ตอนที่ 91 ตายก็จะเอาเงิน
หลิงฉางจื้อนัดเยียนอวิ๋นฉวนดื่มสุรา
สวนดอกไม้จวนตระกูลหลิง ดอกเหมยยังไม่แบ่งบาน ทำให้ดูอ้างว้าง
เมื่อวานเมืองหลวงมีหิมะแรกของฤดูหนาวตกลงมา
หนึ่งคืนผ่านไป หิมะหยุดตก
บนพื้นมีหิมะตกค้างเป็นชั้นบาง
ดื่มสุราอุ่น ชื่นชมทิวทัศน์หิมะอยู่รอบเตาไฟ มีฉากกั้นปิดบังลมหนาว ดีดพิณขับกล่อมบทเพลงย่อมเป็นความงามอีกรูปแบบ
หลิงฉางจื้อไม่เพียงเชิญเยียนอวิ๋นฉวนมา เขายังเชิญบัณฑิตที่ยังไม่รับราชการมาอีกหลายคน
ทุกคนขับกล่อมบทกลอนท่ามกลางหิมะ จัดชมรมบทกลอน
วันอื่น รวบรวมบทกลอนของแต่ละคนเป็นบันทึก ตีพิมพ์ปล่อยขาย
เพียงแค่มีบทกลอนหนึ่งโดดเด่น ได้รับการเผยแพร่ ชมรมบทกลอนของตระกูลหลิงย่อมโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน
เพียงแค่ชื่อเสียงโด่งดังออกไป ย่อมสามารถดึงดูดบัณฑิตผู้มีความสามารถมารวมตัวในชมรมบทกลอนของตระกูลหลิง
หากดูแลอย่างดีสิบยี่สิบปี เมื่อถึงเวลาหลิงฉางจื้อย่อมสามารถกลายเป็นอาจารย์หยูชื่อเสียงโด่งดังในแผ่นดิน กลายเป็นอาจารย์ที่เหล่าบัณฑิตเยินยอ
ฐานะของเขา ถึงแม้ฮ่องเต้จะลงโทษเขา ก็ต้องคำนึงถึงการวิจารณ์จากผู้คนบนแผ่นดิน
สิ่งใดคือชื่อเสียงบารมี
สิ่งนี้ย่อมคือชื่อเสียงบารมี!
ชื่อเสียงบารมีเป็นเกราะป้องกันตัวของคน อีกทั้งยังเป็นทางลัดในการเข้าสู่วงราชการ
หลังจากหลิงฉางจื้อมาถึงเมืองหลวง ทุกย่างก้าวของเขา เบื้องหลังล้วนเป็นผลึกแห่งสติปัญหาของตระกูล
เพราะทุกย่างก้าวของเขา ล้วนมีผู้ใหญ่วางแผนแทนเขาไว้แล้ว
สร้างชื่อเสียง ได้รับการยอมรับจากอาจารย์หยูเป็นก้าวแรก
รับราชการเป็นก้าวที่สอง
สร้างบารมีเป็นก้าวที่สาม
จะมีสิ่งใดสร้างบารมีได้ยิ่งกว่าการจัดชมรมบทกลอน
ย่อมไม่มี!
ตระกูลหลิงเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่สืบทอดมาหลายร้อยปี รากฐานมั่นคง ตำราที่สะสมเรียกได้ว่าน่าเกรงขาม
มีตำราฉบับที่เหลืออยู่เล่มเดียว ตำราที่เสียหายบางส่วน ครบครัน
เพียงแค่รากฐานนี้ อีกทั้งยังมีกำลังทรัพย์ เงินเสบียงที่ไม่จำกัด เพียงแค่ดำเนินการอย่างดีต่อไป ชมรมบทกลอนและบทความของตระกูลหลิงย่อมโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หลิงฉางจื้อย่อมกลายเป็นอาจารย์หยูในไม่ช้า
ส่วนตระกูลหลิงสามารถพัฒนาไปได้อีกก้าว กลายเป็นตระกูลขุนนางแนวหน้า เทียบเทียมกับตระกูลขุนนางใหญ่อย่างตระกูลชุย
ตระกูลขุนนางแนวหน้ามีแรงดึงดูดต่อผู้มีความสามารถมากกว่าราชวงศ์เสียอีก
เพราะเหตุใด
เพราะพึ่งพาตระกูลขุนนางแนวหน้า หากได้รับการชื่นชม ย่อมสามารถเป็นขุนนางได้เช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ขุนนางท้องถิ่นจนถึงขุนนางราชสำนัก ตระกูลขุนนางแนวหน้าล้วนจัดการได้
เพียงแค่ความแตกต่างทางด้านเวลาเท่านั้น
มันคือความสามารถอันน่ากลัวของตระกูลขุนนางแนวหน้า
ไม่เพียงมีกำลังทรัพย์ที่หาได้ยาก ยังมีเสบียงที่กินไม่หมดหลายสิบปี ครอบครองแปลงนานับไม่ถ้วน ทหารส่วนตัวนับพันนับหมื่น
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือตระกูลขุนนางแนวหน้าผูกขาดวิถีทางที่จะก้าวไปเป็นขุนนาง ผูกขาดการถ่ายทอดความรู้
แม้จะเป็นราชวงศ์ แม้จะเป็นฮ่องเต้ เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลขุนนางแนวหน้าก็ต้องยอมถอยให้
ฮ่องเต้จงจ้งทรงกล้าเปิดสอบคัดเลือกขุนนาง สุดท้ายเมื่อถึงคราวฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงสืบทอดราชบัลลังก์ สิ่งแรกที่ทำกลับเป็นการยกเลิกสอบคัดเลือกขุนนาง
เพราะเหตุใด
เพราะฮ่องเต้จงจ้งสามารถต้านทานแรงกดดันจากตระกูลขุนนางได้ แต่ฮ่องเต้องค์ก่อน หรือฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงไม่อาจทรงต้านทานแรงกดดันจากตระกูลขุนนางได้
ที่ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงทรงล้มองค์รัชทายาทจางอี้แล้วสืบทอดราชบัลลังก์ได้ก็เพราะพึ่งพาตระกูลขุนนาง
เมื่อพระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้แล้ว ย่อมต้องตอบแทนตระกูลขุนนางที่สนับสนุนเขา
ยังมีสิ่งใดที่แสดงความจริงใจได้มากกว่าการยกเลิกสอบคัดเลือกขุนนาง
เมื่อถึงสมัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หรือฮ่องเต้หย่งไท่ขึ้นครองราชย์ เขาไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยถึงการสอบคัดเลือกขุนนาง
กลัวหรือ
ใช่ กลัวมาก!
แต่ไร้หนทาง
ราชสำนักเต็มไปด้วยตระกูลขุนนาง
ถึงแม้ขุนนางฝ่ายราชการและขุนนางฝ่ายทหารเป็นปรปักษ์กัน แต่ส่วนตัวของแม่ทัพส่วนใหญ่ล้วนมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง เพียงแค่ล้วนเป็นตระกูลขุนนางระดับกลาง หรือระดับล่าง
