หลี่กงกงกราบทูลต่อไป สองมือของเขาประคองพระราชพินัยกรรมที่จีเฉวียนทรงทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป ยามนี้ที่ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัว มีหลงเซียวและเหล่าขุนนางใหญ่ที่จีเฉวียนทรงวางพระทัยรอเข้าเฝ้าอยู่
สมองของตู๋กูซิงหลันยังเจ็บระบม ถึงกับไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆชั่วขณะ ขนตายาวเป็นแพกระพริบถี่ๆ สายตาทอดลงไปที่พระราชพินัยกรรมฉบับนั้น
เนื้อหาในพระราชพินัยกรรมเรียบง่ายอย่างยิ่ง ‘เมื่อเราสวรรคตแล้ว ขอส่งมอบราชสมบัติให้กับฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน ไทเฮาแห่งต้าโจว –ตู๋กูซิงหลัน จงเคารพนางเสมือนดังเป็นเรา’
พระราชพินัยกรรมถูกประกาศออกไปตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน
ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนกลับไปที่โลกปัจจุบัน ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน
ช่วงเวลาครึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ก็คือช่วงเวลาที่นางอยู่ในเผ่ามังกรทมิฬที่ทะเลลึกไร้ก้น
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันประคองพินัยกรรมของเขาเอาไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าหนักอึ้งหาใดเปรียบ
นี่เขาถึงกับ…..ตระเตรียมหนทางเอาไว้ให้นางตั้งแต่แรกแล้ว
“ฮ่องเต้เฒ่าของแคว้นฉินก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ท่านอ๋องสิบเจ็ดอิ๋งฉีขอทูลถวายแผ่นดินต้าฉินทั้งหมดเอาไว้ใต้พระบารมีของฮ่องเต้หญิง…..” หลี่กงกงยืนก้มศีรษะอยู่ข้างๆกายนาง อธิบายวิธีที่จีเฉวียนทรงกำราบแคว้นฉินลงได้ออกมาอีกรอบอย่างรวบรัด
“ในวันนี้สามแคว้นใหญ่ล้วนอยู่ภายใต้พระบัญชาของฝ่าบาทแล้ว….. ส่วนพวกแคว้นเล็กแคว้นน้อยพอเห็นแนวโน้มจากแคว้นใหญ่ ก็พากับมาขออ่อนน้อมด้วยเช่นกัน สามารถกล่าวได้ว่า ….ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นผู้นำของแผ่นดินทั้งหมด คือฮ่องเต้หญิงผู้อยู่สูงสุด”
เรื่องที่นางกลายเป็นฮ่องเต้หญิง ตอนแรกตู๋กูซิงหลันกระทำลงไปเพียงเพราะว่าต้องการประชดจีเฉวียน ตอนที่โมโหขึ้นมาก็ออกปากยึดเอาแคว้นเหยียนเอาไว้….
แต่ว่านางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นประมุขของแผ่นดินทั้งหมด
ฐานะยิ่งสูงส่ง ภาระบนบ่าก็ยิ่งหนักอึ้งตามไปด้วย
หลี่กงกงเห็นนางเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ก็ได้แต่เฝ้าอยู่ข้างๆ ยามนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าปกติแสงอาทิตย์จะเบาบาง แต่ยามเที่ยงวันก็ยังคงรู้สึกร้อนเป็นพิเศษ
แสงสีทองที่สาดส่องลงมาบนร่างของนาง ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก…..อย่างบอกไม่ถูก
“ฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสของเรา….ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่?” มือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมพระราชพินัยกรรมเอาไว้ดังเดิม ในหัวใจปวดร้าวอย่างยิ่ง ผ่านไปเนิ่นนานนางพึ่งจะถามประโยคนั้นออกมาได้เพียงประโยคเดียว
คราวนี้ ศีรษะของหลี่กงกงถึงกับโค้งต่ำลงไปอีก
เขาไม่กล้าตอบคำถามของนาง ฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เพราะว่าแม้แต่หัวหน้าองครักษ์ลับหลงเซียวก็ยังไม่มีปัญญาเสาะหาฝ่าบาท ….ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว…..เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะ….
