ตอนที่ 135 พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว
จวนซื่อจื่อแห่งรัฐอวี้โจว
เซียวอี้ปลอมตัวเข้ามาปรากฏในห้องตำราของจวนซื่อจื่อ
“หลานทักทายท่านลุง!”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนมองพินิจเขา พลันถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “สงคราม ใกล้จบสิ้นแล้วหรือไม่!”
เซียวอี้พยักหน้า “เหล่าท่านอ๋องไร้ซึ่งหนทางแล้ว ภายในปีนี้คงจะจบสงครามลงได้”
ท่านโหวผิงอู่สืออุนพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ ทั้งตัวผ่อนคลาย “เจ้ามาพบข้าในเวลานี้ มีเรื่องใด”
เซียวอี้พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามาเพื่อถามว่าจะจัดการเรื่องหลังจากสงครามสิ้นสุดอย่างไร”
โอ๊ะ
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนเลิกคิ้วยิ้ม “เจ้าต้องการสิ่งใด”
เซียวอี้พูดขึ้น “ข้าอยากให้พี่ใหญ่สืบทอดตำแหน่งท่านอ๋อง”
เอ๊ะ?
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนหรี่ตาลง “เจ้ายอมยกตำแหน่งท่านอ๋องให้พี่ใหญ่ของเจ้าหรือ”
เซียวอี้ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ทุกคนต่างคิดว่าข้าอยากได้ตำแหน่งท่านอ๋อง แต่หารู้ไม่ว่านับแต่ต้นจนจบ เจตนารมณ์ของข้าไม่ใช่ตำแหน่งท่านอ๋อง ข้าไม่ต้องการตำแหน่งท่านอ๋อง แต่บุตรชายของสตรีผู้นั้นก็ไม่สมควรได้”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนหัวเราะเสียงเบา พลันถาม “เจ้าไม่ต้องการตำแหน่งท่านอ๋อง แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด เจ้าก่อเรื่องมากมายขึ้นมา สิ่งที่เจ้าต้องการคืออันใด”
เซียวอี้สับสนไปชั่วขณะ แต่สายตาของเขาก็แน่วแน่ขึ้นในชั่วพริบตา “ข้าอยากเป็นอิสระ ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้น ข้าอยากมีชีวิตอยู่อย่างอิสรภาพ ท่านลุงเชื่อข้าหรือไม่”
เชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนยิ้ม “ความคิดเป็นเอกลักษณ์ดี ข้าคิดมาเสมอว่าเจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นศัตรูกันมานานแล้ว ไม่คิดว่าพวกเจ้าพี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียวกัน เจ้าจะวางแผนแย่งชิงตำแหน่งท่านอ๋องแทนเขาด้วย”
เซียวอี้พูดขึ้น “พี่ใหญ่เป็นบุตรชายคนโต สมควรให้เขาสืบทอดตำแหน่งท่านอ๋อง”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนเคาะโต๊ะเบาๆ ถามขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้ง “เจ้ามั่นใจว่าเจ้าไม่ต้องการตำแหน่งท่านอ๋องหรือ”
“ใช่! ข้าไม่ต้องการ ข้าถูกท่านพ่อขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลมานานแล้ว ตำแหน่งนั้นข้าไม่มีวาสนา”
“แต่เจ้าเป็นคนของฝ่าบาท เจ้าทำสงครามชนะเหล่าท่านอ๋องแทนฝ่าบาท หากเจ้าอยากสืบทอดตำแหน่งอ๋องของจวนท่านอ๋องตงผิง ฝ่าบาทคงจะทรงทำให้เจ้าสมปรารถนา”
“ท่านลุงกำลังหลอกข้าหรือ สงครามสิ้นสุดลง ฝ่าบาทจะทรงฉวยโอกาสเรียกคืนพื้นที่ศักดินา อำนาจทางการทหาร รวมทั้งอากรส่วยจากเหล่าท่านอ๋อง อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะกักขังเหล่าท่านอ๋องไว้ในเมืองหลวง ตำแหน่งท่านอ๋องเช่นนี้ ข้ารับมาจะมีประโยชน์อันใด นอกจากตำแหน่งท่านอ๋องแล้ว ไร้ประโยชน์ที่แท้จริงแม้แต่น้อย ไม่อาจครอบครองได้แม้แต่อำนาจทางการทหาร หากเป็นท่านลุง ท่านจะอยากได้หรือไม่”
“ฮ่าๆๆ …”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนชี้เซียวอี้พลันหัวเราะร่า
หลังจากหัวเราะ เขาจึงพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าใจกล้าเสียอีก ไม่คิดว่าเจ้าจะมีแผนการอยู่เต็มท้อง พี่ใหญ่เจ้าได้ตำแหน่งท่านอ๋องยังต้องขอบคุณเจ้า หารู้ไม่ว่าท่านอ๋องที่ไร้ซึ่งอำนาจทางการทหาร ไร้ซึ่งพื้นที่ศักดินาไม่อาจเทียบได้แม้แต่ขุนนางในท้องถิ่น”
เซียวอี้ก้มหน้ายิ้ม “ท่านลุงผิดแล้ว ครานี้ข้าตั้งใจช่วยพี่ใหญ่แย่งชิงตำแหน่งจริง ไม่ได้มีแผนการ”
ท่านโหวผิงอู่ สืออุนยิ้มอย่างมีนัย “แล้วแต่เจ้าจะพูดอย่างไร ดำพูดจนกลายเป็นขาว ขาวพูดจนกลายเป็นดำล้วนเป็นความสามารถของเจ้า ข้าสามารถรับปากช่วยเจ้าแย่งชิงตำแหน่งท่านอ๋องให้พี่ใหญ่เจ้าได้ รอสงครามจบสิ้น เจ้าอยู่ในเมืองหลวงนำทัพต่อไป ทางข้ายังไม่ต้องการเจ้า”
เซียวอี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านลุง! ข้าจะอยู่เป็นหูเป็นตาในเมืองหลวงให้ท่านลุงต่อไป”
“ดีมาก! จับตาดูกองทัพเหนือแทนข้า อย่าปล่อยผ่านแม้แต่การเคลื่อนไหวเดียว”
“ขอรับ!”