อาทิตระกูลเยียน ก็ถือว่าเป็นตระกูลขุนนาง แต่เป็นตระกูลขุนนางระดับล่าง
แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ ตระกูลเยียนก็เป็นตระกูลที่สืบทอดมานับร้อยปี
ตระกูลหลิงมีความทะเยอทะยานมาก
พวกเขาไม่เพียงอยากเป็นตระกูลใหญ่ ยังอยากเป็นตระกูลขุนนางแนวหน้า
วันหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการแต่งตั้งหรือเพิกถอนฮ่องเต้
ดังนั้น หลิงฉางจื้อที่เต็มไปด้วยทรัพยากรของตระกูล พลังของเขาน่ากลัวอย่างมาก
เขาอยากทำสิ่งใด ย่อมง่ายดายกว่าผู้อื่นเสมอ
ถึงแม้น้องชายของเขา หลิงฉางเฟิงไม่เอาไหน แต่เพียงแค่เขามีความมุมานะ ชีวิตนี้หลิงฉางเฟิงก็ร่ำรวยและมีเกียรติได้
ขาทองคำเป็นพี่ใหญ่ของตนเอง ยังมีสิ่งใดยอดเยี่ยมกว่านี้
เยียนอวิ๋นเพ่ยในฐานะภรรยาของหลิงฉางเฟิงย่อมสามารถดื่มด่ำกับศักดิ์ศรีที่สมควรได้
ชมรมบทกลอนในวันนี้เป็นแค่การทดลองขนาดเล็กของหลิงฉางจื้อ
ทุกคนดื่มเหล้าร้องเพลง ขับกล่อมบทกลอน
เยียนอวิ๋นฉวนอยากมีบารมี เขายกพู่กัน เค้นความคิดเพื่อแต่งบทกลอน
เขาเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลแม่ทัพ แข่งขันบทกวีกับบัณฑิตที่ร่ำเรียนหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าแต่เด็ก ช่างลำบากยิ่งนัก
แต่หากไม่แต่งบทกลอนหนึ่งออกมา ย่อมทำให้คนในสถานที่แห่งนี้ดูถูก
หากแพร่กระจายออกไป คงไม่มีบัณฑิตยอมคบหากับเขา
ทำอย่างไร ทำอย่างไร
เขาครุ่นคิด สติปัญญาทั้งหมดไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์ทดสอบความสามารถที่แท้จริง
วันนี้ใช้ทิวทัศน์หิมะเพื่อแต่งบทกลอน เขาเขียนไม่ออก!
หลิงฉางจื้อมากระซิบข้างหูเขา พูดเสียงเบา “หากพี่อวิ๋นฉวนลำบากใจ ใช้ของข้าดีหรือไม่”
พูดจบ กระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนเต็มไปด้วยบทกลอนปรากฏต่อหน้าของเยียนอวิ๋นฉวน
เยียนอวิ๋นฉวนกลืนน้ำลาย เลียมุมปากเล็กน้อย “นี่ๆๆ ไม่ได้!”
เขาลอกได้หรือไม่
ย่อมได้!
เพียงแค่รู้ล่วงหน้าสองวันว่าวันนี้เป็นชมรมบทกลอน ไม่ใช่การดื่มสุราธรรมดา เขาจะให้ที่ปรึกษาเขียนบทกลอนไว้ล่วงหน้า ให้เขาคัดลอก
สุดท้าย เมื่อถึงตระกูลหลิงถึงได้รู้ วันนี้ไม่เพียงดื่มสุรา ยังเป็นชมรมบทกลอน
หลอกลวง!
วันนี้ที่ปรึกษาไม่มา บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกายทั้งสองรู้หนังสือเพียงเล็กน้อย
เขาลอกได้ แต่ไม่อาจลอกบทกวีของหลิงฉางจื้อได้
เพราะมันจะกลายเป็นจุดอ่อนของเขา
เยียนอวิ๋นฉวนยังไม่ได้มัวเมาในลาภยศ เขายังคงสามารถครุ่นคิดได้อย่างมีสติ