หลี่กงกงถอนหายใจลึกๆออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองก็รื้อน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอฮ่องเต้หญิงโปรดทรงคลายความโทมนัส” หลี่กงกงอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ค่อยหันมาปลอบโยนนาง
เขาพึ่งจะทูลจบ ก็ได้ยินเสียงขันทีด้านนอกกราบทูลว่า “แม่ทัพผู้พิชิตขอเข้าเฝ้า”
ตู๋กูซิงหลันม้วนเก็บพระราชพินัยกรรม วางไว้ที่ข้างหน้าต่าง มองออกไปดูต้นฮว๋ายสองต้นในตำหนักตี้หัว ค่อยกล่าวว่า “เชิญพี่ใหญ่เข้ามา”
ไม่ถึงอึดใจ ก็เห็นตู๋กูจุนที่สวมใส่เกราะเงินตลอดร่างย่างเท้าก้าวเข้ามา
เขาเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบสอง อายุสิบสามก็พบกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน เข่นฆ่าอยู่ในสมรภูมิมานานปี จึงเหมือนมีไอสังหารครอบคลุมทั่วร่างมานานแล้ว
แม้ว่าจะเดินเข้ามาอย่างเรียบเรื่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกเสมือนกองกำลังนับพันนับหมื่นอยู่ด้านหลัง
ทันทีที่เข้ามาในพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูจุนก็เห็นน้องสาวของตนเองยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองออกไปด้านนอก
ใบหน้าด้านข้างของนางหมดจดงดงาม โครงหน้าเรียบละมุนเสมือนดั่งเป็นตุ๊กตาเครื่องเคลือบ
เพียงแต่หัวคิ้วถูกย้อมด้วยความเย็นชาอยู่หลายส่วน คนมองดูแล้วเสมือนกับว่าเติบโตขึ้นอย่างมากในชั่วข้ามคืน
จริงสิ นางอายุสิบแปดแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ
นับตั้งแต่ที่นางและน้องรองหายสาบสูญไป ก็ไม่มีวันใดที่เขาและท่านตาจะหยุดค้นหาคนที่ทะเลตะวันตก น้องรองนั้นหาไม่พบ ……แต่ว่าก็ยังโชคดีที่ในที่สุดก็เสาะหาน้องเล็กจนเจอ
จนถึงตอนนี้ตู๋กูจุนก็ยังไม่ลืมว่า ตอนที่เจอนางนั้น มือของนางมีแต่เลือดเต็มไปหมด
นิ้วทั้งสิบแตกเละเทะ ปากแผลมีแต่ดินโคลน แห้งกรัง
นางรับบาดเจ็บภายใน ชีพจรหัวใจบอบช้ำ จนไม่รู้ว่านางไปประสบกับเหตุการณ์เช่นไรมา
ยามนี้หัวคิ้วของนางแฝงความเย็นชา ยามที่นางหันกลับมามองนั้น คนที่เป็นผู้นำอย่างตู๋กูจุนยังถึงกับรู้สึกว่าวางมือไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่จ้องมองนางอย่างตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง
ยามที่ตู๋กูซิงหลันเห็นใบหน้าของเขา ในสมองก็ปราฏภาพของซือเป่ยขึ้นมาทันที
หากมิใช่รู้อย่างชัดเจนอยู่ก่อนว่า คนผู้นี้คือพี่ใหญ่ตัวจริงอย่างแน่แท้ เกรงว่านางก็อาจจะยกหมัดต่อยออกไปก่อนแล้ว
นางจับจ้องมองดูตู๋กูจุน มองดูอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ค่อยกดความรู้สึกหุนหันนั้นลงไป
บังคับตนเองให้เยือกเย็นเข้าไว้ ส่งเสียงออกไปคำหนึ่งว่า “พี่ใหญ่”
ตู๋กูจุนหลั่งน้ำตาออกมาในทันที ครึ่งเดือนก่อน ที่ทะเลตะวันตกมีปีศาจอาละวาด เมืองริมทะเลทั้งหมดของแคว้นเหยียนพังทลายลง…..