ประตูเมืองปิดลง คืนวันนั้น เซียวอี้พักอยู่ในจวนซื่อจื่อ
รอถึงวันใหม่ ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ประตูเมืองเพิ่งเริ่มเปิด เซียวอี้ก็นำคนของตนเองปลอมตัวขี่ม้าพุ่งออกประตูเมือง ออกจากรัฐอวี้โจวไป
…
เมืองหลวง
ปีแห่งการเก็บเกี่ยว ผู้คนบนถนนหนทางต่างดีใจ
ทางใต้ทำสงครามอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงแค่ไม่กระทบต่อชีวิตของตนเองก็พอ
แต่แล้วบรรดาขุนนางกลับยิ้มไม่ออก
เพราะเหตุใด
เพราะทำสงคราม ส่วยทางใต้เก็บไม่ได้
ราชสำนักรายรับน้อยกว่ารายจ่าย อีกทั้งยังต้องสนับสนุนค่าใช้จ่ายของกองทัพ
สำนักการคลังเริ่มบ่นตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้
“ฝ่าบาท ไม่มีเงินพ่ะย่ะค่ะ! พระคลังร่อยหรออย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางชรากลุ่มหนึ่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนราชสำนัก ราวกับฮ่องเต้ไปกินหรือใช้ของในตระกูลของเขา
ฮ่องเต้ก็ทรงกลัดกลุ้มอย่างมาก
สำนักการคลังไม่มีเงิน ทำได้เพียงโยกย้ายเงินเสบียงมาแก้ไขปัญหาขาดแคลนของสำนักการคลัง
สงครามทางใต้ไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้อีก
อีกทั้งอาศัยเพียงแค่สำนักเซ่าฝู่สนับสนุนเสบียงคงจะเป็นไปไม่ได้
เวลานี้ ตระกูลชนชั้นสูงต้องให้ความช่วยเหลือ ร่วมกันแก้ไขปัญหาของราชสำนัก
เพิ่งผ่านการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไป ตระกูลใหญ่ต่างๆ ย่อมมีเสบียงจำนวนมาก
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ทรงเกรงใจ เขาเสนอให้ทุกตระกูลออกเงินออกเสบียงเพื่อสนับสนุนสงครามทางใต้กลางท้องพระโรง
หากผู้ใดกล้ารับปากแล้วไม่ทำตาม เฮอะๆ …
บรรดาขุนนางตระกูลชนชั้นสูงย่อมไม่ยอม
เพราะเหตุใดกัน
เพราะเหตุใดราชสำนักทำสงคราม ต้องให้ตระกูลชนชั้นสูงออกเงินออกเสบียง
ฮ่องเต้หย่งไท่ใช้คำพูดเดียวตอกกลับบรรดาขุนนางจากตระกูลชนชั้นสูง
“สงครามสิ้นสุดลง ราชสำนักจะเรียกคืนพื้นที่ศักดินาจากเหล่าท่านอ๋อง พื้นที่ศักดินาเหล่านี้จะจำหน่ายโดยทางราชการหรือมอบหมายให้สำนักเซ่าฝู่ดูแล สร้างเป็นแปลงนาหลวง เรื่องนี้ข้ามีความคิดมากมาย ข้าคิดว่าหากเปลี่ยนพื้นที่ศักดินาของเหล่าท่านอ๋องให้กลายเป็นแปลงนาหลวงทั้งหมดนั้นเป็นความคิดที่ดีมาก”
ได้อย่างไร!
