ตอนที่ 89 ใจดำ
หลังจากผ่านการดำเนินการ ผักสดฤดูหนาวของเรือนพักร่ำรวยมีชื่อเสียงโด่งดัง
แม้แต่สามัญชนที่ไร้ความรู้ ไม่มีปัญญากินผักสดฤดูหนาวนั้นยังรู้ว่าแคว้นซีมีเรือนพักร่ำรวยแห่งหนึ่ง เรือนพักมีแต่ผู้มีความสามารถ สามารถปลูกผักในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกได้
ปืนยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน การหาเงินทำให้คนคิดแค้น
ภายในราชสำนักมีขุนนางฝ่ายราชการทูลรายงานเสียงดัง “…การปลูกผักในฤดูหนาวเป็นฝีมือที่มีผลประโยชน์ต่อบ้านเมืองและประชาชน หากสามารถผลักดันไปทั่วแผ่นดิน ย่อมสามารถแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของราษฎร ขอโปรดฝ่าบาทออกพระราชโองการ รับสั่งให้เรือนพักร่ำรวยเปิดเผยฝีมือ เพื่อประโยชน์ต่อราษฎร”
“ฝีมือเช่นนี้ไม่สมควรที่จะครอบครองอยู่ในมือของเรือนพักเล็กเพียงแห่งเดียว สมควรให้ราชสำนักครอบครอง ผลักดันไปทั่วแผ่นดิน”
“เรือนพักร่ำรวยร้ายกาจเพียงใดจึงจะสามารถปลูกผักในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกได้ กระหม่อมขอเสนอ ส่งองครักษ์จินอู่ไปจับคนในเรือนพัก บีบบังคับสืบหาความจริงออกมา”
“เพียงแค่สืบหาความจริงยังไม่พอ ต้องให้พวกเขาส่งมอบวิธีการทั้งหมดออกมา เรื่องเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของราษฎร กระหม่อมยอมเป็นคนชั่วหนหนึ่ง”
เหล่าขุนนางฝ่ายราชการต่างถกเถียงกันอย่างเดือดดาล
แม่ทัพด้านข้างที่เห็นเหตุการณ์ต่างอุทานอย่างตกตะลึง
หากพูดถึงความใจดำ ผู้ใดจะเทียบกับขุนนางฝ่ายราชการที่ร่ำเรียนหนังสือได้
มีแต่ความคิดชั่วร้ายเต็มไปหมด
เรือนพักร่ำรวยไม่ได้ทำผิดกฎข้อใด อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาคนพเนจร เพียงเพราะปลูกผักในฤดูหนาวได้ ก็จะถอนรากถอนโคน กำจัดเรือนพักของอีกฝ่ายให้สิ้นซาก
เลว!
เลวมาก!
การดำรงชีวิตของราษฎรอันใดกัน ล้วนเป็นเรื่องโกหก
แต่ละคนล้วนมีความคิดเลวทราม ไม่ได้อิจฉาที่เรือนพักร่ำรวยหาเงินได้ ก็อยากได้ฝีมือการปลูกผักในฤดูหนาว
เพื่อประโยชน์ส่วนตน พวกเขาไม่เสียดายที่จะใช้อำนาจกดขี่คน
เห็นได้ชัดว่าขุนนางฝ่ายราชการกลุ่มนี้ก็รู้ว่าจวนท่านหญิงจู้หยางรับมือยาก
เจ้าเด็กใบ้อย่างเยียนอวิ๋นเกอมีอารมณ์ร้อน
แม้จะแย่งชิงฝีมือในนามของตระกูลก็ได้
แต่หากเยียนอวิ๋นเกอไม่สนใจกฎเกณฑ์ ถืออาวุธบุกไปที่ตระกูล ย่อมเป็นการขายหน้า ทำให้ผู้อื่นเห็นความอับอาย
ครุ่นคิดไปมา ยังคงต้องขอพระราชโองการให้องครักษ์จินอู่ไปเก็บเกี่ยวฝีมือจะดีกว่า
ถึงแม้เยียนอวิ๋นเกอจะกำเริบเสิบสาน ก็ไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับอำนาจราชวงศ์
แต่ว่าฮ่องเต้หย่งไท่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นิ่งดุจภูผา พระองค์ไม่ทรงหวั่นไหวเลยหรือ
ไม่อาจไม่หวั่นไหวได้!