ยามที่พวกเขาบุกไปถึงทะเลตะวันตก ฮ่องเต้หญิงทรงขี่สัตว์อสูรที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกร ในมือถือดาบยักษ์ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั่นอย่างดุเดือด
เจ้าสัตว์ประหลาดในทะเลตะวันตกตัวนั้นทำให้เกิดคลื่นทะเลขึ้นมาบนฝั่ง แทบจะทำลายแคว้นเหยียนไปเกือบครึ่งหนึ่ง
หากมิใช่ว่าฮ่องเต้หญิงทรงออกศึกกำราบมันด้วยตนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนตายไปอีกสักเท่าไหร่
“อืม” ตู๋กูจุนพยายามอดกลั้นความอ่อนไหวที่ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งเอาไว้ เขากระแอมออกมาครั้งหนึ่ง เดินเรื่อยๆมาถึงตรงหน้านาง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเสียจนอยากจะกอดน้องสาวของตนเองเอาไว้
แต่ว่าตอนนี้นางกลายเป็นประมุขของแผ่นดินทั้งหมดไปแล้ว หากเขาทำเช่นนั้นออกจะเป็นการผิดกาลเทศะ ไม่เคารพเบื้องสูง คงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดึงมือที่ยื่นออกมากลับมา
“ตื่นแล้วก็ดี ตื่นแล้วก็ดี” เขาพูดออกมาซ้ำกัน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงความโล่งใจที่ผ่านพ้นเภทภัยครั้งใหญ่มาได้
ตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปหา เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปโอบกอดเขาเอง เอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว”
พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่ ซือเป่ยก็คือซือเป่ย ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน นางไม่อาจเกลียดชังญาติสนิทของตนเองเพียงเพราะเคียดแค้นซือเป่ย
ได้แต่บอกว่าระหว่างพี่ใหญ่และซือเป่ย บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกันบางประการ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์กับซือเป่ยต่อสู้กัน นางได้ยินซือเป่ยเอ่ยถึงพี่ชายของเขาอยู่หลายครั้ง….ซือหนาน
ผู้ที่ทรยศต่อเผ่าสวรรค์มาเป็นกำลังให้กับอาจารย์
บางทีพี่ใหญ่กับซือหนานอาจจะเกี่ยวข้องกัน?
ด้วยความเฉลียวฉลาดของตู๋กูซิงหลัน นางย่อมสามารถเชื่อมโยงคนทั้งสองเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว
อาจารย์จากไปอย่างกระทันหัน แม้แต่เรื่องราวที่ก่อนหน้าของเขานางก็ยังไม่ทันได้เข้าใจชัดเจน เขาไม่เคยเล่าให้มากความ นางก็ไม่เคยถามให้มากเรื่อง ตอนนี้จึงเหลือแต่ความเสียดายอย่างที่สุด
เดิมทีนางคิดจะไปรออาจารย์ที่ธารน้ำพุเหลือง ….แต่ว่ากลับถูกส่งกลับมาที่โลกโบราณนี้อย่างไม่ตั้งใจ แต่ว่าในเมื่อกลับมาแล้ว นางก็จะต้องปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของตนเองให้ดี และทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น….
สักวันหนึ่งนางจะขึ้นไปสังหารเหล่าเทพบนสวรรค์ แก้แค้นให้กับอาจารย์และจีเฉวียน
ความแค้น ยิ่งต้องกักเก็บเอาไว้ในใจ มันก็จะผลิหน่อแตกกอขึ้นมา
หากว่านางไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้ สุดท้ายก็ต้องถูกโจมตีจนแหลกอยู่ดี
……………..
แค่เพียงได้รับอ้อมกอด ก็ทำให้ตู๋กูจุนที่เป็นบุรุษกำยำสูงเกือบสองเมตรต้องน้ำตาคลอหน่วย
เขาพลิกมือโอบกอดตู๋กูซิงหลันเช่นกัน จากนั้นก็ตบไหล่ของนางเบาๆ คนที่แข็งนอกอ่อนในอย่างเขามักแสดงออกแต่เพียงเท่านี้
ผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสองคลายกอดกัน
“พี่รองกับชือหลียังอยู่ดีหรือไม่?” ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบันที่ตู๋กูซิงหลันกังวลมากที่สุดก็คือสองคนนี้
ถ้อยคำไร้สาระไม่พึงต้องเอ่ยถึง นางเลือกมุ่งประเด็นไปยังสิ่งที่ค้างคาในใจ
สีหน้าของตู๋กูจุนหนักอึ้ง เขายื่นมือมาลูบไล้เส้นผมของนางเบาๆ “เจ้าพึ่งจะฟื้น พักผ่อนให้ดีเสียก่อน พี่ใหญ่จะค่อยๆเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง”