ประโยคนี้ของเขาเท่ากับสาดน้ำเย็นลงมาบนศีรษะของตู๋กูซิงหลัน
นางสลบไปห้าวัน บาดแผลบนปลายนิ้วประสานกันหมดแล้ว
ความสามารถในการฟื้นตัวของนางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อาการบอบช้ำภายในก็หายจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว
ยามนี้สายตาของนางต้องอึมครึมลงไปกว่าเดิม พลางเอ่ยถามว่า “ในหมู่องครักษ์ลับของจีเฉวียนมีคนกลับมาหรือไม่?”
ตู๋กูจุนถอนหายใจ ค่อยตอบนางตามจริงว่า “ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
พอได้รับคำตอบเช่นนี้ หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็ยุบลงติดพื้น
ตอนที่เกิดเหตุระเบิดที่ก้นทะเลลึกนั้น ด้วยพลังระเบิดที่รุนแรงขนาดนั้น หากไม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งปกป้องคุ้มครอง แม้แต่ตายก็คงต้องดับสูญชนิดไม่หลงเหลือเถ้ากระดูกใดๆอีก
ชือหลีถูกเยี่ยอิงตัดมือและเท้า ตู๋กูซิงหลันเป็นคนส่งนางให้กับองครักษ์ลับที่จีเฉวียนพามากับมือ หากว่าเหล่าองครักษ์ลับไม่มีผู้ใดเหลือรอดกลับมาละก็….เช่นนั้นชือหลี…..ก็คงจะอับโชคมากกว่ามีวาสนาเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันปิดตาลง หัวใจรู้สึกเหมือนถูกกรีดหนักๆอีกครั้ง
นางไม่เพียงแต่สูญเสียญาติสนิทและคนรัก ทั้งยังต้องสูญเสียสหายรัก
พี่รองได้รับถ่ายทอดพลังกระหายเลือดจากบิดาคนงาม สมควรไม่ตายโดยง่าย…..เพียงแต่เนิ่นนานยังคงไร้ข่าวคราว
เพราะการต่อสู้ของจีเฉวียน นางจึงได้รับชัยชนะมาอย่างสุขสบาย ครอบครองแผ่นดินทั้งหมด แต่ว่านั่นจะมีความหมายอะไร?
ความรุ่งโรจน์ที่ได้ควรมีผู้ร่วมแบ่งปันชื่นชม ก็กลายเป็นความเปลี่ยวเหงาที่เย็นเฉียบเท่านั้น
นางได้แต่แค้นที่ตนเองไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องคุ้มครองคนที่ตนรักได้ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนาง
ตู๋กูจุนเห็นสีหน้าของนางยิ่งทียิ่งเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ ก็เกรงว่านางจะทุกข์ใจจนกระอักเลือดออกมาอีก
จึงเอ่ยว่า “บรรดาบุรุษบำเรอของเจ้าพากันติดตามมาถึงต้าโจวแล้ว เจ้าไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่?”
เขาอดไม่ได้ที่จะเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “แต่ว่าน่าเสียดาย ซูเยา บุรุษบำเรอที่เจ้าโปรดปรานที่สุดผู้นั้น นับตั้งแต่ที่เจ้าหายตัวไป เขาก็หายสาบสูญไปเช่นกัน…”
หลี่กงกงที่ฟังอยู่ด้านข้างแทบจะอยากเอาไม้ฟาดเขาสักสองที นี่ยิ่งเท่ากันว่าทิ่มแทงพระทัยของฮ่องเต้หญิงอีกครั้งมิใช่หรือ?
ที่เขาบอกว่า ‘นกน้อยจับคู่อยู่ด้วยกันในป่า แต่ยามภัยร้ายมาก็แยกกันโบยบิน’
ขนาดสามีภรรยายังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับบุรุษคนโปรดเล่า?
คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือฮ่องเต้จีเฉวียนของพวกเขาต่างหากรู้หรือไม่?
พระองค์ถึงขนาดยกทุกสิ่งในแผ่นดินให้กับไทเฮาน้อย ….. สุดท้ายแล้วตนเองกลับต้องหายสาบสูญ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ….ทำจนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ได้รับพระทัยของไทเฮาน้อยมาแม้สักเล็กน้อยอีกหรือ?
มีชีวิตมิสู้บุรุษบำเรอได้เลย
พูดถึงซูเยา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องก้มลงมองดูปลายนิ้วของตนเองอีกครั้งหนึ่ง นิ้วกลางมือซ้ายของนางยังมีแหวนจิ้งจอกสีแดงอยู่ พลังปีศาจที่อยู่ภายในหมุนวนเข้มข้น
จิ้งจอกน้อยยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้…..เขาคนเดียวเพียงลำพังจะไปที่ใดกันนะ?
