ตอนที่ 127 มีชีวิตอยู่อย่างดี
เมื่อใกล้ถึงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง สถานการณ์ทางใต้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
กองกำลังส่วนตัวของตระกูลใหญ่รวมตัว ให้ความร่วมมือกับกองทัพเหนือ เริ่มต่อต้านเหล่าท่านอ๋องขนานใหญ่
ไฟแห่งสงครามคุกรุ่น!
ทุกวันมีทั้งข่าวจริงข่าวเท็จส่งมาถึงเมืองหลวง
เมื่อวานบอกว่าราชสำนักพ่ายแพ้ วันนี้กลับบอกว่าเหล่าท่านอ๋องพ่ายแพ้
รอถึงวันพรุ่งนี้ก็เป็นแม่ทัพหนึ่งทรยศหักหลัง
พื้นดินอันกว้างใหญ่ของทางใต้พังทลายย่อยยับ ผลประกอบการของปีนี้ไม่อาจรับรองได้
เสบียงเน่าอยู่ในพื้นดินเพราะไม่มีคนเก็บ
เมื่อถึงฤดูหนาว ย่อมต้องมีคนจำนวนมากต้องหิวโหย เกรงว่าจะต้องหนาวและหิวจนตาย
เมืองหลวงก็ไม่สงบ!
ตระกูลของเจี่ยซูเฟยปะทะกับตระกูลเถา
ทั้งสองตระกูลปะทะกันตั้งแต่ตลาดจนถึงกิจการ จากกิจการจนถึงราชสำนัก จากราชสำนักจนถึงวังหลัง…
เมืองหลวงเกิดความปั่นป่วน
ตระกูลเจี่ย และตระกูลเถาก่อเกิดความวุ่นวายในเมืองหลวง ทำให้ผู้คนต่างอกสั่นขวัญแขวน
ท่าทีของฮ่องเต้หย่งไท่คลุมเครือ
วันนี้เขากดขี่ตระกูลเถา
วันพรุ่งนี้เขากลับกดขี่ตระกูลเจี่ย
เขาออกหน้าแทนเถาฮองเฮา แต่ก็ออกหน้าแทนเจี่ยซูเฟย
คนหนึ่งเป็นฮองเฮา อีกคนเป็นซูเฟย[1] พวกนางแบ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่ายไปโดยปริยาย
นับแต่เถาฮองเฮาถูกสถาปนา นางก็ไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาก่อน
หลังจากปะทะกันสิบกว่ารอบ มีครั้งหนึ่งทั้งสองบังเอิญพบหน้ากันในสวนดอกไม้ เมื่อเจรจาไม่ลงตัวกัน เถาฮองเฮาก็ลงมือตบหน้าเจี่ยซูเฟย
เจี่ยซูเฟยถูกตบจนทำตัวไม่ถูก
นางไม่กล้าตอบโต้
ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายเป็นถึงฮองเฮา มีตำแหน่งสูงกว่านาง
หากนางตอบโต้ จากมีเหตุผลย่อมกลายเป็นไร้เหตุผล
ดังนั้น นางจึงปล่อยโฮ กุมหน้าวิ่งหนีไป
การร้องไห้ของนางในคราวนี้ ทุกคนในวังหลังต่างรับรู้ ทุกคนต่างเปลี่ยนฝ่าย
ข่าวที่เจี่ยซูเฟยถูกฮองเฮาตบหน้าถูกแพร่กระจายจากวังหลังไปยังราชสำนัก จากราชสำนักไปยังตระกูลใหญ่ทั้งหลาย
ตระกูลเจี่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม พวกเขาต้องการออกหน้าแทนเจี่ยซูเฟย
แม้แต่องค์ชายหกก็แอบบ่นลับหลัง
ตระกูลเถาย่อมตื่นเต้นอย่างประหลาด ตะโกนโหวกเหวก “ตบได้ดี!”
