ตอนที่ 138 บุคคลอันตราย
เยียนมู่ผู้เป็นจั่งกุ้ยใหญ่แห่งร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย เอาสองมือไขว้หลัง กำลังเดินสำรวจแต่ละสาขา
ด้านหลังเขามีเด็กในร้านตามมาสองคน นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าที่เย็นชา
ชายหนุ่มแซ่หลิว ทุกคนเรียกเขาว่าหลิวสือ
ตอนต้นปี เยียนอวิ๋นเกอช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ระหว่างทางกลับจากเรือนพักร่ำรวย คนผู้นี้ก็คือหลิวสือ
หลิวสือพักรักษาตัวครึ่งปี แต่เขาไม่ได้จากไปหลังจากหายดี
หากแต่เลือกที่จะอยู่เป็นองครักษ์ในร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย
เขาพูดน้อย ไม่มีฝีมือ นอกจากเป็นองครักษ์แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ทำไม่ได้
เยียนสุยเห็นว่าวิทยายุทธของเขาไม่เลว อีกทั้งรูปลักษณ์น่าเกรงขาม จึงให้เขาอยู่ต่อ
อย่างมากก็แค่มีคนกินข้าวเพิ่ม
ดังนั้นร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยจึงมีองครักษ์ที่ชื่อหลิวสือเพิ่มอีกคน
จากสาขาหนึ่งสำรวจถึงสาขาที่สามสิบ เวลาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว
เยียนมู่ให้เด็กในร้านอีกสองคนจากไป จากนั้นพูดกับหลิวสืออย่างจริงจัง “วันนี้คุณหนูว่าง เจ้าติดตามข้าไปพบคุณหนู กราบขอบพระคุณคุณหนู คุณหนูช่วยเจ้าเอาไว้ รักษาเจ้าจนหาย อีกทั้งยังให้งานแก่เจ้า ให้เงินเดือนสูงแก่เจ้า เจ้าต้องรู้จักบุญคุณ เข้าใจหรือไม่”
หลิวสือพยักหน้า
ระยะนี้เยียนมู่ขี้บ่นอย่างมาก เขาพูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนที่มีที่มาไม่ชัดเจน พูดตามความจริง ข้าไม่รู้ว่าให้เจ้าอยู่ต่อเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าอย่าทำเรื่องที่ผิดต่อคุณหนู มิฉะนั้นเจ้าจะถูกสวรรค์ลงโทษ”
หลิวสือพยักหน้าอีกครั้ง
เยียนมู่จิ๊ปาก ชายหนุ่มผู้นี้ดีทุกอย่าง รูปร่าสูงใหญ่ รูปลักษณ์หล่อเหลา เพียงแต่พูดน้อย
คนที่ไม่คุ้นเคยเขาอาจคิดว่าเขาเป็นใบ้
เยียนมู่นำหลิวสือมายังจวนท่านหญิง
เยียนอวิ๋นเกออารมณ์ดี นางกำลังตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ
อาเป่ยนำคนทั้งสองมายังศาลา ส่งสัญญาณเป็นเชิงให้ทั้งสองอย่าส่งเสียงรบกวน
เยียนมู่ถามอาเป่ยเสียงเบา “เดี๋ยวนี้คุณหนูชอบตกปลามากหรือ”
อาเป่ยเสียงเบากว่าเขาอีก “นับแต่มาถึงเมืองหลวง คุณหนูก็ชื่นชอบการตกปลา บอกว่าสามารถฝึกความอดทนได้”
เยียนมู่พยักหน้าอย่างกระจ่าง
ทุ่นตกปลาไร้การเคลื่อนไหว วันนี้โชคธรรมดาเสียจริง!