ทุกคนต่างสูญเสียแรงกายแรงใจ สร้างศัตรูกับบรรดาเหล่าท่านอ๋องทั่วแผ่นดิน สุดท้ายพื้นที่ศักดินากลายเป็นแปลงนาหลวง พวกเขาไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย
ไม่ได้ ไม่ได้!
ไม่ได้เด็ดขาด!
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดต่อ “ข้าคิดว่าให้ราชการจัดจำหน่ายพื้นที่ศักดินาก็เป็นอีกหนึ่งวิธี เพียงแต่…สงครามทางใต้กำลังตึงเครียด ขาดเงินขาดเสบียง หากสงครามนี้พ่ายแพ้ขึ้นมา ข้าก็หมดหนทาง”
ดี!
ขุนนางฝ่ายราชสำนักและขุนนางฝ่ายทหารต่างเข้าใจแล้ว
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่เอาแม้แต่ศักดิ์ศรีเพียงเพื่อให้ทุกคนออกเงินออกเสบียง
เขากำลังบีบให้ทุกคนเสียเลือด!
ไม่เสียเลือด พื้นที่ศักดินาจะกลายเป็นแปลงนาหลวง
หากเสียเลือด ผลประโยชน์แบ่งครึ่ง
การแลกเปลี่ยนนี้เป็นอย่างไร
คุ้มค่า!
ในเมื่อคุ้มค่า การออกเงินออกเสบียงก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
กระบวนการถูกกำหนดแล้ว เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังคงแอบบ่นอยู่ลับหลัง
“ฮ่องเต้ทำสงครามกับเหล่าท่านอ๋อง พวกเราไม่เพียงต้องออกกองกำลังช่วยทำสงคราม ยังต้องออกเงินออกเสบียงอีก”
“สงสัยสงครามในคราวนี้ล้วนเป็นสงครามของพวกเราเอง”
“พวกเราเป็นคนออกเงินออกเสบียง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายกว่าครึ่ง แต่กลับต้องแบ่งผลประโยชน์กับฮ่องเต้คนละครึ่ง การแลกเปลี่ยนนี้ขาดทุนเสียจริง!”
“ขาดทุนคงไม่ขาดทุน เพียงแต่ฮ่องเต้มือดำไปหน่อย ใจใหญ่ไปหน่อย เขามั่นใจว่าพวกเราไม่อาจทนดูเหล่าท่านอ๋องชนะสงครามในครั้งนี้ได้ จึงไร้ความเกรงกลัว”
“ช่างไร้ความเกรงกลัวเสียจริง”
ถึงแม้จะบ่น แต่เสบียงและเงินที่ควรออกก็ไม่ขาดแม้แต่น้อย
…
ตระกูลหลิงเป็นตระกูลใหญ่จำนวนน้อยในเวลานี้ พวกเขาย่อมต้องออกเงินออกเสบียง
หลิงฉางจื้อในฐานะขุนนางราชสำนัก ไม่อาจออกจากเมืองหลวงโดยพลการ
ภารกิจออกเงินออกเสบียงแทนราชสำนักจึงมอบหมายให้หลิงฉางเฟิง
หลิงฉางเฟิงต้องออกจากเมืองหลวงไปเพื่อลำเลียงเสบียงและเงินไปยังด่านหน้าด้วยตนเอง
งานนี้เป็นงานเหนื่อย แต่ก็เป็นการฝึกฝนรูปแบบหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถฉวยโอกาสคบหาแม่ทัพในกองทัพ
ผลประโยชน์สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
หลิงฉางจื้อพูดกับเขาอย่างจริงจัง “เจ้าอย่าเห็นว่างานเหนื่อย เจ้าว่างมานานเพียงนี้แล้ว ถึงเวลาตั้งสติทำงาน หากเจ้าทำงานได้ดี อนาคตข้าจะหาทางขอตำแหน่งให้เจ้า”
หลิงฉางเฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “พี่ใหญ่รู้นิสัยของข้า ข้าเป็นคนขี้เกียจ ไม่ชอบรับราชการ ท่านให้ข้าเป็นขุนนางคงจะเป็นการทำให้ข้าลำบากใจ”
หลิงฉางจื้อได้ยินจึงทำหน้าไม่พอใจ “อย่าได้พูดเหลวไหล! เจ้าเป็นบุรุษในตระกูลหลิง สมควรรับราชการ เอาแต่เหลวไหลทั้งวันได้อย่างไร ข้าจะไม่ถามเรื่องในห้องของเจ้า แต่เรื่องอนาคตเจ้าต้องฟังข้า เจ้าวางใจ ท่านพ่อเตรียมคนที่มีความสามารถไว้ให้เจ้าหลายคน หากไม่เข้าใจก็ฟังพวกเขา รับรองเจ้าทำงานได้สำเร็จอย่างแน่นอน”