“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้เป็นทุกข์…. ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินอยู่ในครอบครองของเจ้าแล้ว แค่บุรุษบำเรอหายไปคน ก็ยังมีบุรุษบำเรออีกเป็นพันเป็นหมื่นให้เจ้าได้เลือกเฟ้น ขอเพียงเจ้าพอใจ พี่ใหญ่ก็จะไปจับมาให้เจ้า” ตู๋กูจุนปลอบประโลมนาง
เป็นเพราะจีเฉวียนส่งมอบตำแหน่งฮ่องเต้ต้าโจวให้กับน้องเล็ก ทั้งยังให้แคว้นฉินยอมสยบต่อนาง …..ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีต่อจีเฉวียนในเรื่องฉางซุนอิงไปจนหมดสิ้น
แต่ว่าสุดท้าย ตอนนี้คนก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว จะอย่างไรย่อมไม่อาจให้น้องเล็กโดดเดี่ยวไร้คนเคียงข้างไปจนชั่วชีวิตกระมัง?
ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงฮ่องเต้หญิงผู้ครอบครองใต้หล้า …. หากไม่มีวังหลังอยู่บ้างก็ดูออกจะแปลกประหลาดไปซักหน่อย
หลี่กงกง “…..” ฮ่องเต้ของพวกเราทำอันใดผิดไป ถึงได้ถูกท่านไม่เหลียวแลเช่นนี้?
เพื่อไทเฮาน้อย ฝ่าบาทจึงได้ทรงชำระล้างวังหลังทั้งหมด ไทเฮาน้อยแค่ขาดบุรุษบำเรอไปคนสองคน ไม่ถือว่าเท่าไหร่กระมัง?
ตู๋กูซิงหลันโบกมือ นางไหนเลยจะยังมีแก่ใจไปจัดการดูแลบุรุษบำเรออีก
“ส่งออกไปทั้งหมด ให้พวกเขาเป็นอิสระ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป
พวกเนื้ออ่อนเหล่านั้น ที่ตอนนั้นนางเก็บเอาไว้ข้างกายก็เพียงเพราะแค่ต้องการประชดจีเฉวียนเท่านั้น ก็แค่เอาไว้ยกน้ำร้อนรินน้ำชา ไม่ได้ทำอะไรกันเป็นจริงเป็นจัง
นางคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าสุดท้ายก็จะให้พวกเขาได้มีอิสระ
“ไม่เหลือเอาไว้แม้แต่คนเดียวเลยหรือ?” ตู๋กูจุนออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เนื่องเพราะบุรุษบำเรอเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีชาติตระกูลดี แต่ละคนยังรูปงามประดุจหยก ถือว่าต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้คนนับพัน น้องเล็กอยู่ๆบอกไม่เอา ก็ไม่เอาแล้วจริงๆ?
“ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว” ตู๋กูซิงหลันเบือนหน้าออกไป มองดูต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านนอก
วังหลังของนางจะมีเพียงคนเดียว เขาแซ่จี นามว่าเฉวียน
หากว่าไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ เช่นนั้นที่ข้างกายนาง….ก็ไม่ต้องการบุรุษอื่นใดอีกแล้ว
ตู๋กูจุนรั้งอยู่พูดคุยอีกเล็กน้อย จึงค่อยจากไป
พอเขาไปแล้ว ก็เรียกเชียนเชียนให้กลับมาคอยปรนนิบัติตู๋กูซิงหลัน
สาวน้อยผู้นั้นพอได้พบนาง ก็ร่ำไห้จนจมูกแดง ดอกไห่ถังที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกง ผลิบานอยู่ทุกฤดู เชียนเชียนจึงนำพวกมันมาด้วยหลายกิ่ง
กลีบดอกสีแดง ดุจเปลวเพลิง
เช่นเดียวกับชุดกระโปรงของนาง
ตู๋กูซิงหลันมองดูดอกไห่ถังที่ปักอยู่ในแจกันหยกก็อดจะคิดถึงคำพูดของอาจารย์ขึ้นมาไม่ได้
รอจนศิลาโลหิตผลิบาน เขาก็จะกลับมา
หากอาจารย์กลับมาแล้ว …..จีเฉวียนก็จะกลับมาด้วยหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ครุ่นคิดไปเรื่อยๆ
นางนำศิลาโลหิตออกมาจากในอ้อมอก ศิลาโลหิตที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง เกิดจากเลือดที่ผนึกตัวเข้าหากันของอาจารย์ จนกลายเป็นศิลาที่แวววาวประดุจชิ้นหยก
นางสั่งให้เชียนเชียนไปหากระถางดอกไม้มาใบหนึ่ง นางเดินออกไปตักดินที่ใต้ต้นฮว๋ายมาหลายกำด้วยตนเอง
จากนั้นก็ค่อยๆวางศิลาโลหิตที่อาจารย์มอบให้กับนางลงไปปลูกในกระถางดอกไม้อย่างระมัดระวัง
ศิลาที่หลอมขึ้นจากโลหิตจะผลิดอกบานได้หรือ?