หากสามารถผูกขาดฝีมือนี้ ฤดูหนาวในแต่ละปี เงินย่อมไหลเข้าดุจสายน้ำ
ฮ่องเต้หย่งไท่เป็นคนที่ใจแคบและโลภมาก เห็นหญิงสาวตัวน้อยอย่างเยียนอวิ๋นเกอหาเงิน เขาจะไม่หวั่นไหวหรือ
พระบรมวงศานุวงศ์และแม่ทัพต่างสบถพร้อมกัน “ถุย!”
ขุนนางฝ่ายราชการที่ไร้ยางอายกลุ่มนี้ สิ่งใดคือความอับอาย ล้วนกลืนลงท้องไปหมดแล้วกระมัง
ล้วนบอกว่าแม่ทัพหยาบคาย ไม่รู้มารยาท
แต่แม่ทัพไม่เคยชั่วร้าย มีกลอุบายเหมือนขุนนางฝ่ายราชการ
แม่ทัพชื่นชอบสิ่งใด แย่งชิงมาก็พอ ไม่มีการอ้อมค้อม
ขุนนางฝ่ายราชการแตกต่างกัน ไม่เพียงจะแย่งชิง ยังจะทำให้อีกฝ่ายตาย
พวกเขาเข่นฆ่าอีกฝ่ายจนหมดหนทาง ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ไม่ให้โอกาสศัตรูพลิกผันแม้แต่น้อย
หากเทียบความโหดเหี้ยมคงเทียบไม่ได้!
หากเทียบความร้ายกาจยิ่งเทียบไม่ได้
ไม่เพียงจะฆ่าคนทั้งตระกูล แต่พวกเขายังจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกฎหมายบ้านเมืองเพื่อคาดโทษผู้อื่น
ผู้ใดจะพลิกคดี
ผู้ใดกล้าบอกว่า “ไม่”
ผู้ใดกล้าออกมาทวงความยุติธรรม
แม่ทัพฆ่าคนอาจถูกคนหยิบออกมาพูดหลังจากเกิดเรื่อง ทำให้สถานการณ์ควบคุมได้ยาก
แต่ขุนนางฝ่ายราชการฆ่าคน ไม่เห็นเลือดแม้แต่หยดเดียว แต่กลับสามารถฆ่าคนจนสิ้นซาก ไม่ทิ้งร่องรอย
จิ๊ๆ …
สมกับเป็นขุนนางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง กลอุบายที่ใช้ก็สืบทอดความใจดำอำมหิตมาโดยตรง
สมัยนี้เพียงแค่เป็นคนของตระกูลชนชั้นสูงก็ไม่มีผู้ใดไร้เดียงสา
ผู้ไร้เดียงสาไม่อาจเป็นตระกูลชนชั้นสูงได้
มีเพียงคนใจดำจึงจะสืบทอดได้หลายร้อยปีนับพันปี กลายเป็นตระกูลชนชั้นสูง
ราชวงศ์ล่มสลาย ตระกูลชนชั้นสูงก็ยังไม่ล่มสลาย
คนที่ออกมาจากตระกูลเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
เหล่าขุนนางฝ่ายราชการอภิปรายอย่างดุเดือด อ้างอิงประวัติศาสตร์ บรรยายอย่างอาจหาญ
เหลือเพียงแค่พูดว่าฝีมือการปลูกผักในฤดูหนาวเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของแผ่นดิน เกี่ยวข้องกับอาวุธสังหารแผ่นดิน
ราวกับไม่มีฝีมือนี้ แผ่นดินต้าเว่ยจะล่มสลาย
โธ่เอ๋ย เพื่อแย่งชิงฝีมือนี้ ไม่เอาแม้แต่ศักดิ์ศรี ทำลายบรรทัดฐานต่ำสุดของมนุษย์
ทำให้แม่ทัพและพระบรมวงศานุวงศ์ที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความตกตะลึง
ไร้ยางอาย!
ไร้ยางอายเหลือเกิน!