เยียนอวิ๋นเกอหาวสองครั้ง พลันหันกลับมามองเยียนมู่ สุดท้ายสายตาจับจ้องไปยังหลิวสือ
“เขาคือคนที่ข้าช่วยกลับมาหรือ”
“ขอรับ! คุณหนู เขาคือหลิวสือ” เยียนมู่โน้มตัวตอบ
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า พลันมองพินิจหลิวสือขึ้นลง “ตอนที่ช่วยเจ้าเพียงเพราะข้าสะดวกพอดี ในเมื่อเจ้าหายดีแล้วย่อมสามารถจากไปได้ตามใจ ไม่มีผู้ใดเรียกค่ารักษาจากเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ทำงานในร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยเพื่อทดแทนบุญคุณ
ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ที่มาของเจ้า แต่ดูจากลักษณะของเจ้าแล้ว แต่ก่อนเจ้าย่อมไม่ได้ทำงานเช่นนี้มาก่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาอยู่ในร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยจนไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง”
หลิวสือสองมือประสานกัน พูดอย่างหนักแน่น “ขอบพระคุณคุณหนูที่ช่วยข้า ข้ายินยอมอยู่ทำงานในร้านน้ำแกงเครื่องในด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตอบแทนบุญคุณ”
เยียนมู่จิ๊ปาก เขาได้ยินหลิวสือพูดเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วพลันยิ้ม “เจ้าบอกที่มาของเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือไม่”
หลิวสือเงียบ
เยียนมู่ถลึงตาใส่เขา ออกหน้าอธิบายแทนเขา “คุณหนู ครึ่งปีมานี้ ข้าน้อยถามเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมบอกที่มาของตนเอง หากคุณหนูรู้สึกไม่วางใจ ข้าจะไล่เขาไปทันที”
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือเป็นเชิงบอกเยียนมู่ว่าไม่จำเป็น
นางยิ้มพลันพินิจหลิวสือ “ทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง เจ้าไม่ยอมพูดที่มาของเจ้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า แต่ว่าข้าจะเชื่อใจเจ้าได้หรือ ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยเป็นเพียงร้านอาหาร ไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่เงินที่หมุนเวียนในแต่ละวันก็ไม่น้อย เงินทำให้ใจคนหวั่นไหว ข้าไม่อยากเลี้ยงคนที่ไม่ซื่อสัตย์”
“คุณหนูวางใจ เงินทองเป็นของนอกกาย หากข้าคิดจะเอาย่อมจะเอาอย่างเปิดเผย ไม่ต้องลักขโมย”
หลิวสือพูดอย่างอวดดี
เยียนมู่ถลึงตาด้วยความโกรธ เหตุใดเขาจึงไม่เคยสังเกตว่าชายผู้นี้เป็นคนชั่วช้า
บังอาจบอกว่าจะเอาเงินอย่างเปิดเผย
อย่างไร เขาคิดจะแค่ทักทาย ไม่สนใจว่าเถ้าแก่ยินยอมหรือไม่ก็ไปเอาเงินจากคลังอยางนั้นหรือ
นี่เรียกว่าเปิดเผยหรือ
บังอาจนัก!
เยียนอวิ๋นเกอกลับหัวเราะขึ้นมา “เจ้าซื่อตรงเสียจริง! มีเรื่องที่ต้องใช้เงินหรือ”
หลิวสือส่ายหน้า
เยียนอวิ๋นเกอถามอีกครั้ง “วิทยายุทธของเจ้าเป็นอย่างไร”
หลิวสือตอบอย่างเรียบง่าย “พอใช้!”
“คนที่บอกว่าตนเองพอใช้มักจะร้ายกาจ ข้าอายุน้อย ไม่เหมาะที่จะประลองกับเจ้า อย่างนี้ ข้าให้องครักษ์ประลองกับเจ้า ให้ข้าดูความสามารถของเจ้า เจ้ายินดีหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอจ้องเขา สังเกตปฏิกิริยาของเขา
หลิวสือพยักหน้าอีกครั้ง
เขาเป็นคนที่พูดน้อยเสียจริง มิน่าถึงทำให้เด็กในร้านของร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยวิจารณ์กันลับหลังว่าหลิวสือผู้นี้ไม่ได้เป็นใบ้แต่ยิ่งกว่าคนใบ้เสียอีก
เยียนอวิ๋นเกอเรียกองครักษ์ที่มีฝีมือโดดเด่นออกมา อีกทั้งยังกำชับ “ประลองกับเขาอย่างสุดฝีมือ บีบเค้นความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมา”
ในเมื่อจะลองตื้นลึกของอีกฝ่าย ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมกว่าการประลองด้วยความเป็นความตาย
องครักษ์รับคำสั่ง ถือมีดคาดเอวสำหรับใช้ในกองทัพไว้ในมือ ไม่มีกระบวนท่าที่สวยงาม มีเพียงกระบวนท่าเรียบง่ายที่ได้จากประสบการณ์จริง
ถึงแม้กระบวนท่าจะง่าย แต่กลับอันตรายถึงชีวิต
ทั้งสองปะทะกัน องครักษ์พบว่าคนตรงหน้ารับมือได้ยาก
อีกฝ่ายเหมือนจะศึกษาด้านการสังหารคนเช่นเดียวกัน ไม่ใช่กระบวนท่าที่งดงามเท่านั้น
องครักษ์ตั้งใจอย่างมาก การโจมตียิ่งเร็วขึ้น แต่ละครั้งล้วนเข้าใกล้จุดสำคัญ
ส่วนอีกฝ่าย หลิวสือยังไม่ใช้มีด เพียงแค่หลบหลีก
ในขณะที่เยียนมู่กำลังจะเอ่ยเตือนหลิวสือว่าอย่ากลัว แต่กลับถูกเยียนอวิ๋นเกอห้ามไว้
หลังจตากสิบกระบวนท่า หลิวสือชักมีดออกมา แพ้ชนะเห็นได้ในกระบวนท่าเดียว
องครักษ์แพ้แล้ว!
