ตอนที่ 175 สูญเสีย
เยียนอวิ๋นฉวนใส่ร้ายข้า!
หลิงฉางเฟิงแค้นอย่างมาก
เยียนอวิ๋นฉวนหลบหน้าเขา เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาดี
เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเยียนอวิ๋นฉวนจะบังอาจฟ้องพี่ใหญ่ของตนเอง
เขาคิดว่าเยียนอวิ๋นฉวนจะขี้ขลาด ไม่กล้าเปิดเผยต่อภายนอกอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายหักหลัง
เวลานี้ หลิงฉางเฟิงเสียใจอย่างมาก
เยียนอวิ๋นฉวน เขาจดจำความแค้นนี้เอาไว้แล้ว เขาจะล้างแค้นอีกฝ่ายในไม่ช้า
เมื่อเผชิญหน้ากับพี่ใหญ่ของตนเอง หลิงฉางเฟิงจะทำอย่างไรได้
นอกจากแสร้งโง่
แถไปก่อน หากแถต่อไปไม่ได้ค่อยว่ากันใหม่
“พี่ใหญ่พูดเรื่องใด ลอบสังหารอันใดกัน ข้าฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว”
หลิงฉางจื้อดื่มชา พลันยิ้มเย็น “เรื่องที่เจ้าอยากทำ ข้ารู้แล้ว”
มีเพียงประโยคเดียวหรือ
ไม่มีประโยคถัดไป?
หลิงฉางเฟิงฉงนเล็กน้อย อีกทั้งยังมีความกลัว “พี่ใหญ่รู้เรื่องใด”
“เจ้าแน่ใจว่าต้องการให้ข้าพูดอย่างกระจ่าง”
หลิงฉางเฟิงส่ายหน้าระรัว เขาไม่แน่ใจ
หลิงฉางจื้อยิ้มให้เขา
เขาก็ยิ้มตาม แต่ยิ้มนั้นช่างดูโง่เขลา
“ไม่ว่าในใจเจ้ามีแผนการใด ฆ่าคนก็ดี หรือความคิดอื่นก็ดี ล้วนไม่ใช่ความผิด”
เอ๊ะ?
ไม่ใช่ความผิด ย่อมแสดงว่าถูกต้อง
หลิงฉางเฟิงเกิดความหวังขึ้นในทันใด
เพียงแต่ความฝันช่างงดงาม ความจริงช่างโหดร้าย
เขาได้ยินหลิงฉางจื้อพูดเพียง “เพียงแต่เจ้าไม่สมควรเอ่ยความคิดอันสกปรกภายในใจให้คนอื่นรู้”
ทันทีที่สิ้นเสียง…
เพียะ!
ในมือของหลิงฉางจื้อมีแส้ที่เต็มไปด้วยหนามปรากฏขึ้น
เมื่อสะบัดแส้กลางอากาศ อากาศราวกับถูกโบยจนเปลี่ยนรูปร่าง หลิงฉางเฟิงยิ่งหวาดกลัวจนคุกเข่าลงกับพื้น
เขากลัว!
แส้ของพี่ชายเขาไม่ได้หยิบออกมาง่ายๆ แต่เมื่อหยิบออกมาแล้วย่อมต้องมีคนตาย โนเวล-พีดีเอฟ
เขาร้องขออ้อนวอน “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว! ข้าหน้ามืดตามัว เกิดความคิดที่ไม่สมควรมี ท่านวางใจ ข้าจะปรับปรุงตัว ข้าจะใช้ชีวิตกับนางอย่างดี ไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหาอีกแล้ว”
หลิงฉางจื้อหัวเราะขึ้นมา “ข้าไม่ได้ห้ามเจ้าก่อปัญหา เรื่องในห้องของเจ้า ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะมันเป็นชีวิตของเจ้า แต่เจ้าไม่สมควรทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลิง บอกความคิดอันสกปรกให้แก่ผู้อื่นรู้ อีกทั้งยังเป็นพี่น้องในตระกูลของน้องสะใภ้! ในสมองเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรือ”
เมื่อนายน้อยหลิงฉางจื้อผู้สูงส่งพูดคำหยาบก็เหมือนจะไพเราะอย่างมาก
หลิงฉางเฟิงร้องโอดครวญภายในใจ เขาก่นด่าเยียนอวิ๋นฉวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนชั่วช้าต่ำทรามผู้นั้นทำร้ายเขาไม่น้อย!