หญิงต่ำช้าอย่างเจี่ยซูเฟยสมควรถูกโบยนานแล้ว
นางคิดว่าถูกฮ่องเต้โปรดปรานไม่กี่วันก็จะพลิกฟ้าได้หรือ
เถาฮองเฮาถูกฮ่องเต้โปรดปรานมาสิบกว่าปี เจี่ยซูเฟยจะเทียบได้อย่างไร
เทียบรูปลักษณ์ เทียบอายุ เจี่ยซูเฟยพ่ายแพ้ราบคาบ
ความจริงแล้วคนตระกูลเถาคิดไม่ตก เหตุใดฮ่องเต้จึงโปรดปรานเจี่ยซูเฟยที่แก่กว่าฮองเฮาหนึ่งปี
เพราะเจี่ยซูเฟยให้กำเนิดโอรส?
แต่พระสนมที่ให้กำเนิดโอรสไม่ได้มีเพียงเจี่ยซูเฟยคนเดียว
คิดไปคิดมา ย่อมต้องเป็นเพราะชาติตระกูลของเจี่ยซูเฟย
ตระกูลเจี่ยถือเป็นตระกูลชั้นกลาง บิดาและพี่ชายของนางล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก บุตรหลานในตระกูลร่ำเรียนรับราชการ จากพื้นฐานของตระกูลนั้น พวกเขาใสสะอาดกว่าตระกูลเถา
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดคือ ทั้งตระกูลเจี่ยไม่มีผู้ใดมือเปื้อนเลือดของเหล่าท่านอ๋อง
ตระกูลเถานับแต่สังหารเหล่าท่านอ๋องแทนฮ่องเต้ก็ไม่อาจใสสะอาจได้อีก ถือว่ามือแปดเปื้อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
คนทั้งสองตระกูลปะทะกันไปมาในราชสำนัก ทำให้สงครามทางใต้ได้รับผลกระทบ
เวลานี้ฮ่องเต้หย่งไท่จึงยื่นมือออกมาห้ามปราม ให้พวกเขาต่างคนต่างอยู่อย่างสงบ
สงครามทางใต้กำลังปะทุ…
เพียงแค่ระยะทางห่างไกล ข่าวไม่อาจส่งมาถึงได้ตรงเวลา
แพ้ชนะอย่างไร ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด
ความสนุกตรงหน้าไม่อาจดูได้อย่างสาแก่ใจ
องค์ชายหกทูลขอพระราชโองการไปฝึกฝนในกองทัพเหนือ ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงอนุญาต
คราวนี้ทั้งองค์ชายสามและองค์ชายหกล้วนอยู่ในกองทัพเหนือ เกรงว่าจะตีกันขึ้นมา
มีเพียงองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินที่ทำตัวเหมือนไม่เกี่ยวข้อง
เขาเป็นแค่คนป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่เข้าท้องพระโรง ไม่เข้าร่วมการเมือง ไม่ถกเถียงเรื่องการเมือง
เขาเป็นแค่องค์ชายที่กินเงินเดือน แต่ละวันไร้เรื่องที่จะต้องทำ ไม่กำลังดื่มยา ก็กำลังเตรียมดื่มยา
ไม่มีผู้ใดสนใจเขา
เขายิ่งไม่ต้องการให้ผู้อื่นสนใจเขา
เพียงแต่ เมื่อเห็นกำหนดการเก็บหนี้ใกล้เข้ามา เหตุใดทางเยียนอวิ๋นเกอจึงไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย
นางคงไม่คิดจะไม่จ่ายใช่หรือไม่
เฟ่ยกงกงข่มขู่ “หากเยียนอวิ๋นเกอกล้าไม่จ่าย กระหม่อมจะนำคนไปพังเรือนพักของนางให้ราบเป็นหน้ากลอง”
เซียวเฉิงเหวินไม่ออกความเห็น
