ตอนที่ 139 ผู้ใดเชื่อฟังที่สุด
เยียนอวิ๋นฉีตัดสินใจกลับจวนเพื่อฉลองวันเกิด
วันเกิดของนางไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยงใหญ่โต
นางแค่ต้องการมีความสุขกับครอบครัว
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินไม่คัดค้าน เขาชอบความสงบ ไม่อยากให้มีการจัดงานเลี้ยงในจวน
ในวันเกิดของนาง ฝนตกในตอนเช้า
นางนั่งรถม้ามายังจวนท่านหญิงแต่เช้า
ในฐานะมารดา เซียวฮูหยินดีใจและพอใจอย่างมาก
นางระลึกถึงอดีต “วันที่อวิ๋นฉีเกิด อากาศไม่แตกต่างจากวันนี้มากนัก ฝนเริ่มตกตั้งแต่เช้า หยาดฝนโปรยปรายตกลงมาหนึ่งวันหนึ่งคืน”
เยียนอวิ๋นฉีได้ยิน จึงยิ้มอย่างดีใจ “วันนี้โชคดีนัก ไม่คิดว่าอากาศจะเหมือนกับวันที่ข้าเกิด ท่านแม่เหนื่อยแล้ว!”
เซียวฮูหยินยิ้มตาหยี “เห็นพวกเจ้ามีชีวิตที่ดี ไม่ว่าลำบากเพียงใด เวลานี้ก็ไม่รู้สึกลำบากแล้ว แตกต่างจากตอนอวิ๋นเกอเกิด ฟ้าสดใสติดต่อกันครึ่งเดือน แต่อวิ๋นเกอกลับอยู่ในท้องไม่ยอมออกมา ใช้เวลากว่าสองวัน ทำให้ข้าเหนื่อยแทบแย่”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าฉงน
เวลานั้นนางดื้อเพียงนี้เชียวหรือ
เซียวฮูหยินมองนางพลันหัวเราะ “เจ้าไม่เชื่อหรือ! พวกเจ้าพี่น้องสี่คน มีเจ้าที่คลอดยากที่สุด เลี้ยงยากที่สุด”
เยียนอวิ๋นเกอชี้มาที่ตัวเอง “ข้าเชื่อฟังเช่นนี้ จะเลี้ยงยากที่สุดได้อย่างไร”
คราวนี้ไม่เพียงเซียวฮูหยินหัวเราะ เยียนอวิ๋นฉีก็หัวเราะตาม
หลังจากหัวเราะ นางจึงพูดขึ้น “ตอนเด็กน้องสี่ซุกซนที่สุด ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน เพียงแค่ไม่ทันมอง คนก็หายลับไป อยู่บนต้นไม้บ้าง ริมคลองบ้าง…ที่ใดอันตรายก็ไปที่นั่น ทำให้คนตกใจแทบตาย น้องสี่เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าตนเองเชื่อฟังที่สุด เจ้าไม่เรียนกฎระเบียบกับแม่นมด้วยซ้ำ เจ้ากับคำว่าเชื่อฟังไม่มีวาสนาต่อกันแม้แต่น้อย”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าเขินอาย “ข้าคิดมาเสมอว่าตอนเด็กข้าเชื่อฟังที่สุด เป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่ต้องกังวลที่สุด ไม่คิดว่าในสายตาของพวกท่าน ข้าเป็นคนที่น่าเป็นห่วงที่สุด”
เยียนอวิ๋นฉีเม้มริมฝีปากยิ้ม “ในที่สุดน้องสี่ก็เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนจึงกังวลเจ้าเมื่อเจ้ายังเด็ก ทุกคนกลัวว่าหากคลาดสายตาไปเพียงชั่วพริบตาเดียว เจ้าจะหายไปอีก”
เยียนอวิ๋นเกอดึงแขนของเซียวฮูหยิน “ท่านแม่ ในบรรดาพวกเราพี่น้อง ผู้ใดเชื่อฟังที่สุดเจ้าคะ”
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าจะบอกว่าตอนเด็กผู้ใดเชื่อฟังที่สุดก็คงจะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า”
“อา พี่ใหญ่เป็นคนที่เชื่อฟังที่สุดหรือ พี่ใหญ่เป็นคนที่มีความคิดของตนเอง ข้ายังคิดว่านางต้องทำให้ผู้อื่นปวดหัวอย่างมากเมื่อนางยังเด็กเสียอีก”
เยียนอวิ๋นเกอคาดไม่ถึงเสียจริง
พี่ใหญ่เยียนอวิ๋นเฟยมีความคิดของตนเองมากกว่าพี่สองเยียนอวิ๋นฉีมาก
เดิมทีนางคิดว่าพี่สองคงจะเป็นคนที่เชื่อฟังที่สุด ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ใหญ่
เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง
เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “ตอนเด็กพี่ใหญ่ของเจ้าเลี้ยงดูง่ายสุด หิวก็ร้องไห้ กินอิ่มก็นอนหลับ เมื่อรู้เรื่องขึ้นมาหน่อยก็เรียนกฎระเบียบกับแม่นม เรื่องที่แม่นมไม่ให้ทำนางย่อมไม่แตะต้อง เวลานั้นข้ายังกังวลว่าเมื่อนางเติบใหญ่จะกลายเป็นคนซื่อ โชคดีที่นางเติบโตมาอย่างฉลาด มีความคิดของตนเอง”
เยียนอวิ๋นเกอพูดสรุป “หากพูดเช่นนี้ ตอนเด็กเชื่อฟังหรือไม่ ไม่เท่ากับหลังจากเติบโตมาจะมีนิสัยอย่างไร”
เซียวฮูหยินยกมือจิ้มหน้าผากของเยียนอวิ๋นเกอ ตำหนิด้วยเสียงหัวเราะ “ตอนเด็กเจ้าดื้อสุด โตขึ้นมาก็ยังคงสร้างเรื่องเหมือนเดิม”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าได้ใจ “ข้าสร้างเรือนพักขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งแห่ง ท่านแม่ภูมิใจหรือไม่”
“ข้าย่อมภูมิใจในตัวเจ้า แต่เจ้าก็ต้องไม่หยิ่งยโส อย่าได้ใจเกินไป”
“ข้าจดจำคำสอนของท่านแม่”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มพลันรับปาก
เยียนอวิ๋นฉีนั่งอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ปีนี้น้องสี่สูงขึ้นอีกแล้ว ดูจากส่วนสูงก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ใบหน้ายังเผยให้เห็นถึงความเป็นเด็กอยู่ หลายวันก่อนข้าไปเยือนจวนองค์หญิงใหญ่ มีคนมาถามเรื่องหมั้นหมายของน้องสี่ ข้าบอกว่าน้องสี่ยังเด็กเกินไป ไม่รีบร้อนในการหมั้นหมาย”
“เจ้าทำถูกแล้ว! เรื่องหมั้นหมายของน้องสี่เจ้าไม่เร่งรีบนัก” เซียวฮูหยินสงบอย่างมาก
เยียนอวิ๋นเกอผงะเล็กน้อย “มีคนมาถามเรื่องหมั้นหมายของข้า พี่สอง ท่านไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่ ชื่อเสียงข้าไม่ดีนัก ด้านนอกล้วนบอกว่าข้าใจร้อน บุ่มบ่าม พวกเขาไม่รังเกียจหรือ แต่ก่อนพวกเขารังเกียจข้าอย่างมาก”
เยียนอวิ๋นฉีได้ยินจึงหัวเราะร่า “น้องสี่อย่าได้ดูหมิ่นตัวเอง เวลานี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เรือนพักร่ำรวยของเจ้าทำให้เกิดกระแสใหญ่ เพียงแค่สินสอดส่วนนี้ ย่อมมีคนไม่สนใจชื่อเสียง
หากใช้คำพูดของพวกเขาก็คือ เวลานั้นเจ้ายังเด็ก เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะทำเรื่องวู่วาม เวลานี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังมีสินสอดมากมาย ย่อมกลายเป็นสิ่งของล้ำค่าที่ทุกคนต้องการ”
เยียนอวิ๋นเกอรังเกียจอย่างมาก “ล้วนเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ พี่สองปฏิเสธได้ถูกต้อง อีกอย่าง ข้าไม่คิดจะออกเรือน”
“สตรีจะไม่ออกเรือนได้อย่างไร เจ้าคิดจะเป็นหญิงแก่อย่างนั้นหรือ” เซียวฮูหยินตำหนิอย่างไม่จริงจัง
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ข้าอยากเป็นหญิงแก่ หากแต่ไม่มีผู้ใดแต่งกับข้าด้วยความจริงใจ หรืออาจต้องถามว่าผู้ใดกล้าแต่งกับข้า ไม่กลัวข้าถือดาบแทงเขาตายในตอนกลางคืนจริงหรือ”
เซียวฮูหยินไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะ “เจ้านี่นะ ข้าช่างหมดหนทางกับเจ้าเสียจริง สตรีไม่อาจไม่ออกเรือน เวลานี้ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อนาคตย่อมต้องพบเจอ เรือนพักร่ำรวยที่เจ้าทำย่อมเป็นสินสอดของเจ้า