แพ้อย่างเต็มใจ
องครักษ์ขออภัย “ข้าน้อยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่หลิวท่านนี้ ขอคุณหนูโปรดลงโทษ”
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือ “การประลองวิทยายุทธ แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าถอยไปก่อน ไปรับเงินรางวัลจากพ่อบ้าน”
“ขอบพระคุณคุณหนู!” องครักษ์ถอยลงไปอย่างพึงพอใจ
เยียนอวิ๋นเกอเรียกองครักษ์อีกสามนายออกมา ให้ทั้งสามคนโจมตีพร้อมกัน
ทั้งสามคนล้อมโจมตีคนผู้เดียว บีบเค้นให้หลิวสือชักดาบในมือออกมาตั้งแต่กระบวนท่าแรก
แต่ทั้งสามคนไม่อาจอดทนให้เกินยี่สิบกระบวนท่า พวกเขายังคงพ่ายแพ้ให้แก่หลิวสือ
ไม่เลว!
เยียนอวิ๋นเกอลูบคาง แสดงความชื่นชมหลิวสือ
องครักษ์ที่นางเลือกออกมาล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือโดดเด่น ฝึกฝนท่ามกลางความเป็นความตาย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา
นางถามหลิวสือ “ยังมีแรงเหลืออีกหรือไม่”
หลิวสือตอบ “สู้ได้!”
ดีมาก!
คราวนี้ เยียนอวิ๋นเกอเลือกองครักษ์ออกมาสิบนาย
“พวกเจ้าเข้าไปพร้อมกัน ไม่ต้องออมมือ”
นางอยากรู้ว่าศักยภาพของหลิวสืออยู่ที่ใดกันแน่
เมื่อถูกสิบคนโจมตีพร้อมกัน ในที่สุดหลิวสือก็เปิดเผยจุดบกพร่องออกมา แต่ก็สามารถล่าถอยได้อย่างสงบ
เขาไม่สามารถเอาชนะทหารผ่านศึกทั้งสิบนายได้ แต่เขาก็สามารถล่าถอยได้โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ ความสามารถของเขาช่างน่าเกรงขาม
อย่างน้อยเยียนอวิ๋นเกอก็ไม่สามารถล่าถอยได้อย่างปลอดภัยเมื่อเผชิญกับการปิดล้อมของทหารผ่านศึกสิบนาย รอดชีวิตแม้จะต้องบาดเจ็บก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
และไม่โชคดีที่สามารถรอดพ้นจากอาการบาดเจ็บได้
การทดลองสิ้นสุดลง
องครักษ์ถอยไป
อาเป่ยรินน้ำชาใหม่อีกครั้ง
เยียนอวิ๋นเกอเรียกให้หลิวสือนั่งลง
“ข้าจะไม่ถามถึงที่มาของเจ้า แต่ข้าคิดว่าคงไม่ธรรมดา ข้ามีภารกิจให้เจ้าหนึ่งอย่าง ไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ เพียงแต่มันค่อนข้างอันตราย”
เยียนอวิ๋นเกอได้รับแรงบันดาลใจในการต่อต้านฮ่องเต้หย่งไท่
ฮ่องเต้หย่งไท่รังแกกันเกินไป นางไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ฮ่องเต้หย่งไท่ได้รับบทเรียน
วิธีการที่นางคิดได้ค่อนข้างต่ำทราม ถึงแม้มันจะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับฮ่องเต้หย่งไท่อย่างหนัก แต่มันก็สามารถทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่คับข้องใจได้
ระยะนี้ชีวิตราบรื่นเกินไป ได้เวลาสร้างปัญหาให้ฮ่องเต้แล้ว
หลิวสือยังคงพูดน้อย “คุณหนูโปรดรับสั่ง!”
เยียนอวิ๋นเกอสงสัย “ไม่ถามว่าภารกิจใดหรือ”
“อย่าถามฉันเกี่ยวกับภารกิจที่เฉพาะเจาะจงได้หรือไม่”
หลิวสือแสดงสีหน้าจริงจัง “ชีวิตของข้าถูกคุณหนูช่วยเอาไว้ ข้าตัวคนเดียว ไร้ความกังวล ไม่ว่าภารกิจใดล้วนรับได้”
เยียนอวิ๋นเกอพูดเล่นขึ้นมา “ให้เจ้าไปลอบสังหารฮ่องเต้ เจ้าก็รับได้หรือ”
ไม่คิดว่าหลิวสือจะพยักหน้า “ได้!”