หลิงฉางจื้อเกลี้ยกล่อมเขา “บัณฑิตที่มาเข้าร่วมชมรมบทกลอนในวันนี้ แต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความสามารถ มีความหยิ่งยโส หากพี่อวิ๋นฉวนไม่อาจใช้ความสามารถพิชิตพวกเขา พวกเขาย่อมดูถูกพี่อวิ๋นฉวน ท่านกับข้าเป็นพี่น้องกัน ข้าจะมองพี่อวิ๋นฉวนถูกผู้อื่นเหยียดหยามได้อย่างไร บทกลอนนี้ข้าได้มาโดยบังเอิญ ไม่เคยแถลงออกไป ผู้อื่นไม่รู้ พี่อวิ๋นฉวนหยิบไปใช้ได้เต็มที่ ท่านวางใจ ไม่มีผู้ใดพูดออกไป”
หลิงฉางจื้อพูดอย่างจริงใจ เพียงแค่คนที่มีจิตใจอ่อนแอย่อมหวั่นไหว
เยียนอวิ๋นฉวนเองก็กำลังหวั่นไหว แต่อย่างไรเขารู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์เพียงชั่วคราว ชื่อเสียงย่อมสำคัญกว่า
เขาพยายามต้านทานสิ่งยั่วยุ ส่ายหน้าระรัว “ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าไม่อาจใช้บทกลอนของเจ้า เพื่อศักดิ์ศรีของตนเอง เช่นนั้นข้าย่อมกลายเป็นคนเลวทราม เจตนาดีของเจ้าข้ารับไว้ในใจ แต่เจตนาดีนี้ข้าทำได้เพียงปฏิเสธ”
หลิงฉางจื้อมองเขา “พี่อวิ๋นฉวนไม่รับไว้จริงหรือ”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้าระรัว “ขอบคุณเจตนาดีของเจ้า ข้าพยายามเอง บางทีอาจได้สักประโยคสองประโยค”
หลิงฉางจื้อพูดทันที “พี่อวิ๋นฉวนมีความมุ่งมั่นปรารถนาเสียจริง เอาเถิด เรื่องนี้ข้าคำนึงไม่รอบคอบ แต่บทกลอนนี้ข้าวางไว้ที่ท่าน หากท่านเปลี่ยนใจ สามารถอ้างอิงได้ทุกเวลา”
หลิงฉางจื้อทิ้งบทกลอนเอาไว้ สะบัดแขนเสื้อจากไป ไม่นำหิมะจากไปด้วยแม้แต่เกล็ดเดียว
เยียนอวิ๋นฉวนทำหน้าฉงน
ลอกหรือไม่ลอก มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก
เท่ากับว่าหลิงฉางจื้อวางสิ่งยั่วยุอันมหาศาลไว้ตรงหน้าเขา แย่แล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เยียนอวิ๋นฉวนยังคงคิดไม่ออกสักประโยค
ผู้อื่นต่างมีผลงานดีเด่นตามลำดับ เริ่มต้นการวิจารณ์
เยียนอวิ๋นฉวนโยนพู่กัน ถอนหายใจ
เขาม้วนกระดาษทิ้งลงไปในถังกระดาษ
ช่างเถิด เขาไม่แข่งบทกลอนกับบัณฑิตกลุ่มนี้ดีกว่า
สุดท้าย เขายังคงไม่ได้คัดลอกบทกลอนของหลิงฉางจื้อเพื่อชื่อเสียง อย่างไรก็ตามเขากลัวทิ้งจุดอ่อนไว้ กลายเป็นจุดด่างพร้อย
หากมีคนเปิดเผยเรื่องนี้ขึ้นมา ชื่อเสียงของเขาย่อมพังทลาย
ชมรมบทกลอนหนึ่ง ไม่มีบทกลอนออกมา ถูกบัณฑิตไม่กี่คนดูถูก จะสำคัญอันใด
เมื่อเทียบกับการอับอายต่อหน้าบัณฑิตทั่วแผ่นดิน สิ่งใดหนักสิ่งใดเบา เขาแยกแยะออก
หลิงฉางจื้อเห็นเขาเขียนไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว แต่ก็ไม่คัดลอก ประหลาดใจไม่น้อย เขาเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน
เยียนอวิ๋นฉวนยิ้มเย้ยหยัน “ความสามารถไม่เพียงพอ ข้าไม่โอ้อวดเสียดีกว่า เมื่อกลับไปยังต้องใช้เวลาฝึกฝนวิชาที่ชะลอไปอีกมาก”
“พี่อวิ๋นฉวนตัดสินใจเช่นนี้ ไม่เสียใจหรือ”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้า “ไม่เสียใจ”
“ไม่เสียใจก็ดี! พวกเขากำลังยุ่ง หากพี่อวิ๋นฉวนสนใจ พวกเราไปดื่มสุราในห้องพักดีกว่า”
“เชิญ!”