มิน่าการปะทะแย่งชิงในแต่ละครั้ง มักจะเป็นขุนนางฝ่ายราชการที่ได้เปรียบ
เพียงแค่ความไร้ยางอายนี้ พวกเขาก็สามารถกลืนกินได้ทั่วแผ่นดิน
ฮือๆๆ …
เทียบไม่ได้!
เหล่าแม่ทัพอยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก
โทษเพียงตนเองที่ไม่มีความสามารถเท่าผู้อื่น
เหล่าขุนนางฝ่ายราชการพูดออกมามากมาย แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่ตอบโต้แม้แต่น้อย
บางครั้งฮ่องเต้หย่งไท่หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับหลับใหล แต่อันที่จริงเขากำลังเหยียดหยาม
แต่ละคนคิดว่าเขาเป็นคนโง่ ให้เขาเป็นคนร้ายไปแย่งชิงการค้าของหญิงสาวตัวน้อย น่าอับอายหรือไม่
คิดว่าข้าโง่จนแยกดีชั่วไม่ออกหรือ
พวกเจ้าพูดเถิด
หากทำให้ข้าหวั่นไหวได้ ถือว่าพวกเจ้ามีความสามารถ
อย่างไรก็ตาม การประชุมในท้องพระโรงระยะนี้น่าเบื่อหน่ายอย่างมาก
วันนี้ถือว่าฟังพวกเจ้าเล่านิทาน
ฮ่องเต้หย่งไท่กึ่งหรี่ตา ฟังอย่างมีอรรถรส รู้สึกว่าสนุกเสียยิ่งกว่านิทานที่เป็นเล่มเสียอีก
สมกับเป็นบัณฑิตที่ร่ำเรียนบทกลอนมา พูดได้ทั้งน่าฟังทั้งสนุก
ซุนปังเหนียนรู้สึกสาแก่ใจมากที่เห็นขุนนางฝ่ายราชการพ่ายแพ้
เขาเปลี่ยนชาโสมให้ฮ่องเต้ ยืนฟังอยู่ข้างฮ่องเต้อย่างสนุกสนาน
พวกขุนนางฝ่ายราชการที่หยิ่งยโสอย่างพวกเจ้าก็มีวันนี้ สวรรค์มีตาเสียจริง
ขุนนางฝ่ายราชการดูถุกขุนนางฝ่ายใน ขุนนางฝ่ายในเองทั้งแค้นทั้งกลัวขุนนางฝ่ายราชการ
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดไม่ใช่แค่วันสองวัน
เมื่อสมัยฮ่องเต้จงจ้ง ดาบปะทะดาบ ต่อสู้กันนักต่อนัก
ขุนนางฝ่ายในได้รับความเสียหายแสนสาหัส เวลานี้ยังไม่ฟื้นกลับมา
การประชุมในท้องพระโรงเริ่มตั้งแต่เช้าถึงกลางวัน เวลานี้ฮ่องเต้หิวแล้ว!
ดังนั้น ฮ่องเต้พูดขึ้น “เรื่องนี้หารือภายหลัง!”
เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป
ซุนปังเหนียนตะโกน “จบการประชุม!”
เสียงดังฟังชัด เขามีความสุขอย่างมาก
ขุนนางฝ่ายราชการจำนวนมาก “…”
เหตุใดฮ่องเต้ถึงดื้อรั้นนัก
หรือว่าพวกเขาพูดผิดประเด็น?
ไม่ควรหาเรื่องหญิงสาวตัวน้อย ควรหาเรื่องท่านหญิงจู้หยางและเยียนโส่วจ้านมากกว่า
อืม?
บางทีอาจเป็นไปได้!