เยียนอวิ๋นฉีเดินเข้ามาจากด้านนอก นางพูดด้วยความไม่พอใจเฟ่ยกงกง “น้องสี่ของข้าไม่มีทางไม่จ่าย เวลานี้เป็นเวลาการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งเรือนพักคงจะยุ่งมาก หากต้องการจ่ายหนี้ก็ต้องรอครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน รอเรือนพักยุ่งเรื่องการเก็บเกี่ยวเสร็จ”
เฟ่ยกงกงยังอยากพูดบางอย่าง แต่ถูกเซียวเฉิงเหวินรั้งเอาไว้
เซียวเฉิงเหวินพูด “ข้าเชื่อว่าคุณหนูสี่จะจ่ายหนี้ ถึงแม้นางจะกล้าไม่จ่ายข้า แต่นางก็คงไม่กล้าไม่จ่ายสำนักเซ่าฝู่ ทางด้านสำนักเซ่าฝู่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว ข้าก็ไม่รีบ”
เยียนอวิ๋นฉีนั่งลง “หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าองค์ชายเจรจากับน้องสี่อย่างไรในเวลานั้น หม่อมฉันรู้เพียงน้องสี่ต้องให้เสบียงแก่องค์ชายในปีนี้ ไม่รู้องค์ชายมีคลังกักเก็บเสบียงเหล่านี้หรือไม่เพคะ”
“เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
เยียนอวิ๋นฉีพูดขึ้น “ในสินสอดของหม่อมฉันมีร้านค้าหนึ่ง หากองค์ชายทรงเชื่อมั่นหม่อมฉัน สามารถวางขายในร้านเสบียงของหม่อมฉัน ไม่รู้องค์ชายทรงมีความเห็นอย่างไรเพคะ”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะขึ้นมา “เจ้ามีใจแล้ว! ข้ายอมวางขายเสบียงไว้ในร้านของเจ้า แต่จะดำเนินการอย่างไร ให้เฟ่ยกงกงหารือกับผู้ดูแลร้าน”
เยียนอวิ๋นฉีกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยองค์ชายที่เชื่อมั่น”
“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน เจ้าไม่ต้องเกรงใจ มีเรื่องหนึ่งข้าสงสัยอย่างมาก ร้านเสบียงของเจ้า ขายเสบียงมากเท่าใดในหนึ่งปี”
“หม่อมฉันไม่รู้จำนวนตัวเลขที่แน่ชัด คงจะไม่ถึงหนึ่งพันหาบ”
อ่อ!
ขายเสบียงไม่ถึงหนึ่งพันหาบ เป็นได้แค่ร้านเสบียงขนาดกลางถึงเล็ก
ร้านค้าเสบียงขนาดใหญ่มีจำนวนการขายอย่างน้อยหลายพันหาบ ถึงหลายหมื่นหาบในหนึ่งปี
เซียวเฉิงเหวินลูบคาง ที่เขาต้องการเสบียงไม่ใช่เพราะเงิน
เขาต้องการนำมาเลี้ยงคน
เลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถใช้งานได้
เสบียงของเยียนอวิ๋นเกอจะแก้ไขปัญหาใหญ่ของเขา
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ เขาไม่จำเป็นต้องบอกเยียนอวิ๋นฉี
เฟ่ยกงกงร้อนใจ เมื่อเยียนอวิ๋นฉีจากไป เขาจึงถาม “องค์ชายจะทรงวางขายเสบียงในร้านของเยียนอวิ๋นฉีจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเบา “ให้เสบียงสองสามร้อยหาบแก่นาง ถือว่าเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยาของข้ากับนาง”
เฟ่ยกงกงโล่งใจ เพียงแค่สองสามร้อยหาบ ไม่มาก สามารถยอมรับได้
เพียงแต่องค์ชายช่างใจกว้างต่อเยียนอวิ๋นฉีเสียจริง
เวลานี้ มีคนจากตำหนักเว่ยยางมาเรียกตัวเซียวเฉิงเหวินเข้าวัง
เซียวเฉิงเหวินประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “เสด็จแม่เรียกข้าเข้าวัง ช่างหาได้ยากนัก”
เฟ่ยกงกงถาม “องค์ชายจะเสด็จเข้าวังหรือ ให้กระหม่อมบอกปัดดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง! เสด็จแม่นานๆ ทีจะเรียกข้าเข้าเฝ้า ข้าย่อมต้องให้เกียรติ ปรนนิบัติข้าเปลี่ยนชุด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
…
เซียวเฉิงเหวินเปลี่ยนชุดใหม่ ออกเดินทางเข้าวังหลวง
เมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง เขาพบว่าการอารักขาภายในวังหลวงดูภายนอกเหมือนเบาบาง แต่ความจริงแล้วเข้มงวดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้น
เหมือนกำลังป้องกันการสั่นคลอนที่จะเกิดขึ้นในเมืองหลวง
เขาสำรวจรอบด้านอย่างเงียบๆ เดินทางมาถึงตำหนักเว่ยยางอย่างไม่รีบร้อน
เขาเป็นคนป่วย เดินช้าหน่อยก็สมเหตุสมผล
เมื่อมาถึงตำหนักเว่ยยาง แม่ลูกพบหน้ากันอย่างไร้ซึ่งความกระตือรือร้น สีหน้าของทั้งคู่ต่างเรียบเฉย
“ถวายบังคมเสด็จแม่!”
เถาฮองเฮายกมือขึ้นเป็นเชิงให้เขานั่งลง
เซียวเฉิงเหวินนั่งลงกับพื้น ยกมือรินน้ำชาให้ตนเอง
เขาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เถาฮองเฮานั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงหลัวฮั่น นางสวมใส่อย่างเรียบง่าย แต่งหน้าอย่างประณีต แต่ไม่อาจปิดบังความเหนื่อยล้าในดวงตาได้
นางเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อของเจ้านับวันยิ่งลงมือโหดเหี้ยมขึ้น ขุนนางฝ่ายตระกูลเถาส่วนใหญ่ล้วนถูกถอดหรือถูกย้าย ตระกูลเจี่ยฉวยโอกาส ขุนนางฝ่ายราชสำนักและขุนนางฝ่ายทหารต่างถาโถม พวกเขาต่างอยากทำให้ตระกูลเถาตาย ทำให้ข้าตาย เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไร”
เซียวเฉิงเหวินจิบชา ใบชาใหม่ของปีนี้ รสชาติดีเยี่ยม
เนื่องจากทางใต้กำลังทำสงคราม อีกทั้งการขนส่งยากลำบาก ราคาใบชาจึงแพงขึ้นอย่างมาก
คนส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าไม่สามารถดื่มชาในปีนี้ได้
แน่นอนว่าวังหลวงไม่มีปัญหานี้
เขายกแก้วชา เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “ในพระทัยของเสด็จแม่มีความคิดอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องถามความคิดของกระหม่อม”
“ความคิดในใจของข้ายังไม่สุกงอม ดังนั้นจึงอยากถามความเห็นของเจ้า” เถาฮองเฮาพูดอย่างตรงไปตรงมา
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ เขาวางแก้วชาลง พลันถามเสียงเบา “วิธีมีแค่สองแบบ ไม่คล้อยตามก็ต่อต้าน ไม่รู้ว่าเสด็จแม่จะทรงคล้อยตามหรือต่อต้าน”
