“แม้แต่เผ่าของบิดาที่ถูกกักขังเอาไว้ใต้ก้นทะเลลึกกันทั้งหมด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นลมที่รุนแรงโลหิตหลั่งรินราวสายฝน ในสงครามครั้งนั้น ซากศพที่ถูกโยนลงมาในทะเลมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน….ทุกๆวันมีศพมากมายเกินจะนับได้จมลงสู้ก้นทะเล แม้แต่น้ำในทะเลก็ยังถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงฉาน”
“อืม เรื่องราวหลังจากนั้น เจ้าก็คงจะรู้ชัดอยู่แล้ว …..เผ่าหมิงดับสูญ ซื่อมั่วไปซ่อนตัวอยู่ในโลกปัจจุบัน ….เอ้ย หลังจากที่ซื่อมั่วไปที่โลกปัจจุบันใบนั้น เขาก็เปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับตนเอง”
ตู๋กูซิงหลัน “อ๋อ?”
อาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย มิน่าเล่า….ผู้คนที่รู้จักวิชาคุณไสยและคาถาในโลกต่างก็รู้ว่ามีซื่อมั่วอยู่ แต่ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเขาคืออดีตหมิงอ๋อง
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันก็เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆอยู่เหมือนกัน
ที่แท้ซื่อมั่ว….ไม่ใช่นามเดิมของท่านอาจารย์นั่นเอง?
“ถ้าเช่นนั้นนามเดิมของเขาคืออะไร?” ตู๋กูซิงหลันถามต่อไป
เยี่ยจ้านเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสีหน้าเคอะเขิน หากเขาบอกว่า เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่าตอนที่ซื่อมั่วเป็นหมิงอ๋องนั้นเคยมีชื่อว่าอะไร บุตรสาวสุดที่รักใช่จะดูถูกเขาหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันรออยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา ดังนั้นจึงหันไปจ้องมองเยี่ยจ้านอยู่ครู่หนึ่ง “บิดา อย่าบอกนะว่าแม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้?”
“พวกท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยจ้าน “ระหว่างพี่น้องก็อาจจะมีความลับเล็กๆน้อยๆบ้างก็ได้นิ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ก็แค่ชื่อ ไม่ถือเป็นความลับอันใดกระมั้ง?”
นางชักจะรู้สึกว่าความเป็น ‘พี่น้อง’ ของบิดากับอาจารย์นี้ช่างน่าสงสัยเข้าไปใหญ่แล้ว มีอย่างที่ไหนสาบานกันเป็นพี่เป็นน้องแต่แค่ชื่ออะไรก็ยังไม่รู้จัก?
“เขาไม่ยอมบอก บิดาก็ไม่มีหนทางอื่น….” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ “สำหรับคนอย่างซื่อมั่ว นามนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่อาจบอกกับผู้อื่นได้โดยง่าย หากไม่ระมัดระวังก็อาจจะกลายเป็นภัยถึงแก่ชีวิตได้เลย”
ตู๋กูซิงหลัน “เช่นนั้นก็แปลว่าอาจารย์ไม่เชื่อถือท่านสักเท่าไหร่สินะ?”
เยี่ยจ้านถูกจี้ใจดำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งในทันที เขารู้แล้วว่าความสามารถด้านการทิ่มแทงผู้คนของบุตรสาวสุดที่รักนั้นได้รับสืบทอดมาจากเขาไปอย่างสมบูรณ์แบบ
อืม…..สมแล้วที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา
“หากว่าเขาไม่ได้เชื่อถือบิดา แล้วยังจะรับปากเลี้ยงดูเจ้าอีกหรือ?” เยี่ยจ้านถามกลับไป “ถึงบิดาจะมองไม่เห็นเจ้า แต่แค่ใช้มือคลำดูก็รู้แล้วว่า ซื่อมั่วเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี จนขาวนุ่มถึงเพียงนี้”
“ตู๋กูซิงหลัน “นั่นมันเป็นเพราะบิดาท่านเชื่อใจอาจารย์ ถึงได้มอบข้าให้เขาเลี้ยงดูต่างหาก”
เยี่ยจ้าน “….” บุตรสาวเอ่ย หากเจ้าแม้ได้พูดจาทิ่มแทงออกมา จะรู้สึกไม่สบายตัวใช่หรือไม่?