มีคนอยากได้สินสอดของเจ้า เจ้าไม่ต้องต่อต้าน มันเป็นเรื่องดี คนย่อมต้องมีสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นอยากได้ สินสอดเป็นต้นทุนและความมั่นใจของเจ้า ไม่ต้องรู้สึกต่ำทราม คนล้วนกินอาหารจะไม่ต่ำทรามได้อย่างไร ไม่ใช่นางฟ้าที่ดื่มหยาดน้ำฝนทุกวัน ไม่ต้องกินดื่ม”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “คำพูดของท่านแม่มีเหตุผล ข้าจะจดบันทึกเอาไว้ หยิบออกมาอ่านเป็นประจำ”
เซียวฮูหยินจงใจทำหน้าบึ้ง “เพียงแค่อ่านยังไม่พอ ยังต้องจดจำไว้ในใจ ตักเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา การเป็นคนอย่าได้ดูหมิ่นตัวเอง แต่ก็อย่าได้หยิ่งผยอง เจ้านับวันยิ่งเติบใหญ่ จำเป็นต้องฝึกฝนตัวเองให้มาก พยายามสันติเสียบ้าง”
“ระยะนี้ที่ข้าตกปลาเป็นประจำก็เพราะกำลังฝึกนิสัยของตนเองอยู่เจ้าค่ะ” เยียนอวิ๋นเกอพูด
เซียวฮูหยินแสร้งทำเป็นโกรธ “อย่าเอ่ยถึงเรื่องตกปลา ปลาที่เลี้ยงมาหลายปีแทบจะถูกเจ้าตกไปจนหมดแล้ว เจ้าอย่ามัวแต่จ้องจะจับปลาในจวน อาศัยอากาศเย็นสดชื่น มีเวลาว่างก็ไปตกปลาด้านนอก”
“เชื่อฟังท่านแม่ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปตกปลาข้างนอก”
กลางวัน เยียนอวิ๋นเกอเข้าครัวด้วยตนเอง นางทำปลาน้ำแดงหนึ่งจาน ปลานึ่งหนึ่งจาน น้ำแกงปลาอีกหนึ่งหม้อ
อีกทั้งยังมีอาหารที่แม่ครัวจัดเตรียมอย่างตั้งใจ แม่ลูกทั้งสามกินอย่างมีความสุข
เยียนอวิ๋นฉีลูบท้องที่อิ่มแปล้ “วันนี้กินไปมาก ต้องไปเดินย่อยในสวนดอกไม้เสียหน่อย ฝีมือการทำปลาของน้องสี่ยอดเยี่ยมเสียจริง ข้าไม่เคยกินปลาที่อร่อยกว่าฝีมือน้องสี่ พ่อครัวในวังก็ไม่อาจเทียบฝีมือของน้องสี่ได้”
เยียนอวิ๋นเกอรับคำชมอย่างเปิดเผย ไม่ถ่อมตัวแม้แต่น้อย “พี่สอง ไม่เพียงข้าทำปลาอร่อย ข้าทำเป็ดไก่ รวมทั้งน้ำแกงก็อร่อย ท่านถามท่านแม่ ข้าเก่งกว่าแม่ครัวในห้องครัวเสียอีก”
เซียวฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วย “ทักษะการทำอาหารของอวิ๋นเกอถือเป็นอันดับหนึ่งในตระกูลเยียน ไม่ว่าจะต้มน้ำแกง ผัดผัก หรือปรุงอาหารทะเลล้วนไม่เลว แต่นอกตระกูลเยียน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ย่อมต้องมีคนทำอาหารได้ดีกว่าอวิ๋นเกอ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “ท่านแม่กำลังให้กำลังใจข้า บอกให้ข้าทำอาหารให้มากขึ้น”
เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “เข้าครัวเดือนละครั้งสองครั้งก็เพียงพอแล้ว สตรีอย่าได้สัมผัสน้ำมันกับควันมากนัก จะทำลายผิวพรรณ อวิ๋นเกอของข้างดงามเพียงนี้ ผิวพรรณก็อ่อนนุ่ม หากถูกควันและน้ำมันกระเด็นใส่คงจะเสียดายแย่”
“ท่านแม่พูดมีเหตุผล ใบหน้าของน้องสี่นุ่มจนเค้นน้ำออกมาได้ ข้าชอบบีบแก้มของน้องสี่ที่สุด”
พูดจบ เยียนอวิ๋นฉีก็เริ่มลงมือ เป้าหมายก็คือแก้มของเยียนอวิ๋นเกอ
เยียนอวิ๋นเกอรีบหลบออก นางกุมแก้มทั้งสองข้างเอาไว้ “พี่สอง ข้าโตแล้ว ท่านไม่อาจบีบแก้มของข้าได้อีก”
“เจ้ายังไม่โตเต็มที่ ให้ข้าบีบเสียเถิด”
“ไม่ให้บีบ!”