แต่ปากของเขากลับร้องอ้อนวอน “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ข้าปากพล่อย พูดตรงเกินไป ควบคุมตนเองไม่ได้ ข้ารับรอง ต่อจากนี้ข้าจะไม่พูดจาเหลวไหลอีก”
“สายไปแล้ว! แผนการในใจของเจ้า เยียนอวิ๋นฉวนรู้อย่างกระจ่าง การประพฤติตัวของเจ้า ใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เขาก็ได้เห็นกับตาแล้ว เจ้าไม่เพียงกำลังทำร้ายตนเอง แต่ยังทำร้ายชื่อเสียงของตระกูลหลิง เรื่องนี้ เยียนอวิ๋นฉวนย่อมต้องรายงานต่อท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน เจ้าลองเดา หากเยียนโส่วจ้านรู้เรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร”
หลิงฉางเฟิงส่ายหน้าระรัว เขาเดาไม่ออก
เรื่องของพวกคนแก่ เขาจะเดาออกได้อย่างไร
หลิงฉางจื้อยังคงหัวเราะ “เจ้าลองเดาอีกครั้ง หากน้องสะใภ้เป็นอันใดไป ถึงแม้จะเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีปัจจัยจากผู้คน ตระกูลเยียนจะคิดอย่างไร ตระกูลเยียนย่อมต้องคิดว่าเจ้าเป็นคนลงมือ คิดว่าเจ้าเป็นคนฆ่า”
“พวกเขาใส่ร้ายข้า! ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น” หลิงฉางเฟิงกล่าวด้วยความไม่เป็นธรรม
หลิงฉางจื้อยิ้มเย็น “ผู้ใดจะเชื่อ เจ้าโง่จนกล้าเปิดเผยความคิดที่จะสังหารภรรยาของตนเองต่อคนตระกูลเยียน หากน้องสะใภ้เกิดอุบัติเหตุ พวกเขาไม่สงสัยในตัวเจ้า มันจะไม่สิ้นเปลืองโอกาสที่จะปล้นตระกูลหลิงหรือ”
“ข้าๆๆ …”
หลิงฉางเฟิงร้องโอดครวญ “พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้า! เริ่มแรกข้าไม่ได้คิดมากมายเพียงนั้น เยียนอวิ๋นฉวนกำลังกลุ้มใจกับเรื่องงานแต่ง เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะยอมเสี่ยงเพื่อแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลหลิงของพวกเรา แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะไม่หวั่นไหว อีกทั้งยังกล้าฟ้อง ท่านพี่ ข้าหน้ามืดตามัว ท่านให้อภัยข้าในครั้งนี้ด้วยเถิด!”
เพียะ!
หลิงฉางจื้อสะบัดมือ แส้ถูกฟาดลงบนตัวของหลิงฉางเฟิง
หลิงฉางเฟิงเจ็บจนร้องโอดโอยออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน
บรรดาบ่าวรับใช้ที่ได้ยินการเคลื่อนไหวล้วนนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าชะเง้อหน้ามอง อีกทั้งไม่มีผู้ใดกล้าขอร้องอ้อนวอนแทนหลิงฉางเฟิง
ภายในจวนนี้ หลิงฉางจื้อคือฟ้า ไม่มีผู้ใดขัดคำสั่งได้
ผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเขาย่อมต้องตาย!
“ในหัวของเจ้านอกจากสุรา หญิงงามและทรัพย์สมบัติแล้วก็คงเหลือเพียงขี้หมา” หลิงฉางจื้อโกรธจนไม่เลือกคำพูด “เจ้าจะคิดไม่ได้หรือ สมองของเจ้าเป็นสมองหมูหรือ ข้าไม่เคยเห็นคนที่โง่เขลาเหมือนเจ้ามาก่อน ยื่นความผิดของตนเองไปให้อีกฝ่าย ตระกูลเยียน อีกฝ่ายเป็นตระกูลเยียน เป็นเครือญาติของตระกูลหลิง เจ้าโง่จนนำไปพูดกับตระกูลเยียนว่าจะสังหารภรรยา เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกว่าเจ้าจะสังหารเยียนโส่วจ้านเสียเลยเล่า เจ้าโง่!”
