ตอนที่ 81 คนที่มีศักดิ์ศรี
เมื่อเห็นคนผู้อพยพมีปฏิกิริยารุนแรง เยียนสุยก็ตื่นเต้นอย่างมาก
ภายในใจเขาครุ่นคิด คุณหนูสี่ช่างเป็นอัจฉริยะ เสนอแนวคิดการปล่อยแปลงนาให้เช่าในราคาถูกออกมาได้
ดู แปลงนาให้เช่าในราคาถูกทำให้เหล่าผู้อพยพต่างขยันขันแข็งกันขึ้นมา
ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยอดเยี่ยม
เขาถือโทรโข่งเหล็ก กระแอมไอ “นี่ๆๆ ทุกคนหยุดพูดก่อน ฟังข้าพูดให้จบ เกี่ยวกับแปลงนาให้เช่าในราคาถูกนี้ ต่อจากนี้อีกสองสามวัน ทุกคนแบ่งกลุ่มไปจดบันทึกในห้องหลวง สร้างบันทึกให้พวกเจ้า”
“เมื่อใดที่บุกเบิกครบห้าสิบไร่แล้ว ย่อมสามารถรับแปลงนาให้เช่าในราคาถูกได้ บุกเบิกยิ่งมาก แปลงนาให้เช่าในราคาถูกที่ได้รับยิ่งมาก ทุกคนสร้างบันทึกไว้ต่อหนึ่งครอบครัว ครอบครัวใดบรรลุเงื่อนไข บุกเบิกครบห้าสิบไร่ ย่อมสามารถเลือกแปลงนาให้เช่าในราคาถูกได้ก่อน”
“ใช่ พวกเจ้าฟังไม่ผิด เพียงแค่ภายในปีนี้บรรลุเงื่อนไขบุกเบิกครบห้าสิบไร่ ย่อมสามารถเลือกสรรแปลงนาให้เช่าในราคาถูกของตนเองในพื้นที่ที่เถ้าแก่เลือก เมื่อถึงปีหน้า ย่อมมีกฎใหม่”
“เหตุใดหรือ เพราะว่าปีหน้าจะมีคนจำนวนมากขึ้น เมื่อถึงเวลากฎระเบียบย่อมต้องปรับเปลี่ยน ส่วนพวกเจ้าในฐานะคนบุกเบิกชุดแรก ย่อมมีข้อได้เปรียบอย่างที่ผู้อื่นเทียบไม่ได้ มันเป็นสวัสดิการที่เถ้าแก่ให้แก่ทุกคน เถ้าแก่ดีกับพวกเจ้าหรือไม่”
“ดี!” ผู้อพยพนับหมื่นตะโกนอย่างพร้อมเพรียง เหตุการณ์นั้นน่าตกตะลึงอย่างมาก
เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อคนมากกว่าหนึ่งหมื่น ย่อมไร้ขอบเขต!
คำว่า “ดี” ดังก้องจนเยียนสุยตัวสั่นเทา
พ่อบ้านและคนงานที่เพิ่งเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกยิ่งแย่ พวกเขาต่างมีสีหน้าซีดเผือด
เยียนสุยฉวยโอกาส ตะโกนเสียงดัง “อยากได้แปลงนาเช่าในราคาถูกหรือไม่”
“อยาก!”
คนนับหมื่นตะโกนอย่างพร้อมเพรียง พื้นดินล้วนสั่นสะเทือน
เยียนสุยถูกอารมณ์ของทุกคนพาไป เขาโบกสองมือด้วยความตื่นเต้น “พวกเจ้าต้องขยันในการบุกเบิก จำเอาไว้ แปลงนาเช่าในราคาถูกของเจ้าอาจอยู่บนพื้นที่ที่เจ้าบุกเบิกในเวลานี้ ดังนั้นทุกคนทำงานให้ละเอียด ขยันหน่อย อย่าคิดว่าไม่ใช่แปลงนาของตนเองก็จะเหลวไหลได้ อีกอย่าง แปลงนาให้เช่าห้าไร่ก็ไม่พอเลี้ยงคนทั้งครอบครัว พวกเจ้าย่อมต้องเช่าแปลงนานอกจากนี้ เถ้าแก่คำนึงถึงความลำบากของทุกคน พื้นดินนอกจากแปลงนาราคาถูกแล้ว จะเลือกเก็บค่าเช่าแค่ห้าส่วน สองปีแรก เถ้าแก่ให้อุปกรณ์การเกษตรและวัวกับพวกเจ้าโดยไม่เสียเงิน เมื่อถึงปีหน้าเวลานี้ ย่อมไม่มีเงื่อนไขที่ดีเหมือนเวลานี้”
“เมล็ดพันธุ์เล่า เมื่อพวกเราเช่าแปลงนา เถ้าแก่จะให้เมล็ดพันธุ์ด้วยหรือไม่”
เมล็ดพันธุ์ราคาสูง สำหรับสามัญชนทั่วไปแล้ว เมล็ดพันธุ์เป็นรายจ่ายที่ไม่น้อย
พวกเขาสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ได้เอง
เพียงแต่เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเอาไว้ย่อมคุณภาพไม่ดีเท่าเมล็ดพันธุ์จากส่วนราชการ
อีกทั้ง ปีแรก แม้แต่เสบียงยังไม่มีผลประกอบการ ย่อมไม่ต้องพูดถึงการเก็บเมล็ดพันธุ์
เยียนสุยพูดอย่างมั่นใจ “ย่อมต้องให้เมล็ดพันธุ์ ขายราคาต้นทุนให้พวกเจ้า ไม่มีดอกเบี้ย จ่ายคืนภายในสองปี สำหรับทุกคนแล้วไม่ใช่ภาระที่หนักเกินไป”
“คนไม่มีครอบครัวอย่างพวกเราทำอย่างไร หนึ่งคนบุกเบิกห้าสิบไร่ หนึ่งปีก็ไม่อาจบรรลุได้! ลดเงื่อนไขลงหน่อยได้หรือไม่ ไม่เอาห้าสิบไร่ บุกเบิกเพียงยี่สิบไร่ก็ให้เช่าแปลงนาราคาถูก ได้หรือไม่”
“ไม่ได้!” เยียนสุยส่ายหน้าระรัว “กฎที่เถ้าแก่ตั้งไว้ ห้าสิบไร่เป็นขั้นต่ำ ไม่อาจแก้ได้ เจ้าเป็นคนไร้ครอบครัว กลัวว่าบุกเบิกไม่เพียงพอ เจ้าก็รีบแต่งงานเสีย! ประหยัดหน่อย สะสมสินสอด ช่วยพ่อตาทำงานมากขึ้น แต่งสะใภ้กลับบ้านสร้างครอบครัว ทำงานสองคนย่อมเร็วกว่าคนเดียว ปีนี้ได้เช่าแปลงนาราคาถูก ปีหน้าย่อมให้กำเนิดบุตรตัวอ้วน”
“ฮ่าๆๆ …”
เหล่าผู้อพยพหัวเราะ
ชายโสดในพื้นที่มีจำนวนมาก พวกเขาต่างหัวเราะตาม สายตากวาดมองไปยังสตรีที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือกลุ่มอื่น เริ่มมองหาสะใภ้
เหล่าสตรีก็ไม่เขินอาย
ปล่อยให้ชายหนุ่มจ้องมองอย่างเปิดเผย
พวกนางย่อมต้องหาชายหนุ่มที่ทำงานใช้แรง มีพละกำลังมากเพื่อออกเรือน
เหล่าชายหนุ่มก็มีความคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาย่อมต้องหาหญิงสาวที่เอวกลมสะโพกผาย ทำงานคล่องแคล่วเพื่อแต่งกลับบ้าน
สองสามีภรรยาปรองดองกัน ขยันทำงาน สองสามปีย่อมมีชีวิตที่ดี
เมื่อบรรยากาศคึกคัก เยียนสุยประกาศเรื่องที่สามต่อเนื่อง
“เรื่องที่สาม ภายในชุมชนกำลังจะเปิดร้านขายของสองร้าน มีตั้งแต่อุปกรณ์เครื่องเรือน เครื่องมือการเกษตร วัว หรือแม้แต่เข็ม ด้ายและผ้า ล้วนมีขาย ทุกคนสามารถใช้เสบียงในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือใช้สิ่งของแลกสิ่งของ หากมีเงินย่อมดียิ่งกว่า ส่วนเรื่องราคา พวกเจ้าวางใจ รับรองว่าไม่หลอกลวง ไม่แพงกว่าที่ขายในเมือง”
มีผู้อพยพหยอกล้อ ตะโกนถาม “มีขายสะใภ้หรือไม่”
ฮ่าๆๆ …
ทุกคนต่างหัวเราะ
เยียนสุยตะโกนด่า “ไปให้พ้น! บอกกล่าวพวกเจ้าก่อน ร้ายขายของไม่มีสะใภ้ขาย อยากแต่งสะใภ้ ต้องหาทางเอาเอง หากผู้ใดมีฝีมือ ทำสิ่งของใดออกมา ย่อมสามารถนำมาฝากขายในร้าน หรือขายให้ร้านโดยตรง”
“อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่คำนึงถึงสิ่งที่พวกเจ้าต้องการในชีวิตประจำวันทุกด้านแล้ว ข้าถามพวกเจ้า หลายสิบปีนี้ พวกเจ้าเคยพบเถ้าแก่ที่โอบอ้อมอารีเช่นนี้หรือ พวกเจ้ายังมีเหตุผลใดไม่ขยันบุกเบิก”
“พ่อบ้านเยียนวางใจ พวกข้าต่างเป็นคนรู้บุญคุณ เถ้าแก่ดีต่อพวกข้า พวกข้าย่อมไม่ทำเรื่องเลวทรามแม้แต่หมูหมายังไม่อาจเทียบได้ หากมีคนแอบทำร้าย ไม่ต้องให้พ่อบ้านเยียนเปลืองแรง พวกเราจะลากตัวเขาออกมา ให้พ่อบ้านใหญ่ตัดสินลงโทษ”
เยียนสุยตื่นเต้นมาก “มีคำพูดนี้ของพวกเจ้า เจตนาดีของเถ้าแก่ย่อมไม่เสียผล เอาเถิด วันนี้ทุกคนพักผ่อนครึ่งวัน ควรบันทึกก็บันทึก ควรแต่งสะใภ้ก็ไปหาสะใภ้”
กลุ่มคนแยกย้ายออกไป ทุกคนต่างมีสีหน้าดีใจ
เพียงแต่มีคนที่ชอบอู้งานทำหน้ากลุ้มใจ
จำกัดขั้นต่ำต้องบุกเบิกห้าสิบไร่ถึงจะได้เช่าแปลงนาในราคาถูก
เงื่อนไขนี้สูงไปเสียจริง
สำหรับคนที่ยอมลงแรงแล้ว ห้าสิบไร่ไม่ยาก
แต่สำหรับคนที่ขี้เกียจแล้ว ห้าสิบไร่สามารถเอาชีวิตของพวกเขาได้!
อีกทั้งจำนวนการบุกเบิกในแต่ละวันยังมีความเกี่ยวข้องกับเสบียง
นับแต่นี้ต่อไป หากคิดจะจับปลาในน้ำขุ่น กินข้าวหม้อใหญ่ คงไม่ต้องคิด
จากไปหรือ
ไปเมืองหลวงหาทางรอดหรือ
ภายในคนนับหมื่น ย่อมมีคนไม่อยากทำงาน คิดแต่จะใช้กลอุบาย
คนเหล่านี้ต่างจากไปในอีกไม่กี่วันต่อมา
จากจำนวนการบุกเบิกของพวกเขาในแต่ละวัน เสบียงที่ได้มาไม่พอกินด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องประหยัดเสบียงเอาไว้ใช้ในฤดูหนาว
ในเมื่อการบุกเบิกไร้ความหวัง พวกเขาย่อมต้องจากไปหาหนทางใหม่
สำหรับคนที่จากไป เพียงแค่ส่งมอบอุปกรณ์การเกษตรคืนตามจำนวน เรือนพักร่ำรวยไม่ได้กีดขวางพวกเขา อีกทั้งยังให้หมั่นโถวสองลูก ให้พวกเขากินระหว่างทาง
อย่างไรก็ตาม คนที่จากไปเป็นส่วนน้อย
มีคนที่ขี้เกียจเป็นนิสัย นอกจากการทำนาแล้ว ไม่มีความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างอื่น สุดท้ายก็เลือกที่จะอยู่ต่อ
พยายามหาสะใภ้ที่ทำงานเก่ง ตนเองย่อมทำน้อยลง
หรืออาศัยคนในครอบครัวเลี้ยงดู
สุดท้ายแล้ว พวกเขายังคงมีความคิดที่จะฉกฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ
สำหรับคนเหล่านี้ เรือนพักร่ำรวยไม่ยุ่งเกี่ยว
ยกเลิกหม้อข้าวรวม ทำงานมากได้เสบียงมาก
ทำงานน้อยได้เสบียงน้อย
ไม่ว่าทำมากหรือทำน้อย อย่างไรเรือนพักร่ำรวยก็ไม่ขาดทุน
ร้านค้าทั้งสองเปิดขึ้นมาจริงๆ
ตั้งอยู่ด้านข้างโรงอาหาร
โรงอาหารยังอยู่ พ่อบ้านและคนงานในเรือนพักไม่ต่ำกว่าร้อยคน ในอนาคตจะยิ่งมากขึ้น
คนเหล่านี้ล้วนกินข้าวโรงอาหารเดียวกัน
ร้านค้าแรกชื่อร้านของชำหนานเป่ย ขายเครื่องปรุง ถ้วยถังกะละมัง และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะ
ส่วนร้านค้าอีกร้านชื่อร้านผ้าสี่ฤดู ขายเข็ม เส้นดาย ผ้าผืนหลากสี ผ้าผสม รวมทั้งชุดสำเร็จรูปโดยเฉพาะ
ชุดสำเร็จรูปแบ่งออกเป็นทั้งหมดห้าขนาด ใหญ่ กลาง เล็ก เล็กมาก ใหญ่มาก
เพิ่งเปิดกิจการ ร้านของชำหนานเป่ยขายได้ไม่เลว
เวลาเพียงไม่กี่วัน คนที่ยอมลงแรงทำงานได้กักตุนเสบียงไว้จำนวนหนึ่งแล้ว
พวกเขาใช้เสบียงแลกเกลือและของใช้
ทุกวันตอนเที่ยง โดยเฉพาะตอนเย็นหลังเลิกงาน ร้านของชำหนานเป่ยอัดแน่นไปด้วยผู้คน
คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ซื้อ เพียงแค่มาดูให้หายอยากเท่านั้น
หรือภายในใจกำลังคำนวณ ต้องทำงานกี่วัน กักตุนเสบียงมากน้อยเพียงใดจึงจะสามารถซื้อสิ่งที่ถูกใจได้
สิ่งสำคัญคือคนงานในร้านของชำหนานเป่ยเจรจาง่าย ดูแต่ไม่ซื้อ พวกเขาก็ไม่ไล่
แตกต่างจากประสบการณ์การซื้อของก่อนหน้านี้ของพวกเขาอย่างมาก
ดังนั้น เมื่อกินข้าวเย็นแล้ว ผู้อพยพจำนวนมากจึงมาเดินร้านของชำ ถือเป็นกิจกรรมรื่นเริงที่หายากในหนึ่งวัน
ส่วนร้านผ้าสี่ฤดูนั้นเงียบเหงาอย่างมาก
เปิดกิจการมาหลายวัน ขายได้เพียงสิบกว่าคน
อีกทั้งยังเป็นพ่อบ้านและคนงานในเรือนพักมาซื้อ พวกเขาถึงได้มีผลประกอบการ
ผู้อพยพยากจน!
สะสมเสบียงได้เล็กน้อย ล้วนนำไปซื้อของที่สำคัญที่สุด
ไม่มีกำลังเหลือซื้อผ้าหรือชุด
เข็มและด้ายยิ่งไม่ได้ใช้ในเวลานี้
คนงานในร้านผ้าสี่ฤดูถูกส่งมาจากเมืองหลวง การค้าเงียบเหงาจนทำให้พวกเขานอนหมอบอยู่บนตู้วางของนับใบไม้ด้านนอกเล่น
โชคดีที่เถ้าแก่ใจดี คำนึงถึงสถานการณ์นี้ล่วงหน้า ปีแรกรับเงินเดือน เพื่อให้คนงานมีรายรับที่เพียงพอ
รอหนึ่งปีต่อมา ชุมชนสุ่ยจื๋อกลายเป็นต้นแบบของการบุกเบิก ผู้อพยพที่ปักหลักในมือมีเงิน เมื่อถึงเวลาการค้าดีขึ้น รายรับย่อมกลายเป็นเงินเดือนบวกเงินรางวัลจากการทำงาน
คนงานยื่นหน้าออกไป มองร้านของชำด้านข้างพลันถอนหายใจ “ไม่รู้การค้าจะดีขึ้นเมื่อใด”
ไม่มีลูกค้า ไม่มีการค้า ชีวิตยากลำบาก!
เพิ่งทอดถอนใจเสร็จก็มีลูกค้าเดินเข้ามา
เมื่อจ้องมองไป พบว่าเป็นหานฉีจง
คนงานตื่นเต้นขึ้นมา รีบเดินออกมาทักทายอย่างกระตือรือร้น
หานฉีจงรับเงินเดือน สะสมวันหยุดหกวัน เตรียมตัวกลับบ้าน
ชุดบนตัวยังคงเป็นชุดเดียวกับตอนมาสมัคร ถึงแม้จะสะอาด แต่แทบจะถูกซักจนขาดแล้ว
มีรอยปะทั้งซ้ายทั้งขวา ไม่สง่างามนัก
เขาจะกลับบ้าน เขาอยากแต่งกายให้สมศักดิ์ศรี ให้คนในชุมชนรู้ว่า เขาหานฉีจงเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว
ไม่ต้องพึ่งครอบครัวเลี้ยงดู อีกทั้งเขายังเอาเงินให้ครอบครัวได้
เมื่อใกล้ออกเดินทาง หานฉีจงตัดสินใจซื้อชุดใหม่
เห็นชุดเหมือนดั่งเห็นคน สวมชุดอย่างสง่างาม ผู้อื่นย่อมต้องเกรงใจเขาบ้าง
เวลานี้เขาถือเป็นคนมีฐานะในเรือนพักร่ำรวย
ดูแลบัญชี เปิดห้องเรียนถ่ายทอดวิชา มีลูกศิษย์ยี่สิบกว่าคน สอนหนังสือ สอนการคำนวณ
คนอื่นต่างเรียกเขาว่าหานซินแสด้วยความเคารพ
หานฉีจงดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ถูกคนอื่นเคารพอย่างมาก อีกทั้งรักใคร่งานนี้อย่างมาก
เขาสอนอย่างตั้งใจ ลูกศิษย์ของเขาก็มีความมุมานะ ดังนั้นเขาจึงได้รับเงินเดือนห้าก้วนตามกำหนด
วันปกติ เขากินพักอยู่ในเรือนพัก
ก่อนที่ร้านค้าจะเปิด ไม่มีที่ให้ใช้เงินแม้แต่น้อย
เงินเดือนล้วนเก็บเอาไว้
สองเดือน สิบก้วน
ช่างเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อย
ทำให้เขามั่นใจที่จะเดินเข้ามาในร้านผ้าสี่ฤดู