“ต้องขออภัยด้วยแล้ว ฝ่าบาทของพวกเราไม่ได้พอพระทัยในตัวท่านจริงๆ” ท่านผู้เฒ่ายืนขึ้นมา ในมือของเขาถือไม้กวาดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้ร่วมก่อตั้งแคว้นต้าโจว ย่อมต้องมีประสบการณ์เคยพบเห็นสิ่งต่างๆมามากมาย เรื่องของดินแดนจิ่วโจวนั้น แม้ว่าจะไม่เคยไป แต่ก็เคยได้ยินมาอยู่
ดินแดนที่มีผู้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมากมายเป็นกองทัพ เป็นดินแดนสำหรับผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง
หากจะเปรียบเทียบกันแล้วพลังวิญญาณในดินแดนโบราณช่างเป็นสิ่งล้ำค่าอันหาได้ยาก ในขณะที่ในจิ่วโจวนั้นกลับแข็งแกร่งกว่ามาก
ในดินแดนจิ่วโจวมิว่าที่ใดก็สามารถเสาะหาพรรคเล็กพรรคน้อยได้ทั้งนั้น ทั้งยังมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าแค้นใหญ่ในดินแดนโบราณอีกด้วย
สำนักหงเหมิน คือสำนักเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวรองจากวังตันติ่งกง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดา
แต่แล้วจะอย่างไร?
คิดจะมาขอหลานสาวที่ล้ำค่าของเขาแต่งงานน่ะหรือ ฝันไปเถอะ!
ตู๋กูถิงถือเป็นขิงแก่ในหมู่ผู้คนทั้งหลาย ให้เขาใช้ฝ่าเท้าคิดแทนศีรษะก็ยังรู้เลยว่า เทวบุตรหน้าเหม็นผู้นี้ ย่อมมิได้เป็นเพราะหลงรักหลันหลันจึงได้คิดจะแต่งงานกับนาง
คนผู้นี้รูปลักษณ์ราศีก็มิได้ดูดีสักเท่าไหร่ มันย่อมต้องมีแผนอื่นอยู่ในใจเป็นแน่
ท่านผู้เฒ่าถือไม้กวาดเอาไว้ในมือ ไอสังหารกำจายออกมาจากร่าง ดวงตาเปล่งประกายคล้ายจะทะลวงเข้าไปจนเห็นถึงภายในของผู้คน
หลงเซียวเองก็ชังจะทนไม่ไหวแล้ว รอบนอกของตำหนักจิ่นซิ่วกงมีองครักษ์ลับแฝงตัวรอคำสั่งของเขาอยู่ไม่น้อย
ผู้ที่กล้าลบหลู่ฮ่องเต้หญิง มิว่าจะเป็นผู้ใด ล้วนสมควรสับเป็นหมื่นชิ้น
นี่เป็นราชโองการก่อนจากไปของฮ่องเต้จีเฉวียน พวกเขาเป็นเหล่าองครักษ์ลับที่จีเฉวียนฝึกฝนมากับมือ พระองค์ไม่เพียงแต่ยกดินแดนทั้งหมดให้กับนาง แต่ว่ายังส่งมอบองครักษ์ลับที่ทรงฝึกฝนขึ้นมาด้วยพระองค์เองให้กับนางอีกด้วย
เพราะความห่วงใยว่าจะมีผู้ใดในใต้หล้ากล้ามาแตะต้องนาง
สีหน้าที่เตรียมมาแต่แรกเพื่อเชื่อมสัมพันธ์อันดีของเซียวเฉินตอนนี้ก็ชักจะแขวนเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
หมัดในแขนเสื้อกำแน่นเข้าหากัน เขาหันไปมองตู๋กูซิงหลัน
“ฝ่าบาท ข้ามาด้วยความจริงใจ ไม่ย่อท้อต่อทนทางไกล มิใช่มาเพื่อทนฟังผู้ใต้บัญชาของพระองค์หยามหมิ่น”
ตู๋กูซิงหลันพิงร่างลงบนบัลลังก์ ขนพระเนตรที่หนาเป็นแพปกปิดประกายในดวงเนตรของนางเอาไว้เกือบจะทั้งหมด ปลายดรรชนีเคาะลงไปบนโต๊ะเตี้ยเบาๆ ริมโอษฐ์เผยรอยแย้มสรวลเย็นชาออกมา
“พี่ใหญ่และท่านตามิได้ดูหมิ่นท่าน” นางตรัสอย่างเรื่อยเฉื่อย “พวกเขาเพียงแต่พูดไปตามความจริง …. เรามิได้ถูกใจท่านจริงๆ”
“ท่าน!” เซียวเฉินแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที
นางพูดว่าอะไรนะ? ไม่ถูกใจเขา?