หลิงฉางเฟิงยังคงไม่เต็มใจ แต่เขาก็ไม่กล้าขัดอย่างเปิดเผย เพียงแค่แอบบ่นพึมพำ “พวกเขาสามารถทำได้ เหตุใดจึงต้องส่งข้าไป อากาศกำลังจะหนาว เวลานี้เดินทางเหน็ดเหนื่อย ลำเลียงเสบียงลงใต้ลำบากมาก หากระหว่างทางติดขัด ปีใหม่ยังไม่อาจกลับจวนได้”
หลิงฉางจื้อหรี่ตาลง “ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเจ้า หากเจ้ากล้าบ่นอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
หลิงฉางเฟิงก้มหน้าส่งเสียงไม่พอใจ พูดเสียงเบา “ท่านเคยไม่เกรงใจต่อข้า”
หลิงฉางจื้อถลึงตา หลิงฉางเฟิงไม่กล้าบ่นอีก
เขายอมรับงานนี้อย่างไม่เต็มใจ เตรียมตัวออกเดินทางลงใต้
เยียนอวิ๋นเพ่ยรู้ว่าเขากำลังจะลำเลียงเสบียงลงใต้จึงร้อนใจ
“ท่านออกจากเมืองหลวง ข้าจะทำอย่างไร”
หลิงฉางเฟิงพูดขึ้น “เจ้าย่อมต้องกลับจวนในแคว้นหงหนง รีบสั่งให้บ่าวรับใช้เก็บสัมภาระ วันพรุ่งนี้เจ้ากับข้าออกจากเมืองหลวงพร้อมกัน”
เยียนอวิ๋นเพ่ยทำหน้าตื่นตระหนก “อะไรนะ ข้าต้องกลับจวน อย่างนั้นหากท่านทำงานสำเร็จก็จะกลับจวนหรือ”
“ข้าย่อมไม่ต้องกลับไป ท่านพี่บอกว่าจะหาตำแหน่งให้ข้าในราชสำนัก ต่อจากนี้ข้าจะอยู่เป็นขุนนางในเมืองหลวง”
“ท่านจะอยู่ในเมืองหลวง ข้าย่อมต้องอยู่ในเมืองหลวง ทางจวนในหงหนง ข้าคิดว่าข้าไม่ต้องกลับไป”
เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่อยากกลับจวนไปเผชิญหน้ากับแม่สามีและสะใภ้คนอื่น
หลิงฉางเฟิงได้ยินจึงถลึงตา “เจ้าไม่กลับไปหรือ เหลวไหลสิ้นดี! เจ้าเป็นสตรี ข้าไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้ากับพี่ใหญ่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน เหมาะสมหรือ”
“ข้า ข้าจะไปพักในจวนอื่น หรือพักในเรือนพักบนภูเขา อย่างไรข้าก็ไม่กลับจวน”
ท่าทีของเยียนอวิ๋นเพ่ยแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับไป
นอกจากหลิงฉางเฟิงกลับไปพร้อมนาง
หลิงฉางเฟิงชี้หน้านาง “เจ้าบังอาจ! คราวนี้เจ้าไม่กลับก็ต้องกลับ มาเมืองหลวงหนึ่งปีกว่า เจ้ายังคิดจะอยู่ต่อถึงเมื่อใด”
เยียนอวิ๋นเพ่ยร้องไห้โฮออกมา “ท่านรังแกข้ามากเกินไปแล้ว! ข้ายังไม่ทันตั้งครรภ์ ท่านก็ไล่ข้ากลับจวน ท่านอยากให้ข้าเป็นหม้ายไปทั้งชีวิต ไม่มีแม้แต่บุตรอย่างนั้นหรือ วันนี้ไม่ว่าท่านพูดอย่างไร ข้าก็ไม่กลับไป นอกเสียจากท่านตีข้าให้ตาย ยกร่างของข้ากลับไป”
“เจ้า เจ้า เจ้าช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”
“ข้าไร้เหตุผลก็เพราะท่านบีบเค้นข้า หากท่านยอมให้ข้ามีบุตร ไม่ต้องให้ท่านบีบเค้น ข้าจะพาบุตรกลับจวนเอง จะได้ไม่ต้องทนรับอารมณ์ต่อหน้าท่าน”
เยียนอวิ๋นเพ่ยถูกบีบจนถึงทางตันจึงแข็งกร้าวขึ้นมา
เมื่อได้ระบายออกมา นางก็พูดจนหลิงฉางเฟิงไร้คำพูด
เขาโกรธจัด จึงพูดขึ้น “เจ้าอยากได้บุตรไม่ใช่หรือ! ได้ คืนนี้ข้าจะให้บุตรแก่เจ้า”