พู่!
เยียนอวิ๋นเกอพ่นน้ำออกมา
สายตาที่นางมองไปทางหลิวสือเปลี่ยนไป
นางช่วยคนอย่างไรกลับมากันแน่ แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าลอบสังหาร
นางโบกมือระรัว กระแอมไอนับหายครั้ง “เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่คิดจะให้เจ้าลอบสังหารฮ่องเต้”
หลิวสือทำสีหน้าจริงจัง ไม่ตอบโต้
เยียนอวิ๋นเกอลูบอกเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ
นางช่วยตัวอันตรายอย่างไรกลับมากันแน่ ปวดหัวเสียจริง
คนอย่างหลิวสือคล้ายคลึงกับเซียวอี้ คงจะถือเป็นบุคคลอันตรายในยุคสมัยนี้แล้ว
โอ้ย…
นานทีนางจะทำความดี แต่กลับช่วยคนที่น่าทึ่งเช่นนี้กลับมา
นางจัดการความคิดของตนเอง พลันพูดอย่างจริงจัง
“เจ้าออกจากเมืองหลวงไปทำเรื่องหนึ่งให้ข้า”
นางให้เยียนมู่ถอยออกไป เยียนอวิ๋นเกอมอบหมายภารกิจเป็นการส่วนตัว
เรื่องบางเรื่อง เยียนมู่ไม่ต้องรู้จะดีกว่า
เพราะเรื่องที่ทำนั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเที่ยงธรรมแต่อย่างใด
หลิวสือรับคำสั่ง พร้อมทั้งรับเงินสำหรับภารกิจ แม้แต่ข้าวยังไม่ได้กินก็ออกจากเมืองหลวงไปปฏิบัติภารกิจ
อาเป่ยเป็นคนมอบเงินสำหรับภารกิจให้หลิวสือ นางย่อมรู้รายละเอียดของภารกิจ
นางกังวลเล็กน้อย “หลิวสือจะทำได้หรือเจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยิน จึงยิ้มออกมา “ไม่สำคัญว่าจะทำได้หรือไม่ หากทำสำเร็จย่อมดี หากทำไม่สำเร็จก็ไม่เสียหาย จุดประสงค์คือสร้างความคับข้องใจให้ฮ่องเต้ อย่าให้ฮ่องเต้ได้ใจเกินไป ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ก่อนปีใหม่ เขาย่อมต้องกลับมารายงานภารกิจในเมืองหลวง”
อาเป่ยพูด “บ่าวรู้สึกว่าหลิวสืออันตรายอย่างมาก อีกทั้งที่มาไม่ชัดเจน ไม่อาจไว้ใจได้ คุณหนูพยายามอยู่ห่างเขาดีกว่าเจ้าค่ะ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างกระจ่าง “ข้าย่อมจะอยู่ให้ห่างจากเขา”
คนที่มีพลังทำลายล้างสูงเพียงนั้น ไม่เหมาะสมที่จะเก็บไว้ข้างตัว
เหมือนดังคำโบราณที่ว่าบุรุษไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงอันตราย
หลิวสือก็คือกำแพงอันตรายนั้น
…
ตอนกินข้าว เซียวฮูหยินถามขึ้น “ได้ยินว่าเจ้ารับคนใหม่มา เชื่อถือได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอพูดตามตรง “เชื่อถือไม่ได้!”
“ในเมื่อเชื่อถือไม่ได้ เจ้าก็ระวังไว้บ้าง ระวังถูกหักหลัง! แน่นอน วิธีที่ดีทีสุดคือไม่ใช้คนผู้นี้”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “เขามีความสามารถมาก ไม่ใช้คงจะเสียดาย ลองใช้เขาดูก่อน”
เซียวฮูหยินไม่คัดค้าน “เจ้าตัดสินใจเอง อย่างไรอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง”
“ท่านแม่วางใจ ข้ารู้ขอบเขต อีกทั้งจะปกป้องตัวเองให้ดี”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “ข้าลืมความสามารถเจ้าไปเสียแล้ว เจ้ามีความระวังตัวข้าก็วางใจ อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของพี่สองเจ้า ไม่รู้นางจะกลับมาฉลองหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอพูดขึ้นทันที “หลังกินข้าว ข้าให้คนไปส่งเทียบแก่พี่สอง เชิญพี่สองกลับมาฉลอง”
เซียวฮูหยินพูด “เจ้าลองถามความเห็นพี่สองของเจ้าก่อนเถิด หากนางเตรียมจัดงานเลี้ยงใหญ่ก็ไม่ต้องกลับมา พวกเราไปฉลองให้นางที่จวนองค์ชายแทน”