เหล่าขุนนางฝ่ายราชการเริ่มเตรียมแผนที่สอง เพื่อเสนอในการประชุมท้องพระโรงในครั้งหน้า
สถานการณ์ราวกับวิกฤตอย่างมาก
…
จวนท่านหญิงจู้หยาง
เยียนอวิ๋นเกอเพิ่งเดินออกมาจากห้องเย็บปัก
ร้านผ้าสี่ฤดูประกาศต่อภายนอก ชุดทุกชุดได้รับการตัดเย็บจากอาจารย์ใหญ่ในเมืองหลวง คำพูดนี้ไม่ผิด
อาจารย์ใหญ่คือหญิงปักผ้าในจวนท่านหญิง
ความสามารถดีเยี่ยม
เยียนอวิ๋นเกอไม่มีทางให้คนเบื้องล่างอดยาก เมื่อเหล่าหญิงปักผ้ามีงานตัดเย็บเพิ่ม นางจึงให้เงินและเสบียงมากขึ้น
อย่างไรแล้ว ไม่อาจให้ผู้อื่นทำงานโดยเสียแรงเปล่า
ปิ่นไม้เป็นฝีมือขององครักษ์แก่ชราที่เกษียณลงมาในตำหนักบูรพา
องครักษ์แก่ชราทั้งหลายล้วนมีประสบการณ์สงครามนับร้อยครั้ง มีบาดแผลทั่วตัว
เมื่อชราลง ทำงานไม่ไหวแล้ว ถึงเกษียณลงมา
คนเหล่านี้มีฝีมือไม่มากก็น้อย
องครักษ์แก่ชราบางคนมีฝีมือด้านงานไม้
เยียนอวิ๋นเกอจึงออกวัตถุดิบไม้ ขอให้พวกเขาผลิตเครื่องเรือน แกะสลักปิ่นไม้
เวลานั้น ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างราบรื่น
เยียนอวิ๋นเกอพูดกับอาเป่ย “สามัญชนยากจน ตลาดมีจำกัด นอกจากอาหารและเสื้อผ้า สิ่งของอื่นล้วนขายได้ยาก”
คนยากจน เงินที่หามาได้ย่อมต้องแบ่งให้อาหารและเสื้อผ้าก่อน
ด้านการพักอาศัย พอถูไถก็พอ
ทุกคนต่างมีเงื่อนไขไม่สูง
ชามกระเบื้องกินข้าวได้ ชามดินก็กินข้าวได้
ชามดินที่รั่วก็กินข้าวได้เช่นกัน
อย่างไรก็เป็นการกิน เครื่องเรือนจะดีหรือไม่ ไม่สำคัญ การกินเป็นเรื่องสำคัญสุด
อาเป่ยพูด “คุณหนูอย่าคิดมาก ระยะนี้เพียงแค่ขายผักก็มีคนอิจฉาตาร้อนแล้ว เมื่อผักชนิดอื่นออกมา ไม่รู้จะมีคนอิจฉาอีกมากน้อยเพียงใด คุณหนูควรคิดก่อนว่าจะรับมือกับคนที่ขี้อิจฉาเหล่านั้นอย่างไร!”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “เรื่องนี้ข้ามีแผนการแล้ว”
สำหรับคนที่อิจฉา คนลอกเลียนแบบ คนชั่วร้าย เยียนอวิ๋นเกอมีวิธีจัดการกับพวกเขาแล้ว
ผักในฤดูหนาว สำหรับเยียนอวิ๋นเกอเป็นแค่เงินเร็ว
มีผู้ที่ลอกเลียนแบบตามมามากมาย ราวกับปลาที่ว่ายน้ำข้ามคลอง
เมื่อเทียบกับน้ำแกงเครื่องในชามละสองเหวิน คนลอกเลียนแบบการปลูกผักฤดูหนาวมีมากกว่าสิบเท่าด้วยซ้ำ
อีกทั้งแต่ละคนล้วนร่ำรวยและมีอำนาจ มีเบื้องหลังที่ทรงพลังมาก
เยียนอวิ๋นเกอไม่กังวลแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้แข่งขันที่ซ่อนอยู่มากมาย
นางตั้งปณิธานที่จะเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม
นางไม่เพียงจะหาเงินจากผักฤดูหนาวนี้ นางยังจะหาเงินจากคนที่อิจฉาตาร้อนเหล่านี้
แกะหนึ่งตัวมาก็ถอนขน แกะสองตัวมาก็ถอนขน…
ตระกูลชนชั้นสูงมากมาย หากไม่ถอนขนพวกเขาเสียหน่อย สวรรค์ยอมรับ แต่เยียนอวิ๋นเกอไม่ยอมรับ
สำหรับผู้อื่นแล้วการมีอยู่ของตระกูลชนชั้นสูงคืออำนาจ คือแหล่งทรัพยากร คือจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
แต่ในสายตาของเยียนอวิ๋นเกอ ตระกูลชนชั้นสูงเป็นเพียงแกะอ้วนตัวหนึ่ง!
ล้วนเป็นเงินเป็นทอง!
…
เยียนอวิ๋นฉวนร้อนใจอย่างมาก เขาเดินทางมาจวนท่านหญิงด้วยความรีบร้อน
เขาสนิทกับหลิงฉางจื้อ
เมื่อการประชุมในท้องพระโรงจบสิ้น หลิงฉางจื้อก็ให้คนมาส่งข่าวให้เขา
ราชสำนักจะเชือดเรือนพักร่ำรวย
ถึงแม้วันนี้ไม่สำเร็จ แต่ขุนนางฝ่ายราชการกลุ่มนั้นไม่มีทางยอมแพ้
คราหน้า อาจเบี่ยงเบนประเด็นไปทางเซียวฮูหยินและท่านโหวกว่างหนิงเยียนโส่วจ้าน
เยียนอวิ๋นฉวนได้รับข่าวจึงนั่งไม่ติด
ลมพัดโหมกระหน่ำ
เขาไม่หวาดกลัวความหนาวเหน็บ ควบม้าเร็วฝ่าลมฝนมาจวนท่านหญิง
เขาขอเข้าเฝ้าเซียวฮูหยินเพื่อบรรยายสถานการณ์วิกฤตในราชสำนัก
ข่าวของเซียวฮูหยินเร็วกว่าเยียนอวิ๋นฉวนไม่น้อย เรื่องที่เกิดในราชสำนัก นางรู้อยู่ก่อนแล้ว
แต่ว่านางยังคงยอมรับในเจตนาดีของเยียนอวิ๋นฉวน
“เจ้ามีใจแล้ว! ไม่คิดว่าหลิงฉางจื้อจะส่งข่าวให้เจ้า”
“ข้ากับฉางจื้อคบหากันด้วยใจจริง เมื่อการประชุมในท้องพระโรงจบสิ้น เขาก็ให้คนส่งข่าวมาทันที”
เซียวฮูหยินยิ้ม “ต้องยินดีกับเจ้า รู้จักหลานชายคนโตของตระกูลหลิง อีกทั้งยังเป็นสหาย มีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก หากเจ้าต้องการรับราชการ สามารถขอให้เขาแนะนำอาจารย์หยูในราชสำนักให้เจ้าได้ ความรู้ของเจ้าพอได้ มีความช่วยเหลือของหลิงฉางจื้อ อาจช่วยให้เจ้ารับราชการได้อย่างราบรื่น”
เยียนอวิ๋นฉวนย่อมมีความคิดนี้
แต่เวลานี้เป็นเวลาที่สมควรพูดเรื่องนี้หรือ
“ภายในราชสำนักมีคนคิดร้ายต่อฮูหยินและน้องสี่ ฮูหยินไม่ร้อนใจเลยหรือขอรับ”
เซียวฮูหยินพูด “สถานการณ์นี้ ก่อนฤดูหนาวมาเยือน อวิ๋นเกอได้คำนึงถึงแล้ว อีกทั้งมีวิธีการรับมือแล้ว อย่างไรยังต้องขอบใจเจ้า ที่ส่งข่าวมาทันเวลา”
จากนั้นเซียวฮูหยินรับสั่งบ่าวรับใช้ให้เชิญเยียนอวิ๋นเกอมา
ให้เยียนอวิ๋นเกอขอบคุณเยียนอวิ๋นฉวนต่อหน้า
น้ำใจของเยียนอวิ๋นฉวนจำเป็นต้องยอมรับ
เยียนอวิ๋นฉวนฉงนเล็กน้อย “น้องสี่มีวิธีรับมือแล้ว? ทุกสิ่งนางล้วนคำนึงไว้ก่อนแล้ว?”
เผชิญหน้ากับการวิจารณ์ในราชสำนัก หญิงสาวตัวน้อยอย่างนางจะรับมืออย่างไร
เขายังคิดหาวิธีไม่ได้ เยียนอวิ๋นเกอจะคิดได้หรือ
เขาสงสัยอย่างมาก!