิงถูกพี่ชายของเขาเตะจนหงายหลัง แต่ก็ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว
เขาไม่กล้าบ่น
ไม่เพียงไม่กล้าบ่น เขายังลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ พลันถอยลงไป ไม่กล้าพูดอีก
หลิงฉางจื้อกวาดตามองพื้นดินสีเลือด แขนขาที่ขาดออกจากร่าง ซากศพระเกะระกะ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของตระกูลหลิง
สีหน้าของเขาสงบดุจน้ำ “ข้าเคยได้ยินว่าตระกูลเยียนมีองครักษ์ของตำหนักบูรพาที่เป็นทหารมากประสบการณ์ วันนี้ได้เห็นก็สมดังคำล่ำลือ ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับทหารม้าของตระกูลหลิง ผู้ใดจะชนะ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มเย้ยหยัน บอกให้เยียนหนานตอบกลับ
ไม่คิดว่าหลิงฉางจื้อจะพูดขึ้นทันที “คุณหนูสี่ใช้ภาษามือได้ ข้าเข้าใจ”
สมกับเป็นผู้มีความสามารถ รู้แม้กระทั่งภาษามือ
เยียนอวิ๋นเกอใช้สองมือทำท่า ‘วันนี้ตระกูลหลิงของพวกเจ้าโจมตีตระกูลเยียนของข้า ข้าขอถาม ตระกูลหลิงคิดจะฉีกหน้ากันหรือ’
หลิงฉางจื้อพูดอย่างจริงจัง “ล้วนเป็นความเข้าใจผิด! ตระกูลหลิงกับตระกูลเยียนยังคงปรองดองกัน”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเย้ยหยัน ‘ไม่เคยได้ยินว่าตระกูลที่ปรองดองกันจะต้องทำให้อีกฝ่ายตายด้วย เรื่องในวันนี้นายน้อยใหญ่จะอธิบายอย่างไร’