ตอนที่ 122 น่าโมโหยิ่งนัก
เยียนอวิ๋นจือเดินทางมาถึงห้องอาหารด้วยความอารมณ์ดี
นางยิ้มหวาน พลันเรียก “พี่สอง น้องสี่!”
เยียนอวิ๋นฉีได้ยินจึงหันหน้าไป กวักมือเรียกนาง “น้องสามมาแล้ว รีบเข้ามา”
เยียนอวิ๋นจือเดินเข้าไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจที่ปิดไม่มิด
เยียนอวิ๋นฉีจับมือของนาง “น้องสามมาเมืองหลวงระยะหนึ่งแล้ว คุ้นชินแล้วหรือไม่”
“ขอบพระคุณพี่สองที่เป็นห่วง ข้ายังดี สามารถปรับตัวกับทุกอย่างในเมืองหลวง”
เมื่อเยียนอวิ๋นจือพูดประโยคนี้ สายตาของนางแน่วแน่อย่างมาก
ปรับตัวกับชีวิตในเมืองหลวงไม่ได้หรือ
เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเมืองหลวง
เยียนอวิ๋นฉีเม้มากยิ้ม “น้องสามแตกต่างจากเมื่อก่อนแล้ว เติบโตขึ้นแล้ว!”
เยียนอวิ๋นจือยิ้มอย่างเขินอาย “หากไม่เติบโตอีก คงจะเป็นการสร้างความวุ่นวายให้ฮูหยินและน้องสี่”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว “พี่สามอย่าพาดพิงข้า ข้าไม่อยู่ในจวนสักระยะแล้ว”
“รู้ว่าน้องสี่ยุ่ง ข้าย่อมไม่สร้างปัญหาให้เจ้า”
เยียนอวิ๋นจือเม้มปากยิ้ม ราวกับพูดเรื่องตลกที่ทำให้ตนเองหัวเราะขึ้นมา!
เยียนอวิ๋นฉีบอกให้นางนั่งลง พี่น้องสามคนพูดคุยกัน
นางถามเยียนอวิ๋นจือทำสิ่งใดในเมืองหลวงบ้าง รู้จักผู้ใดบ้าง อยากไปที่ใดบ้าง…
เยียนอวิ๋นเกอใช้มือข้างหนึ่งประคองคาง จ้องมองพี่สอง เยียนอวิ๋นฉี
พี่สองมีความอดทนเสียจริง คุยกับเยียนอวิ๋นจืออย่างไม่รีบไม่ร้อน
การสมรสทำให้คนเติบโตขึ้นมาได้เสียจริง
หากเป็นเมื่อก่อน พี่สองไม่มีทางพูดกับเยียนอวิ๋นจืออย่างอดทนเพียงนี้
เพียงแต่เรื่องที่คุยนั้นล้วนเป็นเรื่องสัพเพเหระ เยียนอวิ๋นเกอฟังอยู่สักพักก็รู้สึกเบื่อหน่าย ทำให้นางง่วงนอน
โชคดีที่เสียงหนึ่งดังขึ้น อาหารขึ้นโต๊ะ
เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาเข้ามาในห้อง เรียกให้ทุกคนรับประทานอาหาร
ทุกคนต่างรักษามารยาทบนโต๊ะอาหาร ไม่พูดคุยระหว่างรับประทาน
เมื่อกินจนเกือบอิ่ม วางชามและตะเกียบลงแล้วกลั้วปาก ทุกคนจึงเริ่มพูดคุยกัน
เซียวฮูหยินแสร้งถามเยียนอวิ๋นจือ “ตอนที่เจ้ามาเมืองหลวง ท่านโหวได้บอกให้เจ้ากลับไปเมื่อใดหรือไม่”
เยียนอวิ๋นจือผงะไปทันที นางก้มหน้าแสดงออกถึงความน้อยใจ
นางพูดเสียงเบา “ท่านพ่อกำชับให้ข้าติดตามท่านลุงสองกับท่านป้าสองกลับไปก่อนการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง”
เซียวฮูหยินถือถ้วยชา “ห่างจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่กี่เดือน เจ้ามีแผนการอย่างไร หากอยากออกไปเที่ยวเล่น เจ้าต้องให้อวิ๋นเกอนำไป”
เยียนอวิ๋นเกอแอบกลอกตา นางทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเยียนอวิ๋นฉวนในเดือนหนึ่งด้วยการพาเยียนอวิ๋นจือออกจากจวน แนะนำนางให้กับสตรีในเมืองหลวงแล้ว
ถึงแม้นางจะยังไม่ได้ตีเข้าไปในวงสังคมของสตรีเมืองหลวง แต่สตรีเมืองหลวงส่วนใหญ่ นางก็รู้จัก
กว่านางจะกลับจากเรือนพักมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่อยากเป็นแม่นมพาเยียนอวิ๋นจือออกจากจวนทุกวัน
เวลานี้เยียนอวิ๋นจือก็ไม่มีอารมณ์เที่ยวเล่น นางเป็นกังวลอนาคตของตนเองมากกว่า นางกังวลว่าตนเองจะอยู่ในเมืองหลวงต่อได้หรือไม่
นางพูดเสียงเบา “ท่านลุงสองกับท่านป้าสองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องกลับไป”
เซียวฮูหยินยิ้ม “ไม่เอ่ยถึงเรื่องกลับไปไม่เท่ากับพวกเขาจะไม่กลับไป เรื่องที่รับปากท่านโหวแล้ว ลุงสองกับป้าสองของเจ้าไม่กล้าผิดคำพูด”
ท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านไม่ใช่คนใจดี นายท่านรองตระกูลเยียนเป็นเพียงพี่น้องต่างมารดา หากเยียนโส่วจ้านลงมือขึ้นมา ไม่มีทางออมแรงเอาไว้
ซึ่งมันเป็นสาเหตุที่พี่น้องตระกูลเยียนต่างกลัวเยียนโส่วจ้าน
ใจแข็งและโหดเหี้ยม
เทียบไม่ติด เทียบไม่ติด!
ทำได้เพียงเชื่อฟัง
เยียนอวิ๋นจือแทบจะร้องไห้ออกมา
เซียวฮูหยินคีบอาหารให้นาง ปิดกั้นน้ำตาของนางในทันที
“พี่ใหญ่ของเจ้ามีความเห็นอย่างไร เจ้าเคยหารือเรื่องกลับจวนกับเขาหรือไม่”
หากเยียนอวิ๋นฉวนยอมออกหน้าแทนเยียนอวิ๋นจือ แบกรับความโกรธของเยียนโส่วจ้าน บางทีเยียนอวิ๋นจืออาจยังมีโอกาสอยู่ในเมืองหลวงต่อ
เพียงแต่เยียนอวิ๋นฉวนยอมหรือ
เยียนอวิ๋นจือซับหางตา พลันก้มหน้าพูด “พี่ใหญ่บอกให้ข้ากลับจวนตามแผนการ อย่าได้อยู่ในเมืองหลวงต่อ”
เซียวฮูหยินพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ: “เจ้าควรเชื่อฟังพี่ใหญ่ของเจ้า”
“แต่…”
“แต่อันใด” เซียวฮูหยินถามอย่างสงสัย
เยียนอวิ๋นจือส่ายหน้า กลืนคำพูดที่จะพูดลงไป
ฮูหยินไม่ใช่ท่านแม่ นางสามารถระบายอารมณ์ต่อหน้าท่านแม่ได้ แต่นางไม่อาจระบายอารมณ์ต่อหน้าฮูหยินได้
เซียวฮูหยินจิบชา ก่อนจะวางแก้วชาลง “เรื่องของตนเอง เจ้าต้องมีความคิดภายในใจ วันอื่นข้าจะส่งคนไปถามแผนการของลุงสองกับป้าสองของเจ้า พวกเจ้าทานต่อ ข้าเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนก่อน”
นางลุกขึ้นจากไป พร้อมกับนำบรรยากาศที่ตึงเครียดในห้องอาหารไปด้วย
เยียนอวิ๋นจือโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด แต่สีหน้าของนางหมดอาลัยตายอยาก นางจ้องมองเยียนอวิ๋นฉี พลันถามเสียงเบา “พี่สอง ข้าอยู่ในเมืองหลวงต่อได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นฉีครุ่นคิดพลันพูด “น้องสามโตแล้ว หากอยู่ในเมืองหลวงต่อเกรงว่าจะทำให้งานสมรสของเจ้าล่าช้า สู้เจ้าเดินทางกลับจวนก่อนการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงตามแผนการจะดีกว่า เจ้าก็รู้หากท่านพ่อโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวเพียงใด”
ท่ามกลางพี่น้อง มีเพียงน้องสี่ เยียนอวิ๋นเกอสามารถแบกรับความโกรธของเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดาเอาไว้ได้
เมื่อนึกถึงท่าทางโกรธของบิดา เยียนอวิ๋นจือหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แต่นางอยากอยู่ต่อเสียจริง
เยียนอวิ๋นฉีออกความเห็นให้นาง “น้องสาม หากเจ้าอยากอยู่เมืองหลวงต่อจริงก็ไปอ้อนวอนพี่ใหญ่ หากเขายอมออกหน้าแทนเจ้า บางทีอาจยังมีโอกาส”
“จริงหรือ”
“เจ้าสงสัยอิทธิพลของพี่ใหญ่ที่มีต่อท่านพ่อหรือ”
เยียนอวิ๋นจือเผยยิ้มออกมา “ขอบพระคุณพี่สองที่ชี้แนะ”
นางครุ่นคิดในใจ นางเป็นพี่น้องร่วมมารดากับพี่ใหญ่ หากนางอ้อนวอน พี่ใหญ่ย่อมใจอ่อน ไม่แน่ว่าอาจรับปากคำขอขางนาง
เมื่อชี้ทางให้เยียนอวิ๋นจือแล้ว เรื่องอื่นเยียนอวิ๋นฉีย่อมไม่เปลืองแรงจัดการ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว พี่น้องทั้งสามย้ายไปยังห้องโถงรับแขกเพื่อพูดคุยกันต่อ
เยียนอวิ๋นจือสงสัยชีวิตความเป็นอยู่ของพระชายาอย่างเยียนอวิ๋นฉีอย่างมาก ทั้งอิจฉาและปรารถนา!
เยียนอวิ๋นฉีแอบส่ายหน้า เยียนอวิ๋นจือยังคงไร้เดียงสาเหมือนเคย
แม้ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายจะฟังดูสูงส่ง
แต่ความขมขื่นในนั้นก็มีเพียงตนเองที่รู้ดีที่สุด
ระยะนี้นางกลุ้มจนกินไม่ลง จึงกลับมาพักผ่อนหย่อนใจในจวน แต่กลับทำให้เยียนอวิ๋นจือเกิดความอิจฉา
ตลกหรือไม่
หลังจากเยียนอวิ๋นจือได้ทำความรู้จักกับชีวิตที่ปรารถนาแล้ว นางก็จากไปอย่างพึงพอใจ
เยียนอวิ๋นเกอหาววอด “พี่สองจำการนอนเอาศีรษะไปคนละทางได้หรือไม่ พวกเราย้ายไปคุยที่เตียงต่อกันดีกว่า”
“ได้!”
เยียนอวิ๋นฉีรับปากทันที
พี่น้องทั้งสองกลับห้อง พลางคุยพลางนอนกลางวัน
มีความสุขอย่างยิ่ง!
…
นายท่านรองตระกูลเถากำลังนึกถึงเรื่องกลับจวน
เขารับปากเยียนโส่วจ้านว่าจะเดินทางกลับไปก่อนการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
ห่างจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเพียงไม่กี่เดือน เขาร้อนใจอย่างมาก
เขาไม่กล้ายืดเยื้อต่อไป ยิ่งไม่กล้าไม่กลับไป
ถึงแม้จะห่างไกลถึงพันลี้ เยียนโส่วจ้านก็สามารถส่งคนมาเมืองหลวงเพื่อจับพวกเขากลับไป
ผลที่ตามมาคงจะร้ายแรง
แต่ซุนฮูหยินไม่ยอมกลับไป
“อวิ๋นเพ่ยยังไม่ตั้งครรภ์ เวลานี้กำลังต้องการพวกเราหนุนหลัง เมื่อพวกเรากลับไป หากอยากมาเมืองหลวงพบอวิ๋นเพ่ยอีก ไม่รู้ต้องรอถึงเวลาใด”
“ไม่กลับไปจะบอกท่านโหวอย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ฝีมือของท่านโหว อีกอย่างในจวนอีกเด็กอีกหลายคน เจ้ารู้แต่จะเป็นห่วงอวิ๋นเพ่ย ไม่เป็นห่วงเด็กคนอื่นหรือ”
ซุนฮูหยินน้อยใจ “แต่อวิ๋นเพ่ยยังไม่ตั้งครรภ์ อีกฝ่ายเป็นถึงตระกูลหลิงเชียวนะ!”
ตระกูลใหญ่ที่นับได้ในเวลานี้ หากอวิ่นเพ่ยสามารถมีบุตรของหลิงฉางเฟิง ตำแหน่งบ้านรองในตระกูลเยียนย่อมสูงขึ้นตาม
นายท่านรองตระกูลเยียนกลับพูด “ตั้งครรภ์อยู่ที่วาสนา อวิ๋นเพ่ยย่อมต้องมีบุตรไม่ช้าก็เร็ว ไม่อาจล่าช้าเรื่องในจวนเพื่ออวิ๋นเพ่ยคนเดียวได้”
ซุนฮูหยินพึมพำ “มาเมืองหลวงแล้ว ไม่รออวิ๋นเพ่ยตั้งครรภ์ก็กลับไป น่าเสียดายยิ่งนัก”
นายท่านรองตระกูลเยียนตะหวาดนาง “เจ้ารีบลงมือ พยายามทำให้อวิ๋นเพ่ยตั้งครรภ์ก่อนที่พวกเราจะเดินทางกลับ ทางไต้ฟูว่าอย่างไร”
“ไต้ฟูบอกว่าร่างกายของอวิ๋นเพ่ยไม่มีปัญหา เพียงแต่จิตใจหดหู่”
พูดถึงเรื่องนี้ ซุนฮูหยินก็โกรธอย่างมาก
หลิงฉางเฟิงรังแกกันเกินไป จนทำให้อวิ๋นเพ่ยอารมณ์ไม่ได้รับการผ่อนคลาย ตึงเครียดทั้งวัน
ภายในในกลัดกลุ้มจะมีบุตรได้อย่างไร
นางยุยงนายท่านรองตระกูลเยียน “พวกเราไปหาหลิงฉางจื้ออีกครั้ง ให้หลิงฉางจื้อสั่งสอนหลิงฉางเฟิง”
นายท่านรองตระกูลเยียนส่งเสียงไม่พอใจ “เรื่องในห้องของพี่น้อง ตักเตือนครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่อาจซักถามได้ทุกครั้ง เจ้าอย่าออกความเห็นเหลวไหล”
เมื่อพี่น้องสมรสแล้ว ย่อมต้องแบ่งแยกความสัมพันธ์ให้ชัดเจน
เรื่องภายในห้องของพี่น้อง แม้จะในฐานะพี่ชายก็ไม่อาจถามได้ทุกเวลา
เพราะการทำอย่างนั้น ทั้งไม่เหมาะสม และทำให้คนรังเกียจ
ตระกูลเยียนที่เป็นฝ่ายเรียกร้องยิ่งทำให้คนรังเกียจ
นอกจากพ่อและแม่สามีของเยียนอวิ๋นเพ่ยอยู่ตรงนี้ เรียกร้องพวกเขาในฐานะพ่อแม่ย่อมพอจะเป็นไปได้
ซุนฮูหยินร้องไห้ “บุตรสาวที่น่าสงสารของข้า!”
นายท่านรองตระกูลเยียนทำหน้าระอา แต่ก็ใจแข็งเอาไว้ พลันพูด “พวกเราต้องออกเดินทางกลับจวนช้าสุดในเดือนเจ็ด เจ้ามีสิ่งใดอยากซื้อ รีบให้คนไปจัดซื้อ”
“ข้าไม่อยากกลับไป!”
“เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว อย่าได้ใช้อารมณ์”
ซุนฮูหยินจ้องมองเขา “ตู้ซินแสกลับไปหรือไม่”
“เมื่อเสร็จงาน ตู้ซินแสย่อมต้องกลับไป”
“ตู้ซินแสต้องทำสิ่งใดกันแน่ เรื่องของเขาเสร็จสิ้นแล้วหรือ”
“เจ้าอย่าถามมากเพียงนั้น” นายท่านรองตระกูลเยียนรำคาญเล็กน้อย “หากเจ้าไม่วางใจอวิ๋นเพ่ย เจ้าก็ไปพักในตระกูลหลิงเสียสองสามวัน อยู่เป็นเพื่อนนาง หรือไม่ก็รับนางกลับมาพัก”
ซุนฮูหยินซับน้ำตา พลันพูด “ได้ยินว่าเยียนอวิ๋นเกอกลับมาแล้ว นางเป็นสตรีแต่กลับพักอยู่กับบรรดาชายหนุ่มในเรือนพัก พี่สะใภ้ใหญ่ไม่กังวลหรือ หากให้ข้าพูด พี่สะใภ้ใหญ่ไร้ระเบียบ ทำเรื่องเหลวไหลเสียจริง แต่ก่อนเยียนอวิ๋นเกอเป็นใบ้ต่อว่านางไม่ได้ เวลานี้ในเมื่อนางพูดได้แล้วก็ไม่สมควรตามใจนางอีก สมควรเชิญแม่นมมาอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด…”
นายท่านรองตระกูลเยียนพูดขัดนาง “มันเป็นเรื่องของจวนโหว พี่สะใภ้ใหญ่จะสั่งสอนลูกอย่างไร ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง”
“ข้าจะไม่ยุ่งได้อย่างไร” ซุนฮูหยินพูด “ทุกคนต่างเป็นคนของตระกูลเยียน หากเยียนอวิ๋นเกอไม่รักษากฎระเบียบ ย่อมเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลเยียนไม่ใช่หรือ”
นายท่านรองตระกูลเยียนพูด “เยียนอวิ๋นเกอไม่รักษากฎระเบียบไม่ใช่แค่วันนี้วันแรก อย่างไรก็ตาม ข้าจินตนาการท่าทางรักษากฎระเบียบของเยียนอวิ๋นเกอไม่ออกเลยเสียจริง”
“ท่าน ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!”
ซุนฮูหยินโกรธจนเจ็บหน้าอก
นางไม่ได้มีอารมณ์สั่งสอนเยียนอวิ๋นเกอจริงๆ นางเพียงแค่อยากจะใช้ข้ออ้างนี้ปะทะกับเซียวฮูหยิน ระบายความโกรธในใจ