หลิงฉางจื้อโกรธจนอยากจะฆ่าคน
เขาไม่เคยคิดว่าน้องชายแท้ๆ จะถ่วงขาเขาเช่นนี้
เรื่องนี้ เยียนโส่วจ้านย่อมไม่มีทางปล่อยผ่าน
เขากัดฟันกรอด สะบัดแส้ขึ้นโบยเข้าไปที่ตัวของน้องชายครั้งแล้วครั้งเล่า
เริ่มแรกหลิงฉางเฟิงยังมีแรงร้อง ยังสามารถกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นได้
แต่หลังจากถูกโบยไปห้าครั้ง ก็เหลือเพียงเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ร่างกายไม่มีแรงที่จะขยับแล้ว
แต่หลิงฉางจื้อยังไม่หยุดมือ
คราวนี้ เขาโกรธมากเสียจริง!
เขาไม่สนใจว่าหลิงฉางเฟิงผู้เป็นน้องชายจะมั่วสุมอย่างไร
เขาสามารถจัดการแทนหลิงฉางเฟิงให้เรียบร้อยได้
แต่เรื่องที่เขารับไม่ได้คือน้องชายของเขายื่นความผิดของตนเองใส่มือของผู้อื่นอย่างโง่เขลา
มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปทำกันหรือ
เขาโบยไปยี่สิบทีในคราวเดียว
เมื่อเห็นคนใกล้จะตายแล้ว พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยจึงออกมาเกลี้ยกล่อม
“นายน้อยใหญ่ นายน้อยห้าสลบไปแล้ว ตีต่อไปไม่ได้แล้ว จะเกิดเรื่องนะขอรับ”
สีหน้าของหลิงฉางจื้อน่ากลัวราวกับปีศาจที่ปีนออกมาจากนรก
เขาโยนแส้ให้พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ย พลันปลดคอเสื้อเพื่อหายใจได้สะดวก
เขากำชับ “นำตัวเขาลงไป เชิญไต้ฟูมารักษาให้ดี รอรักษาจนหาย ให้คนส่งเขากลับบ้านเกิดเสีย พร้อมทั้งสตรีในเรือนด้านหลังของเขา ล้วนส่งกลับไปให้หมด”
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยตกใจ “นายน้อยใหญ่จะส่งนายน้อยห้ากลับไปจริงหรือขอรับ”
หลิงฉางจื้อทำหน้าบึ้งตึง “บอกนายท่านให้เฝ้าดูฉางเฟิงอย่างเข้มงวด อย่าให้เขาทำสิ่งใดเหลวไหล ส่วนเยียนอวิ๋นเพ่ยไม่ต้องดูแลมาก นางสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับวาสนา ให้ส่งนายน้อยสี่มาเมืองหลวงแทน ข้างกายข้าขาดคนไม่ได้ ให้เจ้าสี่มาช่วยข้า”
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยพูดอย่างระมัดระวัง “แต่ว่านายน้อยสี่กำเนิดจากอนุภรรยา ให้เขาติดตามอยู่ข้างกายนายน้อย สร้างโอกาสให้เขา เหมาะสมหรือขอรับ”
“ล้วนเป็นบุตรของตระกูลหลิง มีสิ่งใดไม่เหมาะสม เจ้าห้าเป็นคนเหลวแหลก ทำเรื่องใดก็ไม่สำเร็จ หากปล่อยเขาให้อยู่ในเมืองหลวงต่อ เกรงว่าจะสูญสิ้นชีวิต ให้เขากลับบ้านเกิดไป มีผู้ใหญ่เฝ้าดู อย่างน้อยก็มีความปลอดภัย”
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยถอนหายใจ “นายน้อยเป็นพี่ชายย่อมเปรียบเสมือนบิดา คำนึงแทนนายน้อยห้าในทุกด้าน เพียงแต่ไม่รู้ว่านายน้อยห้าจะรับรู้ถึงความหวังดีของนายน้อยหรือไม่”
หลิงฉางเฟิงยิ้มเย้ยหยัน “ข้าทำหน้าที่ของพี่ชายสุดความสามารถก็เพียงพอแล้ว! หนทางต่อจากนี้ เจ้าห้าสามารถเดินออกมาได้หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเขา ข้าจะไม่กังวลอีก”
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยได้ยินก็ผงะไป
จากนั้นก็ส่ายหัวถอนหายใจ
หลิงฉางเฟิงเอ๋ยหลิงฉางเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสูญเสียสิ่งใดไป
เจ้าสูญเสียการสนับสนุนและความรักจากพี่ใหญ่ของเจ้า!