“ท่านรู้หรือไม่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของท่านนี้ก็คือเทวบุตรของสำนักหงเหมิน! คือผู้ที่จะสืบทอดสำนักหงเหมินคนต่อไป!” เหล่านักพรตที่ติดตามเซียวเฉินมาโกรธเคืองเสียงจนตัวสั่นผมชี้แล้ว
ฮ่องเต้หญิงเยาว์วัยผู้นี้ จะต้องไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของดินแดนจิ่วโจว ถึงได้กล้ากำแหงได้ถึงเพียงนี้!
“สำนักหงเหมินของพวกเราคือสำนักเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจว เป็นสำนักที่อยู่ใต้บัญชาของวังตันติ่งกง แม้แต่วังตันติ่งกงเองก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเทวบุตรของพวกเรา หากกล้าขัดแย้งกับสำนักหงเหมิน ก็เท่ากับขัดแย้งกับวังตันติ่งกง ท่านไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้หญิงอีกต่อไปแล้วหรือ?”
เหล่านักพรตทั้งหลายต่างก็ช่วยกันบีบคั้นคน ด้วยท่าทางที่มิได้เห็นตู๋กูซิงหลันอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาเคยได้ยินมาว่า ฮ่องเต้หญิงผู้นี้………ตอนแรกก็ใช้ความงามกำจัดอดีตฮ่องเต้ของต้าโจวจนสิ้นพระชนม์ จนนางได้กลายเป็นไทเฮาน้อย หลังจากนั้นก็ยังใช้ความงามของตนเอง มาล่อลวงบุตรเลี้ยง นี่มิใช่ว่า ทำให้ฮ่องเต้เฉวียนของต้าโจวหลงใหลจนยอมมอบแผ่นดินทั้งหมดให้กับนางหรอกหรือ?
ว่ากันตามจริงแล้ว …… สตรีผู้นี้มีความสามารถใดกัน? ก็แค่เกิดมางดงาม อืม…..เป็นพวกที่งดงาดเท่านั้น
นอกจากมีรูปโฉมแล้ว นางก็ทำอะไรไม่เป็นทั้งสิ้น ก็เหมือนกับแจกันดอกไม้ที่สวยงามแต่ก็ไม่อาจใช้ประโยชน์อันใดได้
เทวบุตรยินยอมสู่ขอนาง ก็ต้องนับว่าเป็นบุญที่นางสะสมมาแล้วแปดชาติแท้ๆ
“โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ ดูเหมือนว่พวกท่านจะเอะกันมากเกินไปแล้ว!” นักพรตอู๋เจินลากนักพรตอู๋ซื่อให้ลุกขึ้นมาด้วยกัน “วิ่งมาถึงดินแดนของพวกเราแล้วแท้ๆยังจะกล้าอวดเก่ง ใครมอบความกล้าหาญเช่นนี้ให้กับท่านกัน?”
ท่านนักพรตอู๋ซื่อเองก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ข้านักพรตขอเอ่ยความจริงบางประการ พวกท่านทั้งหลายกำลังบังคับผู้คนสมรสแล้ว …..ความจริงใจในการสู่ขอก็ไม่ได้มีเลยสักนิด ฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินเรา ย่อมไม่มีทางอภิเษกให้กับเทวบุตรที่มีกริยามารยาทไม่เหมือนผู้คนกับเขาหรอก”
“จริงด้วย! หากว่าเจ้ารักใคร่หลงใหลในองค์ฮ่องเต้หญิงของพวกเราจริงๆ เช่นนั้นก็จงรีบกลับไปอาบน้ำให้สะอาด สมัครเข้ามาอยู่ในวังหลังขององค์ฮ่องเต้หญิง พาพวกสำนักอะไรของเจ้าเข้ามาเป็นบุรุษบำเรอก็ได้ไม่ใช่หรือ?” ประโยคนี้ย่อมเป็นหยวนเมิ่งพูดออกมา
นับตั้งแต่ที่จีเฉวียนทรงชำระล้างวังหลัง นางก็เอาแต่ติดตามตู๋กูจุนแล้ว ยามที่ตู๋กูซิงหลันกลับมานั้น ก็มอบหมายในนางเป็นขุนนางหญิงอยู่ในวัง ติดตามใกล้ชิดอยู่ข้างกาย
ตุ๊กตาหญิงตัวน้อยผู้นี้ปากคอเราะร้ายอย่างที่สุด มักยั่วโทสะผู้คนจนระเบิดตาย
ตู๋กูซิงหลันในยามนี้คือดวงจันทร์ที่ทุกคนถนอมเอาไว้ในฝ่ามือ มีผู้คนนับหมื่นปกป้อง หากใครกล้ามาแหย่แม้แต่น้อย แค่แต่ละคนถ่มน้ำลายลงมาก็มากพอจะทำให้มันจมน้ำตายได้แล้ว
หัวใจของเซียวเฉินมีควันคุกรุ่นขึ้นมา สถานการณ์พลิกไปไม่ใช่อย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้
เดิมทีเขาคิดว่า ต่อให้เป็นตู๋กูซิงหลัน ก็ต้องแสดงความเคารพนอบน้อมต่อเขาออกมา
เพราะว่าเขามาจากจิ่วโจว ทั้งยังเป็นถึงเทวบุตรของสำนักหงเหมิน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนธรรมดาเหล่านี้สมควรเป็นดั่งเทพเซียนในสายตาของพวกเขา……
แต่ว่าดูจากตอนนี้ คนเหล่านี้ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาจะต้องไม่รู้เป็นแน่ว่าสำนักหงเหมินนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงไร
ที่เขาเดินทางมาถึงแผ่นดินโบราณแห่งนี้ ก็เพื่อชิงนำหน้าผู้อื่น คิดจะควบคุมฮ่องเต้หญิงเอาไว้ ขอเพียงควบคุมนางได้ ทรัพยากรทั้งหมดในแผ่นดินนี้จะยังไม่ใช่ของเขาอีกหรือ?
เขาแต่งกับนางแล้ว เห็นแก่รูปโฉมที่งดงามของนางก็จะดีกับนางไม่น้อย
หากว่าเมื่อไหร่เบื่อแล้ว ก็ค่อยถีบส่งไป
อย่างน้อยตอนแรกๆเขาก็เคยรักนางไม่ใช่หรือ?
รักในรูปโฉมของนางไง
“ฮ่องเต้หญิง ท่านคิดจะเป็นศัตรูกับข้าหรือ?” เซียวเฉินจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน เขาเชิดคางขึ้นสูง ดวงตาสาดประกายเย็นชาออกมา เหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังของเขาพากันขยับตัว ตระเตรียมจะดับชีวิตผู้คนที่อยู่ในพระตำหนักจิ่นซิ่วกงนี้ให้หมดสิ้น
สำหรับคนธรรมดาของแผ่นดินแห่งนี้ หากนักพรตที่สูงส่งเช่นพวกเขาเปิดฉากฆ่าฟันขึ้นมา มันจะต่างอะไรกับการบดขยี้พวกมดปลวกกัน?
เซียวเฉินเองก็กำหมัดขึ้นมา เตรียมตัวจะลงมือเช่นกัน
แต่ว่าเขายังไม่ทันได้ออกคำสั่ง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่เดิมนั่งอยู่บนบัลลังก์พุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าเขาในพริบตาเดียว
………………………………………………………………..