สองพ่อลูกพากันเงียบงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเยี่ยจ้านก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ ลูกเอ๋ย บิดาว่าพวกเราคงจะคุยกันต่อไม่ไหวแล้ว”
ทันทีที่พูดออกมาก็เห็นเขายกมือขึ้นมากดทรวงอกเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “บิดารู้สึกเจ็บหัวใจมากเลย บุตรสาวของตนเองแท้ๆ แต่ว่ากลับไม่มีความเชื่อใจบิดาเลยแม้แต่น้อย”ในตอนนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้ว่าความสามารถด้านการแสดงของตนเองที่จริงแล้วได้รับมาจากผู้ใดกัน
นี่ยังไม่ใช่เพราะ….มีบิดาคนงามที่เป็นจอมแสดงตัวฉกาจหรอกหรือ
นางเองก็กดลงไปที่ทรวงอก ด้วยท่าทางที่ทรมานเช่นกัน “บิดา หัวใจของข้าก็ปวดมากๆเลย อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาตั้งไกล แต่ว่าข่าวสารที่ได้มากลับไม่มีประโยชน์ใดๆเลยสักนิด ภาพลักษณ์ของบิดาที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในหัวใจของข้า ตอนนี้กลับค่อยๆถล่มทลายลงมา”
เยี่ยจ้าน “….”
อืม ขอยืนยันอีกสักครั้ง นี่คือบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน ไม่มีทางผิดตัวไปได้อย่างเด็ดขาด
เขาคลายมือออกจากอก สีหน้าคืนสู่ยามปกติ
“พูดถึงที่สุดแล้ว ซื่อมั่วก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ย่อมต้องถูกพวกชาวสวรรค์หวาดระแวงเป็นธรรมดา วันนี้พวกมันสามารถทำลายร่างเนื้อของเขาได้แล้ว ต่อไปจะกลับคืนมาได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าลูกเอ๋ย เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก สิ่งที่พวกชาวสวรรค์ทำฟังดูเหมือนเป็นฝ่ายถูกต้อง แต่ว่าความเป็นจริงคือไม่ยอมให้ผู้อื่นคัดค้าน และไม่มีผู้ใดกล้าวิพากย์วิจารณ์”
ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เป็นเรื่องของเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่”
หากยึดตามที่อาจารย์บอก ตอนนั้นเป็นช่วงที่ท่านอาจารย์ครบกำหนดหมื่นปีที่จะต้องแบ่งภาคมาจุติ แต่ว่ากลับมีคนบุกเข้าไปแย่งชิงหยกสรรพชีวิตในเผ่าหมิง และคนผู้นั้นก็คือ เง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่
กับเรื่องของเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้นี้ อาจารย์กลับเล่าข้ามไปเสียเฉยๆ จะช้าหรือเร็วนางก็ต้องบุกขึ้นไปบนสวรรค์ การได้รู้เรื่องของเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับนาง
พอพูดถึงเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแดนสวรรค์ มุมปากของเยี่ยจ้านก็เบ้ไปอีกหลายส่วน
ดวงหน้าหล่อเหลาของเขาทั้งซับซ้อนและน่ากลัวขึ้นมาอีกหลายส่วน
“คนผู้นี่มีนามว่า ตี้เสีย เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ที่พระชนมายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่มีมาในประวัติศาสตร์”
“ตี้เสีย …..” ตู๋กูซิงหลันทบทวนชื่อสองคำนี้ในใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้ในโลกปัจจุบัน ก็มีบันทึกถึงเง็กเซียนฮ่องเต้องค์หนึ่งที่มีนามว่า ตี้จุน เอาไว้ว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งสองต่างมีแซ่ตี้เหมือน ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ว่าไปแล้วก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ ที่นามของเขา เหมือนกับนามของเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์แรก”
เง็กเซียนฮ่องเต้ พระองค์แรก….นั่นเป็นเรื่องที่เนิ่นนานมาขนาดไหนแล้ว