แม้จะเป็นพี่น้องร่วมมารดา แต่ก็ไม่อาจสนับสนุนช่วยเหลือกันไปตลอดชีวิต
…
หลิงฉางเฟิงถูกโบยจนเป็นแผลทั้งตัว ทำให้สตรีทั้งหลายต่างตกใจ
บรรดาสตรีต่างร้องห่มร้องไห้ เกรงว่าเขาจะเป็นอันใดไป
โชคดีที่หลิงฉางจื้อถึงแม้จะอยู่ภายใต้อารมณ์โกรธ แต่เขาก็ลงมืออย่างมีขอบเขต
ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ความจริงแล้วเป็นแค่บาดแผลหนังถลอก ไม่ได้กระทบถึงกระดูก
ไต้ฟูจ่ายยา บอกว่าพักรักษาหนึ่งเดือนก็สามารถลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวได้ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
สตรีกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนจากความกังวลเป็นดีใจ
แม้แต่เยียนอวิ๋นเพ่ยก็โล่งใจ
นางไม่อยากเป็นหญิงหม่าย
แต่ว่าข่าวที่พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยประกาศในลำดับถัดมาคือรอร่างกายของหลิงฉางเฟิงหายดีก็จะส่งพวกเขากลับบ้านเกิด
สีหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ยซีดเผือดในทันที
นางนึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกแม่สามีและสะใภ้บังคับ
นางไม่อยากกลับไป
นางร้องขอพ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ย “เรื่องนี้ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ เหตุใดต้องส่งท่านพี่กลับบ้านเกิด ท่านพี่เป็นขุนนางราชสำนัก มีตำแหน่งขุนนางอยู่กับตัว!”
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยมองนาง พลันคิดในใจ ดวงชะตาแข็งเสียจริง
เขาพูด “งานในสำนักหยาเหมินของนายน้อยห้า นายน้อยใหญ่ตัดสินใจลาออกแทนเขาแล้ว เมื่อนายน้อยห้าหายดีจนลงจากเตียงได้ ก็จะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที”
เยียนอวิ๋นเพ่ยถลึงตาโต “เพราะเหตุใด ท่านพี่ทำผิดเรื่องใดกัน โบยแล้วยังไม่พอ ยังต้องส่งเขากลับบ้านเกิดอีก”
“เรื่องที่ไม่ควรถาม นายหญิงน้อยอย่าได้ถามเลย ข้าขอเตือนนายหญิงน้อย อย่าได้กระทำการอันใดเด็ดขาด หากท่านคิดว่าแผลของนายน้อยห้าไม่หายดีจะไม่ต้องกลับบ้านเกิด ท่านคงคิดผิดแล้ว! ความคิดของนายน้อยใหญ่ไม่มีผู้ใดคัดค้านได้”
สีหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ยซีดเผือด ความหวาดกลัวและความอับอายที่ถูกคนรู้ทันความคิดวิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย
นางอ้าปาก พลันพูดอย่างจริงจัง “ไม่มีหนทางอื่นจริงหรือ”
พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยพูดอย่างมีนัย “นายหญิงน้อยควรจะขอบคุณนายน้อยใหญ่! ข้าพูดเพียงเท่านี้ ท่านรักษาตัว!”