คำตอบของมันคืออะไร นางเองก็ไม่รู้
นางรู้แต่ว่า อาจารย์ไม่มีทางโกหกนางอย่างเด็ดขาด
ในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับมา ก็ต้องกลับมาอย่างแน่นอน
…………………..
ดินแดนจิ่วโจว (สรวงสวรรค์)
ตั้งอยู่ห่างจากดินแดนของโลกโบราณด้วยระยะทางที่มีทะเลตะวันตกและก้นทะเลไร้บึ้งกางกั้น หากว่านำมาวางลงบนโลกปัจจุบันก็คงห่างกันราวทวีปเอเซียและทวีปอเมริกา
แต่แม้ว่าจะห่างไกลกันจนถึงเพียงนี้ ข่าวสารในดินแดนจิ่วโจวกลับรวดเร็วว่องไวอย่างยิ่ง
แคว้นใหญ่ทั้งห้า ขุมอำนาจใหญ่ทั้งสาม ต่างก็ได้ยินข่าวของดินแดนโบราณแล้ว
ไม่ว่าใครต่างก็นึกไม่ถึงว่าดินแดนที่ผู้คนแย่งชินกันมานานหลายปีสุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ในกำมือของสาวน้อยผู้หนึ่ง?
ได้ยินว่า เหล่าราษฏร์ทั้วทั้งแผ่นดินต่างก็ให้ความเคารพนบนอบนาง
หากเปรียบเทียบกับดินแดนโบราณนั่นแล้ว พลังวิญญาณในจิ่วโจวสมบูรณ์กว่ามาก เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็มีมากมาย
หากจะบอกว่าที่ดินแดนโบราณนานครั้งถึงจะมีภูติผีปีศาจโผล่ออกมาบ้าง ที่จิ่วโจวนั้นกลับมีจิตวิญญาณอยู่ดาษดื่นไปหมด
ผู้คนต่างมุ่งมั่นอยู่ที่การบำเพ็ญเพียรด้วยถือเป็นความรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะผู้คนในจิ่วโจวต่างก็เคยได้เห็นผู้ที่ฝึกฝนจนเกิดผลสำเร็จ กลายเป็นเทพเซียนที่เหาะเหินเดินอากาศได้
เรื่องที่เกิดขึ้นในก้นทะเลลึกไร้บึ้ง สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งจิ่วโจว
หลังจากที่เกิดเหตุระเบิดอย่างอึกทึกครึกโครมเช่นนั้นแล้ว เขตอาคมที่ปิดกั้นก้นทะเลลึกก็ถูกทำลายลง จนทำให้เกิดสมบัติวิเศษและโอกาสต่างๆไม่น้อย ที่จริงมีผู้บำเพ็ญตนในจิ่วโจวจำนวนไม่น้อยที่บุกไปที่นั้นเพื่อเสาะหาโชค
ข่าวคราวของแผ่นดินโบราณ ก็เป็นพวกเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้เดินทางไปยังก้นทะเลลึกนำกลับมา
สำหรับฮ่องเต้หญิงที่อายุเพียงสิบแปดปีก็ได้ครอบครองแผ่นดินนั้น เหล่าขุมอำนาจและแคว้นต่างๆในจิ่วโจวต่างก็แสดงความสนอกสนใจออกมาอย่างเต็มที่
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ได้ต้อนรับการมาเยือนจากสำนักหงเหมิงในดินแดนจิ่วโจว
ผู้มาเยือน ก็คือเทพบุตรของเจ้าสำนักหงเหมิง และเหล่านักพรตที่เป็นผู้ติดตามอีกกลุ่มใหญ่
ตู๋กูซิงหลันอนุญาตให้ผู้ถือสารของพวกเขามาเข้าเฝ้าที่พระตำหนักจิ่นซิ่วกง
……………………………