เถาฮองเฮายืดตัวตรง ถามต่อ “คล้อยตามอย่างไร ต่อต้านอย่างไร”
เซียวเฉิงเหวินพูดตามตรง “หากทรงเลือกคล้อยตาม พระองค์ย่อมต้องตัดแขนขาตนเอง ทำลายอนาคตของตนเอง ตระกูลเถาออกจากเมืองหลวงกลับไปกบดานที่บ้านเกิด เสด็จพ่ออาจทรงเห็นแก่เยื่อใยในอดีตปล่อยตระกูลเถาไป หากทรงเลือกต่อต้าน อันดับแรกคืออำนาจทางการทหาร แต่เสด็จพ่อย่อมทรงต้องป้องกันเรื่องนี้ ตระกูลเถาทำได้เพียงจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว จึงจะมีโอกาสสำเร็จ นอกจาก…”
“นอกจากอันใด” เถาฮองเฮาถามอย่างกังวล
เซียวเฉิงเหวินพูด “นอกจากเวลา สถานที่ให้การสนับสนุน”
เถาฮองเฮาครุ่นคิด
เวลาและสถานที่ที่ว่าย่อมหมายถึงเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในแถบนครบาล เมืองหลวงถูกคนโจมตีจากด้านนอก
เป็นไปได้หรือ
กองทัพเหนือมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อได้รับความร่วมมือจากกองกำลังส่วนตัว โจมตีจนกองกำลังของเหล่าท่านอ๋องกระเจิดกระเจิง
ดูจากสถานการณ์ สงครามของเหล่าท่านอ๋องที่สั่นคลอนไปทั่วแผ่นดินกำลังจะปิดฉากลง แผ่นดินกำลังจะกลับคืนสู่ความสงบ
เวลานี้ คิดว่าไม่มีผู้ใดคิดจะยกกองกำลังก่อกบฏ
เถาฮองเฮาพูด “รอสงครามทางใต้จบสิ้นลง เสด็จพ่อของเจ้าย่อมมีบารมีที่เพียงพอแล้ว”
เมื่อถึงเวลา อำนาจของฮ่องเต้หย่งไท่ย่อมต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เซียวเฉิงเหวินพูด “สงครามจบสิ้นลง แผนการของเสด็จพ่อถือว่าเสร็จสิ้นไปกว่าครึ่ง หลังจากนี้ย่อมเป็นการเรียกคืนพื้นที่ศักดินาตามแผนการ”
“เจ้าคิดว่าเหล่าท่านอ๋องจะส่งคืนพื้นที่ศักดินาอย่างเชื่อฟังหรือ”
“เหล่าท่านอ๋องพ่ายแพ้ในมือของเสด็จพ่อ ถึงแม้จะไม่ยอมส่งคืนพื้นที่ศักดินาแล้วอย่างไร นอกจากมีท่านอ๋องกล้าติดต่อแม่ทัพ ยกกองกำลังก่อกบฏ”
เถาฮองเฮากัดฟัน “เหล่าท่านอ๋องในแผ่นดินเป็นแค่คนไม่เอาไหน มีทั้งกองกำลัง มีทั้งเสบียงจำนวนมาก แต่กลับไม่อาจเอาชนะกองทัพเหนือและกองทัพใต้ที่มีคนน้อยได้”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “กองทัพเหนือและกองทัพใต้มีการฝึกฝนทุกวัน เป็นกองทัพที่ทุกคนต่างยอมรับว่าแข็งแกร่ง ถึงแม้จะมีจำนวนคนไม่มาก แต่พวกเขาหนึ่งคนสามารถปะทะกับห้าคนได้ กองทัพของเหล่าท่านอ๋องฝึกฝนน้อย ย่อมไม่อาจต่อกรกับกองทัพเหนือและกองทัพใต้ได้”
เถาฮองเฮาถอนหายใจ ถามอย่างจริงจัง “หากมีวันหนึ่ง ตระกูลเถาล่มสลาย ชีวิตของข้าไม่ปลอดภัย เจ้าจะทำอย่างไร”
นางอยากถามว่าองค์ชายสองจะแก้แค้นแทนนางหรือไม่
แต่คำตอบของเซียวเฉิงเหวินทำให้นางผิดหวัง
เขาพูด “กระหม่อมจะมีชีวิตอยู่อย่างดี!”
[1]ซูเฟย ตำแหน่งพระชายาลำดับที่ 2 ในองค์จักรพรรดิ