“ตอนที่สวรรค์และแผ่นดินแยกออกจากกันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งบรรพกาลมาแล้ว ตอนนั้นหกภพภูมิได้ให้กำเนิดเทพบรรพกาลขึ้นมามากมาย เง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์แรกตี้เสียก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”
“เรื่องนี้จะว่าไป เง็กเซียนฮ่องเต้ประองค์ใหม่ในปัจจุบันก็ว่ากันว่ามีรูปโฉมที่คล้ายคลึงกับเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์แรกอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงเป็นไท่จื่อของเผ่าสวรรค์ ก็ได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทพเซียนทั้งหลายแล้ว”
“ตี้เสียพระองค์นี้ จิตใจทะเยอทะยาน พอขึ้นครองราชย์ก็ควงดาบเปิดฉากนองเลือดไปทั่วทั้งหกภพภูมิ เผ่าแรกที่ถูกสังหารจนสิ้นซากไปก็คือเผ่ามาร ที่ทั้งเผ่าพันธุ์ถึงกับดับสูญ”
นับแต่โบราณกาลมาทั้งเทพและมารก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด การที่ตี้เสียที่ทรงเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ใช้พวกมารมาสังเวยคมดาบ นี่ยังนับว่าพอเข้าใจได้อยู่
เนื่องเพราะพวกมารนั้น…..หากว่ากันตามจริงแล้ว ก็เป็นพวกดื้อด้านอยู่แล้ว
“ตอนนั้นกองทัพสวรรค์หนึ่งแสนบุกแดนมารจนราบคาบ แม้แต่จอมมารก็ยังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้จับขังอยู่ใต้จิ๋วเยาซาน นับแต่นั้นเป็นต้นมาทุกวันและคืนต้องถูกไฟนรกเผาผลาญทนทรมานอย่างที่สุด และไม่อาจหลุดพ้นได้ตลอดกาล”
“ตอนนั้นบิดาไม่อาจทนดู จึงได้กล่าวทัดทานเขาออกไปประโยคหนึ่ง แต่ผลที่ตามมาของการห้ามปรามช่างโหดร้าย ถึงกับนำมาซึ่งเภทภัยต่อเผ่ามังกรทมิฬทั้งหมด กลายเป็นว่าเป้าสังหารต่อไปของตี้เสียถึงกับเจาะจงลงมาที่เผ่ามังกรทมิฬ กลายเป็นการเปิดฉากสงคามที่โหดร้ายอีกครั้ง”
“ยังโชคดีที่ซื่อมั่วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ มิเช่นนั้นเผ่ามังกรทมิฬก็คงต้องมีจุดจบเช่นเดียวกันกับเผ่ามาร”
ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงตี้เสียขึ้นมา ทั่วร่างของเยี่ยจ้านก็แผ่ไอสังหารออกมา
เปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงจะไม่มีผู้ใดที่ยอมให้อภัยผู้ที่กักขังเผ่าพันธุ์ทั้งหมดของเขาเอาไว้ได้ง่ายๆหรอกกระมั้ง?
“เขาได้เป็นถึงเง็กเซียนฮ่องเต้บนสรวงสวรรค์แล้ว หากเพื่อจะส่งเสริมเกียรติคุณความดีของตน การปราบปรามเผ่ามาร ก็ต้องถือว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูพอแล้ว ทำไมยังจะต้องลงมือกับเผ่ามังกรทมิฬของบิดาและอาจารย์อีก?”
“ราวกับว่าต้องการสร้างศัตรูไปทั่วหกภพภูมิอย่างไรอย่างนั้น”
ตู๋กูซิงหลันแสดงความเห็นของตนเองออกมา นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจพฤติกรรมของเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้นี้ โดยเฉพาะทั้งๆที่ผ่านมาตั้งนานถึงหมื่นปีแล้ว แต่ทันทีที่เขาเสาะหาอาจารย์พบ ก็สั่งให้ลงมือสังหารอาจารย์ในทันที
เพราะเพื่อต้องการจะกำจัดเผ่าหมิงให้สิ้นซากแค่นั้นนะหรือ?
หรือว่าเขาเกรงกลัวว่าอาจารย์จะไปแก้แค้น?
หรือว่า….ยังจะมีเหตุผลอื่นอยู่อีก?
เพราะว่าด้วยฝีมือของท่านอาจารย์ หากว่าเขาต้องการจะแก้แค้นละก็ สมควรลงมือไปตั้งนานแล้ว ไม่มีทางถ่วงรั้งมานานจนถึงวันนี้หรอก
ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีแต่ข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด นางรอให้บิดาคนงามบอกคำตอบออกมา
แต่ว่าที่สุดแล้ว แม้แต่เยี่ยจ้านก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร
“บางที…..อาจเป็นเพราะว่าจิตใจของเขาทะเยอทะยานมากเกินไป คิดจะรวบรวมทั้งหกภพภูมิให้เป็นหนึ่งเดียวกระมัง”
………………………………………………