ทั้งสองหลีกเลี่ยงบัณฑิตอื่น มุ่งหน้าไปที่ห้องพัก
มีสาวรับใช้เตรียมสุราอุ่น จัดวางกับแกล้มไว้แล้ว รอเพียงเจ้าภาพและแขกมาเท่านั้น
ทั้งสองนั่งลง หลิงฉางจื้อยกจอกสุราขึ้น “ข้าดื่มก่อน พี่อวิ๋นฉวนตามสบาย”
สุราถูกเวียนดื่มหลายต่อหลายรอบ อาหารกินไปจานแล้วจานเล่า หลิงฉางจื้อจึงพูดเรื่องที่เป็นประเด็นในเมืองหลวงระยะนี้ขึ้นมา เรือนพักร่ำรวยเปิดห้องเรียน สอนวิธีการปลูกผักฤดูหนาวในเพิงอุ่น
“พี่อวิ๋นฉวนมีน้องสาวที่ดี วิกฤติใหญ่เช่นนี้ หากเป็นข้าคงตกอยู่ในความร้อนรน ไม่คิดว่าคุณหนูสี่จะใช้การเปิดห้องเรียนจัดการวิกฤตในครานี้ เรียกได้ว่าอัจฉริยะ มีความสามารถเสียจริง”
เยียนอวิ๋นฉวนพูด “ไม่ปิดบังเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดไม่ถึง วันนั้น ได้รับสารจากเจ้า ข้ามุ่งหน้าไปจวนองค์หญิงรายงานสถานการณ์เป็นเวลาแรก ไม่คิดว่าฮูหยินบอกว่าน้องสี่คาดการณ์ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ก่อนปลูกผักในฤดูหนาวแล้ว อีกทั้งมีวิธีการรับมือ เวลานั้นข้ายังไม่เชื่อ ไม่คิดว่าน้องสี่จะจัดการปัญหาได้ในคราเดียว ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก”
หลิงฉางจื้อรินสุราให้เยียนอวิ๋นฉวน “พี่อวิ๋นฉวนในฐานะพี่ชายของคุณหนูสี่ยังประหลาดใจเพียงนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่แคว้นซ่างกู่ คุณหนูสี่ไม่เคยแสดงสติปัญญาทางด้านนี้หรือ”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้า “น้องสี่มีความคิดแปลกใหม่แต่เด็ก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ เวลานั้นนางยังพูดไม่ได้ ข้าเพียงแต่รู้ว่านางอารมณ์ร้อน ลงมือทำร้ายผู้อื่น ชอบขอเงินกับท่านพ่อ
หากพูดถึงความเฉลียวฉลาด นางก็ฉลาดจริง แต่เวลานั้นข้าเห็นเพียงความฉลาดแบบเด็ก สติปัญญาที่พูดถึง ข้าไม่เห็นแม้แต่น้อย ไม่คาดคิดว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวง น้องสี่ทั้งเปิดร้าน ทั้งบุกเบิก ก่อเกิดการเคลื่อนไหวที่ใหญ่เพียงนี้ ข้าเองก็ตกใจ
เหมือนกับว่า ภายในจวน นางเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้ประสา แต่เมื่อออกจากจวน นางก็กลายเป็นหญิงสาวที่มีความรับผิดชอบ มีความคิด”
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้ว “ได้ยินพี่อวิ๋นฉวนพูดเช่นนี้ แต่ก่อนคุณหนูสี่อยู่ในจวน มักจะปิดซ่อนความสามารถเสมอมา”
“ปิดซ่อนความสามารถหรือ” เยียนอวิ๋นฉวนครุ่นคิด “นางอาจปิดซ่อนความสามารถจริง อย่างไรแล้ว เวลานี้ข้าไม่เข้าใจนาง แต่ว่าบางด้าน นางยังคงเหมือนเดิม เอาแต่เงินเหมือนแต่ก่อน”
หลิงฉางจื้อหัวเราะร่า “คำพูดนี้ข้าเชื่อ! หากไม่เอาแต่เงิน จะกล้าเปิดปากเก็บค่าเรียนคนละห้าสิบก้วนได้อย่างไร”