พี่น้องสองคนโวยวายเพราะเรื่องบีบแก้ม
เซียวฮูหยินส่งเสียงหัวเราะออกมา
…
ฤดูใบไม้ร่วง สวนดอกไม้มีทิวทัศน์งดงาม
ใบไม้สีเหลือง ดอกเก๊กฮวยหลากสี…
พี่น้องตระกูลเยียนจูงมือกันเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ด้วยความรื่นเริงใจ
เยียนอวิ๋นฉีพูด “ปีหน้าเจ้าไม่ต้องส่งเสบียงให้ข้า ห้าร้อยหาบมากเกินไป ข้ารู้สึกหน้าด้านเมื่อรับเสบียงที่เจ้าให้มา”
เยียนอวิ๋นเกอกลับพูด “ของขวัญที่ข้ามอบให้พี่สอง พี่สองรับไว้ก็พอ ไม่ต้องสนใจว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร เรือนพักร่ำรวยตั้งขึ้นมาได้เพราะบารมีของท่าน ตอนนั้นท่านถูกหมั้นหมายให้องค์ชายสอง ข้าจึงหน้าด้านเดินทางไปเจรจากับองค์ชายสองได้”
เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้าระรัว “เจ้าเป็นคนเจรจาได้เอง อีกทั้งเจ้าต้องจ่ายในราคามหาศาลแล้ว มอบเสบียงปีละสองพันหาบอย่างเสียเปล่า ปีนี้ข้ารับเสบียงห้าร้อยหาบเอาไว้ ปีหน้าเจ้าอย่าได้ให้อีก เรือนพักร่ำรวย เจ้าตั้งขึ้นมาไม่ง่าย อีกทั้งยังต้องเลี้ยงคนมากมาย หากประหยัดได้ย่อมต้องประหยัด ได้ยินว่าเจ้ายังซื้อเสบียงเก่าจากสำนักเซ่าฝู่ด้วย”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม พลันพูดขึ้น “ภาระหนักหนา ทำได้เพียงแจกจ่ายข้าวใหม่และข้าวเก่าปะปนไปให้แก่ผู้อพยพ หากแจกข้าวใหม่ทั้งหมด ข้าแบกรับไม่ไหว หากเป็นข้าวเก่าทั้งหมด ผู้อพยพคงมีความเห็น วิธีกึ่งกลางคือปะปนข้าวทั้งสองชนิดแจกจ่ายลงไป ย่อมสามารถปิดปากผู้อพยพที่นับวันยิ่งเรื่องมาก”
เยียนอวิ๋นฉีได้ยินจึงกังวลใจมาก “เรือนพักของเจ้ามีผู้อพยพหลายหมื่นคน จะไม่เกิดเรื่องใช่หรือไม่ ข้ามักจะได้ยินว่าผู้อพยพสร้างปัญหา หากมีองครักษ์ไม่เพียงพอ ข้าให้เจ้ายืมองครักษ์ห้าร้อยนายในมือ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างมีความสุข “พี่สองจะให้ข้ายืมองครักษ์ห้าร้อยนายจริงหรือ”
“ย่อมเป็นความจริง!”
“ขอบคุณพี่สอง! เวลานี้ข้ายังรับมือได้ รอข้ารับมือไม่ได้ ย่อมขอความช่วยเหลือจากพี่สอง”
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน หากลำบากเจ้าต้องเอ่ยปาก อย่าได้ประคองอยู่ผู้เดียว”
“วางใจเถิด ข้าไม่มีทางอวดดี พี่สอง ท่านกับองค์ชายสองเป็นอย่างไร หลี่ปิ้งถิงตั้งครรภ์แล้ว เถาฮองเฮาทรงกดดันท่านหรือไม่”
เยียนอวิ๋นฉีเม้มปากยิ้ม “เถาฮองเฮาหวังว่าข้าจะมีบุตรในเร็ววัน แต่องค์ชายปฏิเสธ องค์ชายทรงเอ่ยกับเถาฮองเฮาว่าเขาไม่รีบร้อนที่จะมีบุตร เถาฮองเฮาหมดหนทาง อีกทั้งนางยุ่งมาก จึงไม่มีโอกาสกดดันข้า”
“องค์ชายสองทรงมีความรับผิดชอบ ไม่ได้ให้ท่านแบกรับแรงกดดัน”
เยียนอวิ๋นเกอดีใจแทนพี่สอง
เยียนอวิ๋นฉีพูด “เขาเป็นคนที่มีความคิดเที่ยงตรงอย่างมาก ข้าก็เดาความคิดของเขาไม่ออก คนอื่นล้วนอยากมีบุตร แต่เขากลับไม่รีบ เจ้าว่าเขาคิดเรื่องใดอยู่”
“ย่อมต้องกำลังคิดแผนใหญ่ของเขาอยู่!”